ก่อนหน้านี้เซี่ยเจิงอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับสวมเสื้อคลุมออกมายืนอยู่ด้านนอกเป็ที่เรียบร้อยแล้ว... เพราะชวีเสี่ยวปอเห็นไฟถนนเรียงเป็แนวยาวด้านหลังของเซี่ยเจิงผ่านกล้องหน้าโทรศัพท์มือถือ
“ฉันเพิ่งตื่นเอง นอนอะไรเล่า” ชวีเสี่ยวปอตอบออกไปก่อน “ร้อนนิดหน่อยเลยถอดเสื้อออก” ชวีเสี่ยวปอขยับกล้องลงมาด้านล่างเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเขินอายจึงยกขึ้นมาทันที : “ฉันต้องฟิตหน้าท้องสักหน่อยแล้ว”
“นาย...” เซี่ยเจิงสูดลมหายใจเข้าไปอย่างไม่เป็ตัวของตัวเอง พร้อมทั้งรูดซิปเสื้อลงมาเล็กหน้อย “นายใส่เสื้อเถอะ”
“อ๋า? ” ชวีเสี่ยวปอพูดหยอกล้อไปทันที ทั้งยังหยิบโทรศัพท์ส่ายไปส่ายมาที่ด้านล่าง “ทำไมเหรอ นายดู... ”
“ไม่ใช่” เซี่ยเจิงพูดแทรกเขาขึ้นมา “หมู่บ้านที่นายอยู่ฉันไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่”
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอวิ่งออกมาตลอดทาง เซี่ยเจิงก็กำลังยืนอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามประตูหน้าหมู่บ้าน แต่กำลังยืนหันหลังอยู่ ทิ้งไว้เพียงด้านหลังศีรษะอันกลมทุยให้เขาเห็น
ชวีเสี่ยวปอะโเรียกเขาไป ส่วนเซี่ยเจิงเองก็หันกลับมาทันที พร้อมทั้งวิ่งข้ามมา
ในตอนที่โอบกอดกันดูเป็ธรรมชาติมาก ชวีเสี่ยวปอคว้าเอวของเซี่ยเจิงเข้ามากอดเอาไว้แน่น ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเจอกันไปเมื่อตอนเที่ยงแท้ๆ แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องกอดแน่นถึงเพียงนี้
“ว่าไง——” เซี่ยเจิงลากเสียงยาว พร้อมทั้งตบไปทีด้านหลังของชวีเสี่ยวปออย่างเบามือ
ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้นประมาณสิบกว่าวินาทีได้ ชวีเสี่ยวปอปล่อยมือออกมาก่อน แล้วเซี่ยเจิงถึงปล่อยตาม ชวีเสี่ยวปอส่งสายตาไปให้เขา เซี่ยเจิงจึงหันกลับไปมอง ปรากฏว่าในป้อมยามหน้าหมู่บ้านมีคนยืนมาเพื่อมองสำรวจไปยังด้านนอกพอดี
“นายมาได้ยังไงเนี่ย? หลังจากวางโทรสายนายก็มาเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอดึงเขาให้เดินเข้ามาด้านข้าง แล้วทั้งสองคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
“ก็นายบอกว่าเบื่อไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงถูกเขาดึง
“เพราะแค่ฉันบอกว่าเบื่อ? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง “เซี่ยเจิง นายนี่ก็มีความรักเป็เหมือนกันนะเนี่ย”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยคิดว่าถ้ามีความรักตัวเขาเองจะเป็แบบไหน เพราะถึงยังไงเื่แบบนี้ก็ไม่ได้มีมาตรฐานตายตัว แต่ทันทีที่ได้ยินชวีเสี่ยวปอพูดในโทรศัพท์ว่าเบื่อ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ “ไปหาเขา” ดังนั้นเขาจึงทำเช่นนี้ลงไป
“ไม่ดีเหรอ? ” คำพูดนี้ของชวีเสี่ยวปอไม่ได้ถือว่าเป็คำชมอะไร อย่างมากก็เป็เพียงคำพูดจิกกัดเท่านั้น แต่เซี่ยเจิงกลับถูกคำพูดนั้นทำให้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว จึงถามย้อนกลับไปประโยคหนึ่ง
เขารู้สึกว่าตัวเองแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
หลังจากที่คบกับชวีเสี่ยวปอแล้ว ความลับอันน่าอายของเขาที่ไม่อาจจะเปิดเผยให้ใครรับรู้ได้เ่าั้ ล้วนกลายเป็สิ่งที่ไม่ควรค่าให้เขาต้องกังวลใจอีกต่อไป
เขาสามารถซื่อสัตย์กับตัวเองได้มากขึ้น อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงเ่าั้กลับค่อยๆ สงบลงไปเมื่อได้เห็นคนคนนี้
และที่เขาสามารถมองทะลุเขาไปในหัวใจของตัวเองได้เช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็เพราะเขารู้ว่าชวีเสี่ยวปอจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
เขาไม่ต้องรู้สึกขยะแขยงกับคำว่า “เป็คนประเภทเดียวกับโจวเจ๋อหยวน” อีกต่อไป เพราะเขากับชวีเสี่ยวปอต่างหากคือคนประเภทเดียวกันที่แท้จริง
“ดี ดีมากเลยละ” ชวีเสี่ยวปอรีบยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เซี่ยเจิงทันที “หวังว่านายจะพยายามต่อไปนะ”
ทั้งสองคนยืนคุยกันที่หน้าประตูหมู่บ้านอยู่นานสองนาน หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอก็คิดอยากจะให้เซี่ยเจิงอยู่ค้างที่นี่เลย แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ เขาไม่สามารถปล่อยให้แม่ของเซี่ยเจิงอยู่บ้านคนเดียวเพียงลำพัง ในตอนนั้นเองเขาจึงตีเข้าไปที่บั้นท้ายของเซี่ยเจิงหนึ่งทีอย่างไม่อาจทำใจจากและไม่เต็มใจให้ไป แต่สุดท้ายเขาทั้งสองคนเรียกรถแท็กซี่ และชวีเสี่ยวปอก็ส่งเซี่ยเจิงให้นั่งรถออกไปจนเรียบร้อย
ในตอนที่กลับเข้ามาในหมู่บ้าน ชวีเสี่ยวปอจงใจมองไปยังห้องของยามหน้าประตู แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ชายคนเมื่อครู่นี้จ้องมองเข้าอย่างตกตะลึง ชวีเสี่ยวปอเองก็จ้องกลับไปอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน จนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบนั่งลง ชวีเสี่ยวปอกำลังอารมณ์ดี ทั้งยังไม่อยากจะพูดอะไรกับอีกฝ่าย จากนั้นจึงวิ่งกลับเข้าบ้านไป
เนื่องจากตอนบ่ายนอนเต็มอิ่มเกินไปหน่อย ชวีเสี่ยวปอจึงนอนไม่หลับจนกระทั่งเวลาตีสองกว่าถึงค่อยหลับไป ในตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็เวลาสิบโมงเช้าแล้ว
เมื่อมองไปยังนาฬิกาชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกใขึ้นมาทันที ดวงตายังไม่ทันที่จะลืมขึ้นมาเต็มที่ เขาก็ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาซือจวิ้นทันที
“ฮัลโหล? ปอเอ๋อร์เหรอ? ” เสียงของซือจวิ้นฟังดูแล้วเหมือนว่าจะยังไม่ตื่นดีสักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอคิดว่าคงจะเป็เพราะโทรศัพท์สายนี้ของตัวเองปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา
“ยังนอนอยู่เหรอ? อีกเดี๋ยวมาบ้านฉันนะ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้น
“ได้” ซือจวิ้นตอบออกมาอย่างมีความสุข แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงขยับอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าซือจวิ้นจะลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่จู่ๆ ก็ถอนหายใจจนดังผ่านลำโพงออกมา : “แล้ว เซี่ยเจิงไปด้วยไหม? ”
“เขาจะมาไม่มามันเกี่ยวอะไรกับที่นายจะมาด้วย” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคำถามนี้ของซือจวิ้นดูแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วจึงพูดต่อออกไปว่า : “เขาไม่ได้มา นายตื่นแล้วก็มาได้เลย เดี๋ยวฉันสั่งเดลิเวอรี่เอง”
หลังจากวางสายไป ชวีเสี่ยวปอจึงะโลงจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง วันนี้อากาศค่อนข้างดี แสงแดดส่องเข้ามาจนสว่างไปทั่งทั้งห้อง
ชวีเสี่ยวปอขยับตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงฮัมเพลง “ฉันชอบอาบน้ำผิวพรรณดี๊ดี” แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอย่างลวกๆ หลังจากที่เขาออกมาก็สั่งเดลิเวอรี่ไปทันที เวลาช่างเหมาะเจาะ เมื่ออาหารมาส่งซือจวิ้นก็มาถึงพอดี
ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเคย คือทานอาหารก่อนเป็อันดับแรก
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขาเป็คนที่เ้าเล่ห์มากจริงๆ ยังไงก็ต้องสารภาพเื่นี้กับซือจวิ้นตอนทานข้าว เพราะถ้าดูจากนิสัยของซือจวิ้นแล้ว ต่อให้เขาจะรู้สึกไม่พอใจแค่ไหน ก็จะไม่ทำถึงขนาดวางตะเกียบในตอนทานข้าวลงแล้วเดินหนีออกไป
ชวีเสี่ยวปอคนคนนี้ไม่เคยมีความคิดสิ้นเปลืองให้กับความเอิกเกริกเลยสักครั้งเดียว แม้แต่ซือจวิ้นเมื่อมองไปยังอาหารกล่องน้อยใหญ่ที่วางอยู่เต็มโต๊ะก็ยังถอนหายใจออกมา
ทั้งสองคนพูดเื่อื่นไปเพียงเล็กน้อย และในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า : “ที่จริงแล้วฉันมีเื่จะบอกกับนาย”
ซือจวิ้นกำลังก้มหน้าทานข้าว ไม่ได้สนใจอะไรมาก แม้แต่หน้าก็ไม่ได้เงยขึ้นมา พลางตอบกลับไปว่า : “บอกก็บอกสิ ต้องเป็ทางการขนาดนี้เลย”
เมื่อชวีเสี่ยวปอคิดขึ้นมาได้ว่าอีกเดี๋ยวถ้าซือจวิ้นฟังจบแม้แต่ข้าวก็จะทานไม่ลง เขาไม่อาจทนไม่ได้จริงๆ จึงวางตะเกียบในมือของตัวเองลง แล้วพูดขึ้นว่า : “นายกลืนข้าวในปากลงไปก่อน”
ในขณะนั้นเองซือจวิ้นถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาโดยที่ข้าวเต็มปาก พร้อมทั้งส่งเสียงตอบรับที่แฝงด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ปอเอ๋อร์” ซือจวิ้นพูดขึ้น : “ฉันรู้สึกว่า...ช่างเถอะ ที่จริงฉันก็มีเื่จะถามนายเหมือนกัน”
“ถ้างั้นนายถามมาก่อนเลย” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าถ้าตัวเขาพูดออกมาก่อน ซือจวิ้นอาจจะถามไม่ออกแล้วก็ได้
“ก็ได้” ซือจวิ้นถูมือไปมาที่ด้านข้างต้นขาของตัวเองอย่างรู้สึกประหม่า พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าไป
“นายกำลังคบกับเซี่ยเจิงใช่ไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอตัวแข็งขึ้นมาทันที เขาเบิกดวงตากว้างมองไปยังซือจวิ้น ซือจวิ้นก็มองมาที่เขาเช่นกัน หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ชวีเสี่ยวปอจึงพูดออกมาว่า :
“นายรู้ได้ยังไง? ”
พอพูดประโยคนี้จบ เขาก็เห็นซือจวิ้นเอนตัวพิงไปด้านหลังราวกับรู้สึกผ่อนคลายและโล่งใจ ทั้งยังถอนหายใจออกมา
“เป็อย่างนั้นจริงๆ ด้วย”
ตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้สึกตัวว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขาถือเป็การยอมรับว่าซือจวิ้นทายถูกไปโดยปริยาย
ซือจวิ้นมองเขาเหมือนมีอะไรจะพูดออกมา
ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะ แล้วทั้งสองคนก็จ้องมองกันเช่นนี้อยู่หลายวินาที ชวีเสี่ยวปอถึงจะพูดออกไปอย่างเขินๆ ว่า :
“เื่ที่ฉันจะบอกก็คือเื่นี้นี่แหละ”
รู้สึกกระอักกระอ่วนสุดๆ
ตอนนี้ในหัวสมองของชวีเสี่ยวปอราวกับว่ามีลมพายุลูกใหญ่พัดผ่านเข้ามา จนทำให้แผนการที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด ต้องพูดอะไรยังไงถึงจะทำให้ซือจวิ้นยอมรับได้ง่ายขึ้น ต้องอธิบายอย่างไรจึงจะสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ความคิดเหล่านี้กลับกลายเป็สิ่งไร้ค่าที่ถูกพายุลูกใหญ่ลูกนี้พัดถล่มลงมา
ซือจวิ้นนี่ก็ช่างคาดไม่ถึงเสียเหลือเกิน