หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า
“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็ทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็สองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน
"เอาตามที่เ้าว่าเถอะ"
ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้
“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”
เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ
“เ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเ้าจะยังเป็เด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเ้าตัวเ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเื่นี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเ้าเองก็เป็หุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเ้าก็ต้องได้เช่นกัน”
แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าพร้อมทั้งตบไหล่เล็กที่ตั้งตรงของฉินจื่อเฉินเบาๆ
"จื่อเฉินเอ้ยเ้าทำตามที่พี่เฉียวลู่ของเ้าบอกเถอะ เก็บเงินเอาไว้มากๆ พาท่านแม่ของเ้าไปหาหมอเมื่อนางหายดีเ้าก็ชวนนางมาขายของกับพวกเราดีหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกัน ฉินจื่อเฉินซาบซึ้งในสิ่งที่พวกเขาพยายามช่วยตน เด็กชายก้มหน้าลงสะอื้นตัวสั่นเล็กน้อยเขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของเขาถึงแม้ว่าเขาจะยังเป็เพียงเด็กชายอายุแค่แปดขวบแต่เขาก็มีศักดิ์ศรีและความเป็ผู้ใหญ่มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่วันนี้พวกนางทำให้ฉินจื่อเฉินรู้สึกว่าเขาได้กลับมาเป็เด็กน้อยเท่ากับอายุของเขาจริงๆ จึงทำให้ฉินจื่อเฉินกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ข้าขอขอบคุณพวกท่านมากขอรับ”
เด็กชายพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ เฉียวลู่กอดฉินจื่อเฉินที่นั่งอยู่ข้างนางแล้วลูบหลังเด็กน้อยเบาๆ เพื่อเป็การปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนักในเื่ของผู้ใหญ่แต่เมื่อเห็นท่านแม่ที่รักของพวกเขากอดพี่ชายที่แวะมาที่เรือนบ่อยๆ เขาสองคนก็ยื่นมือเล็กๆ ไปลูบหลังฉินจื่อเฉินเลียนแบบเฉียวลู่บ้าง ทำเอาแม่เฒ่าหลี่กับหลิวหงที่นั่งน้ำตาซึมหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เ้าหัวไชเท้าน้อยสองหัวนี้ช่างน่ารักเสียจริง”
หลิวหงพูดออกมาและยังหัวเราะทั้งน้ำตา หลังจากแจกแจงเื่เงินเสร็จแล้วทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง เมื่อท่านอาหารเช้าเรียบร้อยฉินจื่อเฉินกลับมาที่เรือนของเขาอีกครั้งพร้อมอาหารที่เฉียวลู่แบ่งเอาไว้ให้เขาทั้งเล่าเื่ทั้งหมดให้ฉินอี้เหยาท่านแม่ของเขาฟังทั้งหมด นางร้องไห้ออกมาทั้งลูบหน้าลูบไหล่บุตรชาย ลูกชายคนเดียวของนางต้องลำบากถึงเพียงนี้ที่นางทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่นะ ถ้าหากนางไม่แกล้งความจำเสื่อมและกลับไปที่นั่น บุตรชายของนางป่านนี้อาจจะยืนอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น หรือไม่ก็อาจจะตายไปแล้วเพราะใครบางคนที่คิดทำร้ายพวกเขา ฉินอี้เหยาถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าใจ
“ดีแล้วจ้ะเมื่อแม่หายดีแล้วแม่จะไปช่วยลูกเหมือนกัน”
ฉินจื่อเฉินโผเข้ากอดมารดาของตนด้วยความดีใจ ในที่สุดท่านแม่ของเขาก็เลิกเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนเสียที
“ท่านแม่ข้าดีใจมากขอรับ ท่านต้องทานอาหารให้มากๆ และอย่าลืมทานยาที่ท่านหมอชางให้มานะขอรับท่านจะได้หายป่วยเร็วๆ”
ฉินอี้เหยาพยักหน้าให้บุตรชายของนาง
“ได้สิแม่เชื่อเฉินเอ๋อ”
หลังจากที่ฉินจื่อเฉินดูแลท่านแม่ของเขาเรียบร้อยเขาก็ตรงไปที่กระท่อมของเฉียวลู่ทันที นางเตรียมตัวรออยู่แล้วเมื่อเห็นฉินจื่อเฉินเดินมาแต่ไกลนางก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“มาแล้วหรือจื่อเฉินน้อยพวกเรากำลังจะไปกันพอดี”
ฉินจื่อเฉินยิ้มตอบนาง เป็ครั้งแรกที่เฉียวลู่เห็นเด็กชายยิ้มออกมาด้วยความจริงใจไม่ใช่ยิ้มธุรกิจเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเปิดใจให้ใครบ้างแล้ว คณะของเฉียวลู่ตรงไปที่สระบัวอีกครั้งเมื่อพวกนางไปถึงที่นั่นชาวบ้านมากมาต่างจับกุ้งอยู่ในสระบัวทำเอาเฉียวลู่ถึงกับงง ทำอะไรไม่ถูก
“นี่พวกท่าน!!”
ชาวบ้านต่างหันมายิ้มให้เฉียวลู่ หญิงวัยกลางคนที่ทักแม่เฒ่าหลี่เมื่อวานก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“มาแล้วหรือเฉียวลู่ เมื่อวานข้าได้ยินว่าเ้ารับซื้อกุ้งหรือวันนี้ยังรับซื้อเหมือนเดิมหรือไม่”
เฉียวลู่สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง
“เ้าค่ะก็ยังรับเหมือนเดิมแต่ข้ารับเฉพาะตัวใหญ่เท่านี้นะเ้าคะ จับตัวเล็กมาก็โดนคัดออกอยู่ดี”
เฉียวลู่จับกุ้งในตะกร้าของเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากนางยกให้พวกเขาดู ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้จากนั้นพวกเขาก็หันมาดูกุ้งที่อยู่ในตะกร้าของตนตัวเล็กก็ปล่อยลงน้ำไปเพื่อให้มันตัวโตในวันหน้าพวกเขาจะได้กลับมาจับมันอีก เฉียวลู่พยักหน้าให้กับเหล่าชาวบ้านที่ยังมีจิตสำนึก ไม่หลับหูหลับตาจับเอามาทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กโดยไม่สนว่าจะขายได้หรือไม่
“นี่พี่หลี่เมื่อเช้าเป็อย่างไรบ้างกุ้งพวกท่านขายดีหรือไม่”
แม่เฒ่าหลี่ที่กำลังงมกุ้งอยู่หันมามองคนที่ถามตน
“ก็พอได้ต้องขอบคุณน้ำจิ้มสูตรลับของตระกูลเฉียวไม่อย่างนั้นกุ้งย่างเปล่าๆ ไม่มีคนซื้อหรอก”
แม่เฒ่าหลี่พูดสกัดชาวบ้านที่คิดนำกุ้งไปขายเลียนแบบบ้างให้กลับไปคิดใหม่อีกครั้ง การค้าขายเป็เื่อิสระที่ใครๆ ก็สามารถขายได้แต่จะขายดีหรือไม่ก็เป็อีกเื่ แต่ถ้าหากไม่มีคู่แข่งนั่นยิ่งเป็เื่ดี
จางหย่งไม่ได้มาจับกุ้งด้วยเหมือนเคย เขาทำหน้าที่ตัดไม้ไผ่ทำกระบอกใส่กุ้งย่างหม่าล่าเฉียวลู่มีความคิดบางอย่าง นางอยากจะทำหม่าล่าต้มด้วยในหน้าหนาว แต่รอไปก่อนเอาไว้ให้อากาศเย็นกว่านี้นางคิดว่ามันจะต้องขายดีมากกว่าตอนนี้แน่นอน ถึงตอนนั้นหากไม่มีกุ้งก็ใช้อย่างอื่นมาทำแทนเช่นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อกระต่าย เห็ดหรือผักได้ทั้งนั้น ถ้ามีกระบอกไม้ไผ่เื่ใส่น้ำซุปไม่ใช่เื่ที่น่าเป็ห่วงอีกต่อไป
เฉียวลู่เกรงว่าจางหย่งทำงานคนเดียวจะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ดังนั้นนางจึงเสนอให้เขาชวนคนที่รู้จักมาช่วยตัดกระบอกไม้ไผ่และลับขอบปากกระบอกให้เรียบเนียน กระบอกไม้ไผ่หนึ่งร้อยอันในราคายี่สิบเหวินไม้ไผ่บนูเามีมากมายพวกผู้ชายกว่าครึ่งหมู่บ้านต่างรีบมาช่วยงานจางหย่งหลังจากได้ยินข้อเสนอของเขา
่นี้ไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยวพวกเขาได้งานที่ง่ายดายขนาดนี้ทั้งยังไม่ต้องลงทุนอะไรใช้แค่แรงที่พวกเขามีอยู่แล้วเหลือเฟือ งานแบบนี้ไม่นับว่าเหนื่อยอะไรเหมือนจับเสือมือเปล่าก็ว่าได้ ตัดกระบอกไม้ไผ่ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขาเลย
ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ที่หน้าเรือนสกุลจางแม่เฒ่าหลี่กำลังทำหน้าที่ชั่งกุ้งของชาวบ้านที่นำมาขายคนสุดท้าย จางหย่งกำลังต้มกระบอกไม้ไผ่ในเรือนเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่พวกเขาไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรตามคำสั่งของเฉียวลู่ ฉินจื่อเฉินอวี้หลงและอวี้ชิงกำลังทำหน้าที่นำไปคว่ำผึ่งลมเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ กระบอกไม้ไผ่มีหลายร้อยกระบอกนับว่ามีใช้อย่างเหลือเฟือไปหลายวัน แต่พรุ่งนี้มีคนจองเอาไว้แล้วแปดสิบชุดดังนั้นพวกเขาจึงต้องกันส่วนนี้เอาไว้ไม่นับรวมที่จะขายต่อไป
“กินข้าวได้แล้วเ้าค่ะทุกคน”
เฉียวลู่และหลิวหงรับหน้าที่ทำอาหารซึ่งดูเหมือนนางจะทำได้ดีทีเดียวอาหารที่ทำจากกุ้งมากมายวางอยู่บนโต๊ะ เฉียวลู่ทำข้าวต้มกุ้งใส่หม้ออุ่นไว้บนเตาด้วย
“จื่อเฉินน้อยมาทานด้วยกันก่อนสิอย่าพึ่งกลับห้ามปฏิเสธนะ”
ตอนแรกฉินจื่อเฉินจะกลับไปที่เรือนของตนแต่เฉียวลู่บอกให้เขาทานที่นี่ก่อนเด็กชายทำตามที่เฉียวลู่สั่งอย่างว่าง่าย บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นยิ่งไม่ต้องให้พูดเป็ครั้งที่สองเข้าประจำที่นั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาสองคนเมื่อก่อนก็มาทานอาหารที่นี่บางครั้งก่อนที่เฉียวลู่จะตกเขาไป แต่เพราะนางไม่มีความทรงจำของเฉียวลู่คนก่อนนางจึงไม่รู้เื่ที่เด็กน้อยทั้งสองของนางชอบมาทานอาหารที่เรือนสกุลจาง
หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็คุยนัดแนะเื่เกี่ยวกับการขายกุ้งย่างสำหรับวันพรุ่งนี้เล็กน้อยจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับเรือนของตน เฉียวลู่ยกหม้อข้าวต้มตามฉินจื่อเฉินไป
“เดี๋ยวก่อนจื่อเฉินน้อยรับนี่ไปสิท่านแม่ของเ้ายังไม่ได้ทานอาหารเย็นใช่หรือไม่”
ฉินจื่อเฉินยื่นมือไปรับหม้อข้าวต้มมา
“ขอบคุณขอรับพี่เฉียวลู่”
เขาไม่ปฏิเสธนางอีกแล้วเพราะเฉียวลู่บอกว่ามันเป็สวัสดิการที่มีไว้สำหรับครอบครัวของพนักงานซึ่งฉินจื่อเฉินไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใดแต่เขาเชื่อในสิ่งที่เฉียวลู่พูด เขาพยักหน้าทำตามแต่โดยดี เขาคิดว่าไม่ว่าเื่อะไรก็ตามที่พี่เฉียวลู่สั่งเขาล้วนทำตามเพราะนางไม่มีทางสั่งเขาให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแน่
“เอาล่ะเด็กๆ เราก็กลับกระท่อมน้อยของเรากันดีกว่า”
เด็กชายทั้งสองพยักหน้าจูงมือเฉียวลู่เดินขึ้นไปบนเชิงเขาที่ตั้งของกระท่อมน้อยพร้อมกับตะวันที่กำลังค่อยๆ ลับทิวเขาไป
