เมื่อทางเต๋อรั่วนั่งลงแล้ว คนรอบข้างก็นิ่งไปนาน
จิ่งเหวินซานสั่งสาวใช้หน้าประตูให้เพิ่มถ้วยและตะเกียบ แล้วจึงพูดว่า “คุณชายสวี จะไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักกับคุณชายทางท่านนี้หน่อยหรือ?”
หลัวฉี่สาดสายตาไปทางทางเต๋อรั่ว “นั่นสิ ข้ายังไม่ทราบมาก่อนเลยว่าโลกนี้มีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วย”
สวีหรงฉี่มองทางเต๋อรั่วทีหนึ่ง กลืนน้ำลาย ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านนี้คือ...”
“ทางเต๋อรั่ว” เพิ่งเริ่มพูด ทางเต๋อรั่วก็รับต่ออย่างสงบนิ่ง พูดจบก็ดึงหมวกบนศีรษะลง ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง มากพอจะดึงดูดให้สตรีนับไม่ถ้วนตาค้างใจเต้น
พวกอ๋าวหรานนั่งอยู่ที่โต๊ะสามก็สอดส่องมาทางนี้อยู่ตลอด เห็นทางเต๋อรั่วผู้นั้นปลดหมวกลงก็อดตื่นตะลึงไม่ได้ ส่วนผู้อื่นก็ส่งเสียง “อา” ออกมาเบาๆ ั์ตาของคนผู้นี้กลับมีสีแดงรางๆ ฉาบอยู่ แม้ค่อนข้างเลือนราง แต่ก็ยังมองเห็น
อ๋าวหรานขมวดคิ้ว ตาสองสี? ถูกสร้างขึ้นมาเป็พิเศษ? หรือว่าว่านเฟิงยังเพิ่มชาวต่างชาติเข้ามาอีก
หลี่หนิงหว่านพูดประโยคแรกั้แ่นั่งลงที่โต๊ะว่า “ตระกูลทาง? ไม่ทราบว่าเป็ตระกูลทางใด?” หลี่หนิงหว่านเป็สาวน้อยที่พบได้ยากที่นี่ แล้วยังเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลี่ มีหน้าตางดงาม ส่วนวรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา เป็เดือนที่มีดาวล้อมรอบมาั้แ่เล็ก อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็เครือญาติกับตระกูลจิ่งอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย คนที่โต๊ะนี้ก็เข้ามาทักทายนางทุกคน ถึงแม้จะไม่มีท่าทางประจบสอพลอใดๆ แต่ก็มีใบหน้ายิ้มแย้มทั้งสิ้น ดูเคารพอยู่แปดส่วน
ทางเต๋อรั่วได้ยินก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้า วางหมวกลงอย่างเรียบร้อย แล้วจึงตอบอย่างช้าๆ ว่า “เป็ตระกูลเล็กๆ อยู่ทางภาคกลาง และมักหลบเร้นจากโลกภายนอกมาตลอด” เขาตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไร หลี่หนิงหว่านดวงตาค่อยๆ คล้ำลง น้อยคนนักที่จะมีคนไร้มารยาทต่อนางเช่นนี้
หนุ่มน้อยแซ่เซียวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่รีบพูดขึ้นว่า “คุณชายทาง ท่าทางสง่างาม แต่ตระกูลที่หลบเร้นจากโลกภายนอกคาดว่าคงจะติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก เกรงว่าคงจะมีเื่ไม่เข้าใจมากมาย วันหน้าหากคุณชายทางสงสัยเื่ใด ก็สามารถมาถามพวกข้าได้”
เซียวซื่อซิง หลานชายของเซียวหยางผิง ถึงแม้ตอนนี้เซียวหยางผิงจะเป็ผู้นำตระกูลเซียว แต่บุตรทั้งสองของเขายังอายุน้อยนัก ไม่อาจมาเข้าร่วมงานแข่งขันประลองยุทธ์ได้ เมื่อได้รับเทียบเชิญมาก็ส่งไปให้ลูกชายของลูกผู้พี่ของเขารับคำเชิญแทน แม้ตระกูลเซียวจะไม่นับว่าเป็ตระกูลใหญ่อะไร เซียวหยางผิงสู่ขอจิ่งเหวินเยว่นี่ก็นับว่าใฝ่สูงแล้ว แต่ลับหลัง...ตระกูลเซียวได้เข้าเป็พวกกับตระกูลทรงอำนาจที่หลบเร้นอยู่ในเงามืดซึ่งก็คือตระกูลทาง ลูกหลานตระกูลเซียวส่วนใหญ่ย่อมรู้ดี เมื่อก่อนก็เคยติดต่อกันเป็การส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ตอนนี้เกรงว่าหลี่หนิงหว่านผู้นี้จะไปพูดจาล่วงเกินตระกูลทางเข้า จึงรีบเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
คำพูดปกป้องที่เขาพูดขึ้นนี้ ทางเต๋อรั่วไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดคำหนึ่งว่า “ขอบคุณ” คนที่นั่งอยู่หลายคนก็เริ่มออกมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ พูดราวกับจะเป็กลาง ไม่เอนเอียงถือข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ก็แฝงอาการปกป้องทางเต๋อรั่วอยู่ไม่น้อย
สวีหรงฉี่นั้นถึงกับประสานมือคารวะ ยิ้มแล้วพูดว่า “สหายสนิทข้าผู้นี้อยู่แต่ในตระกูลมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่จะออกมาข้างนอก อุปนิสัยสงบนิ่งไม่ค่อยพูด เขารู้จักกับข้ามานานถึงเพียงนี้ ล้วนพูดโต้ตอบกันเพียงคำต่อคำ อุปนิสัยเป็เช่นนี้มาแต่กำเนิด ทุกท่านที่นั่งอยู่โปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
หากแต่ลูกหลานคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่กลับไม่รู้สึกถึงความไม่ปกติ จึงทำแค่เพียงส่งเสียงดัง “ชิ” ออกมาทีหนึ่ง ก็แค่ตระกูลหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินชื่อ กลับโอหังถึงเพียงนี้ นิสัยสงบนิ่งไม่ค่อยพูดอะไรกัน นี่มันไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาชัดๆ จิ่งเหวินซานเองก็ไม่รู้เื้ัแอบแฝง ทางเต๋อรั่วผู้นี้เหมือนจะไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตาทั้งสิ้น แต่สวีหรงฉี่ยังทนอยู่ได้อีก แล้วยังเสนอตัวเข้าไปพูดกับเขาก่อนบ่อยๆ ด้วย ตระกูลทางแท้จริงแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงไหนกัน? ที่จิ่งต้าเทาบอกว่าภาคกลางเหมือนจะมีปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลทางด้วยหรือไม่?
จิ่งเหวินซานยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก สวีหรงฉี่ก็คารวะเขาหนึ่งจอกเพื่อแสดงความขอโทษที่มาสาย
จิ่งเซียงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเช่นนี้บนโต๊ะก็ร้อนใจเล็กน้อย “พี่ จากที่ข้าสังเกตดู ตระกูลที่ปกป้องทางเต๋อรั่วนี่อย่างน้อยก็มีเจ็ดถึงแปดตระกูลแล้ว มั่นใจได้เต็มร้อยว่าตระกูลเหล่านี้คงจะขึ้นตรงต่อตระกูลทางเสียแล้ว แล้วยังมีที่แอบซ่อนอยู่อีกไม่รู้ตั้งเท่าไร”
“อีกทั้งทางเต๋อรั่วผู้นี้เหมือนจะแข็งแกร่งมาก พี่ ท่านคิดว่าท่านสู้เขาได้หรือไม่?” จิ่งเซียงพูดไม่หยุด “ทางเต๋อรั่วผู้นี้แค่ดูก็รู้แล้วว่ามาหาอ๋าวหราน แค่ได้ยินคำว่าตระกูลอ๋าว น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปแล้ว”
จิ่งเซียงพูดอยู่นานกลับไม่เห็นว่าจิ่งฝานจะตอบแต่อย่างใด หันศีรษะไปก็เห็นว่าเขากำลังกินอาหารอยู่อย่างเชื่องช้า คำที่นางพูดไปไม่รู้ว่าเข้าหูบ้างหรือไม่ จิ่งเซียงจึงหยุดมือข้างที่ถือตะเกียบของเขาเอาไว้ “พี่ ท่านฟังอยู่หรือไม่ ท่านไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ?”
จิ่งฝาน “ยิ่งเ้าร้อนใจ เขาก็ยิ่งดูออกว่าเ้าร้อนตัว ใจเย็นลงหน่อย ทำเหมือนว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”
จิ่งเซียงบ่นพึมพำ แต่เขาก็พูดมีเหตุผล “แต่ทางเต๋อรั่วผู้นี้ดูแล้วแข็งแกร่งมาก หากสู้กันขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะชนะได้หรือไม่”
จิ่งฝานตอบเรียบๆ ว่า “ใครจะรู้?”
——
อ๋าวหรานเหล่มองไปทางทางเต๋อรั่วทีหนึ่ง แล้วมองหลางฉาทีหนึ่ง อดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้ไม่รู้จักกันจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้จักกัน ในเมื่อเป็คนตระกูลทางเหมือนกันก็ไม่น่าจะมีเหตุผลให้ต้องแสร้งทำเป็ไม่รู้จักกันเสียหน่อย
จิ่งจื่อเห็นเขาขมวดคิ้วจึงอดถามไม่ได้ว่า “ทางเต๋อรั่วผู้นี้...เ้ารู้จักหรือไม่?”
อ๋าวหรานส่ายหัวอย่างปลงๆ “ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตระกูลทางที่ข้าเคยได้ยินมาก็มีแค่ทางเฉิงโย้ว ทางเหวินหนิง หลางฉา แล้วก็ทางเฉิงหยู้”
จิ่งจื่อประหลาดใจ “เ้าไม่คิดบ้างหรือว่าหลางฉาดูเหมือนจะไม่รู้จักทางเต๋อรั่ว?”
อ๋าวหราน “ข้านึกว่าข้าคิดไปเองคนเดียวเสียอีก”
จิ่งจื่อ “หรือว่าทางเต๋อรั่วนผู้นี้เป็ตระกูลทางตัวปลอม?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “เป็ไปไม่ได้ สีหน้าของหลางฉามีความหวาดกลัวอยู่ ต่อให้ไม่รู้จัก แต่คาดว่าน่าจะรู้ว่ามีเขาอยู่ อีกอย่างสวีหรงฉี่ก็ไม่มีความจำเป็ต้องเอาตัวปลอมมา ไม่มีเหตุผลเสียเลย”
จิ่งจื่อส่งเสียงดังเฮอะออกมาสองครั้ง “ไม่ว่าจะอย่างไร เกรงว่าเ้าคงจะถูกเ้าคนลึกลับผู้นี้หมายหัวเข้าแล้ว”
อ๋าวหรานรู้สึกในใจหนักอึ้ง คนพวกนี้มาจากที่ใดกัน ว่านเฟิงเ้าโง่นั่นเขียนนิยายประสาอะไร เขียนให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือ?
“หากรู้แต่แรก วันนี้น่าจะไปหาสถานที่ฝึกวรยุทธ์กับศิษย์พี่ข้า จำเพาะต้องมาร่วมงานเลี้ยงนี่ทำไม” เดิมทีอ๋าวหราน้าให้เหยียนเฟิงเกอมาด้วย แต่สรุปว่าเ้าเด็กนั่นปฏิเสธ ท่าทางราวกับจะบอกว่าไปร่วมงานเลี้ยงรับประทานอาหารน่าเบื่อเช่นนี้...มิสู้ไปฝึกวรยุทธ์ยังจะน่าสนใจกว่าอีก ทำให้อ๋าวหรานคิดว่าแค่ให้เขามากินข้าวแค่นี้ก็ถือเป็การเสียเวลาอันมีค่าของเขาจริงๆ เมื่อบังคับไม่ได้ อ๋าวหรานก็ไม่รู้ว่าจะไปบังคับอีกทำไม
จิ่งจื่อทำท่าทำทางราวกับเป็ผู้ใหญ่ “หลบขึ้นหนึ่งค่ำได้ หลบขึ้นสิบห้าค่ำไม่ได้1”
ถึงแม้จะหยอกล้อ แต่จิ่งจื่อก็เริ่มมีความกดดันบ้างแล้ว ตามที่อ๋าวหรานบอก แค่หลางฉาเพียงคนเดียว ต่อให้เป็จิ่งฝานก็ยังต้องพยายามอย่างหนัก วันนี้กลับมีคนที่หลางฉาหวาดกลัวเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อเป็เช่นนี้จะทำอย่างไรดี
อ๋าวหรานทางหนึ่งสังเกตโต๊ะหลัก ส่วนอีกทางก็เรียกหาระบบในหัว พูดตามตรง เขาแทบไม่ได้คาดหวังอะไรเลย หน้าที่ของเ้าระบบนี่เหมือนว่าแค่เอาเขามาทิ้งไว้ที่ต่างโลกนี้เท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยให้อ๋าวหรานจัดการเอาเอง หรือก็คือหายไปเลย อ๋าวหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบบยังอยู่หรือไม่ พูดตามหลักแล้วระบบไม่ใช่ว่าต้องคอยควบคุมเขาให้เดินไปตามพล็อตเื่หรือไม่ให้ปฏิบัติตัวต่างไปจากตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาหรือ? เหตุใดถึงปล่อยให้เขาทำอะไรไปตั้งมากมาย? ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าคาแรกเตอร์ของเขาผิดเพี้ยนไปจนแม่แท้ๆ อย่างว่านเฟิงคงจะไม่รู้จักแล้ว แม้แต่พล็อตเื่เองก็แทบจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
“อยู่...อยู่นี่ มีเื่...เื่อะไร?”
“เฮ้ย” ในสมองจู่ๆ ก็มีเสียง ทำให้อ๋าวหรานใจนตะเกียบในมือร่วง
จิ่งจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ใไปด้วย “เ้าเป็อะไร?”
อ๋าวหรานหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนสองที แล้วรีบบอกไปว่าไม่มีอะไร แต่ในหัวกลับงุนงงไปหมด
“นายอยู่จริงๆ ด้วย ฉันนึกว่านายหายไปแล้วซะอีก”
“อยู่...อยู่พอดี”
อ๋าวหรานได้ยินเสียงหอบหายใจต่ำๆ ของระบบ อดใไม่ได้ว่า “นายเป็อะไร ทำไมรู้สึกเหมือนนายกำลังาเ็เลย?” ระบบก็าเ็ได้ด้วยหรือ? พวกเขาไม่ใช่ว่าเป็หุ่นยนต์หรอกหรือ?
“ไม่เป็ไร คุณ...คุณอยากถามอะไร?”
อ๋าวหรานก็ไม่พูดมาก รีบเข้าประเด็นหลักทันที “ทางเต๋อรั่วนี่เป็ใคร ตอนที่ฉันอ่านนิยายต้นฉบับ ทำไมถึงไม่มีคนคนนี้? อีกทั้งเขาดูแล้วเหมือนจะแข็งแกร่งมาก”
ระบบหายใจหอบลึกๆ ราวกับกำลังสกัดกั้นความเ็ป “เป็ตัวละครที่ว่านเฟิงร่างไว้ เขายังเขียนไม่ถึงตอนที่คนผู้นี้มีบท”
อ๋าวหรานใ “เช่นนั้นทางเฉิงหยู้ก็ไม่ใช่บอสใหญ่ในตอนสุดท้ายหรือ?”
ระบบ “เขาเป็แค่ตัวประกอบเล็กๆ เท่านั้น”
อ๋าวหรานอดอยากสบถว่า 'เวรแล้ว' ออกมาไม่ได้ “นายบอกฉันมาตามตรง ทางเต๋อรั่วผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหน”
ระบบเงียบไปสักพักแล้วตอบว่า “ถึงขนาดที่สามารถจัดการทางเฉิงหยู้ประมาณสามสี่คนได้”
!!!
อ๋าวหรานกัดฟัน “แบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลยน่ะสิ ทางเฉิงหยู้แค่คนเดียว จิ่งฝานก็สู้ไปเกือบร้อยบทแล้ว แถมยังาเ็ไปทั้งตัว ตอนนี้ราวกับมีทางเฉิงหยู้สามถึงสี่คน แล้วจะต้องสู้ไปจนถึงเมื่อไร?”
“เดี๋ยวก่อน!” อ๋าวหรานพูดไปก็ใขึ้นมาทันใด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก “ตระกูลทางตอนนี้มีกี่คนที่เป็เหมือนทางเต๋อรั่ว?”
กว่าระบบจะตอบกลับมาก็เนิ่นนานทีเดียว “มากมาย”
อ๋าวหราน “...”
“สรุปว่านี่ฉันต้องมายังโลกนี้เพื่อทำให้จินตนาการของเ้าโง่ว่านเฟิงที่ยังเขียนไม่เสร็จดำเนินต่อไปให้เสร็จ สั่งสมประสบการณ์เพื่อถูกซัดจนน่วมอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?” อ๋าวหรานอดะเิลงไม่ได้ นี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้ว
ระบบหอบหายใจเล็กน้อย “ไม่ใช่อย่างนั้น ตัวเอกอย่างไรก็เป็ตัวเอก ชะตานี้เปลี่ยนไม่ได้ คนอื่นเป็แค่ตัวประกอบทำให้เขาเด่นขึ้นมาเท่านั้น เขาต้องชนะแน่นอน”
หากในสมองอ๋าวหรานมีโต๊ะคงจะซัดให้กลายเป็จุณไปแล้ว “แล้วยังไง! หนทางไปสู่จุดสูงสุดนี่มันยาวไกลแค่ไหน? เขาต้องาเ็อีกเท่าไร? ต้องสูญเสียคนที่รักไปอีกเท่าไร? ต้องรับรู้ถึงความเ็ปอีกเท่าไร? แค่ทางเฉิงหยู้คนเดียวก็ทำให้เขากลายเป็ปีศาจร้ายที่รู้จักแต่เพียงการฆ่าฟันแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีทางเฉิงหยู้อีกนับไม่ถ้วน หลังจากที่เขายืนอยู่เหนือกองกระดูกนับหมื่น เกรงว่าคงกลายเป็อาวุธสังหารไร้จิตใจไปแล้ว หากต้องอยู่อย่างเ็ปเช่นนี้ มิสู้ให้เขารีบๆ...รีบๆ...”
สุดท้ายอ๋าวหรานก็ไม่ได้พูดออกมา
ระบบเองก็เหมือนจะเงียบไป และในตอนที่อ๋าวหรานคิดว่าเขาคงจะไม่ตอบแล้ว กลับได้ยินเสียงระบบตอบขึ้นมากะทันหัน “ดังนั้นหวังว่าคุณจะช่วยเขาหน่อย”
อ๋าวหรานอึ้ง หมายความว่าอย่างไร? คิดเอาได้ไหมว่ากำลังจะบอกเขาใหม่ว่าเขามาทำอะไรที่โลกใบนี้?
อ๋าวหรานหยั่งเชิงว่า “ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว อะไรที่ฉันรู้ ฉันก็บอกพวกเขาไปเกือบหมด แต่นอกจากเื่พวกนี้แล้ว ฉันยังจะช่วยอะไรเขาได้อีก?”
ระบบเงียบไป อ๋าวหรานรออยู่เป็นานก็ไม่ได้คำตอบ จึงทำได้แค่ถามอีกว่า “เช่นนั้นนายรู้ไหมว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
ระบบไอออกมาสองที ในน้ำเสียงมีแววหนักแน่นซื่อสัตย์อยู่หลายส่วน “ไม่ได้้าจะปิดบังคุณนะ ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ หนึ่งก็คือ...ั้แ่ที่คุณมา พล็อตเื่ก็เปลี่ยนไปมาก สอง...พล็อตเื่หลังๆ ว่านเฟิงยังไม่ได้เขียน ผมกับคุณก็อ่านมาเท่าๆ กัน ที่ผมรู้ก็มีแค่เซตติ้งที่เขาเหลือทิ้งไว้นิดหน่อยเท่านั้น”
อ๋าวหรานรีบถามจี้ทันทีว่า “เขาเซตติ้งอะไรเอาไว้อีกงั้นหรือ?”
ตัวละครที่ร่างไว้พวกนี้ถึงจะน่ากลัว แต่ของจริงกลับน่ากลัวกว่าพล็อตเื่มาก พล็อตเื่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่เซตติ้งไว้กลับเป็กฎที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้วราวกับเป็กฎ์ก็มิปาน
เชิงอรรถ
หลบขึ้นหนึ่งค่ำได้ หลบขึ้นสิบห้าค่ำไม่ได้1 หมายถึงหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้