หลังจากจบเหตุการณ์ของเจียงซานและโม่เซียน อวิ๋นเสียนหนานก็กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสงบที่อารามของตนเองสงบอยู่มั้ง นางหลบหน้าหลบตาศิษย์น้องมาได้เกือบวันแล้ว รู้งี้นางหลอกเอาเงินใต้เท้าเผยสักตำลึงสองตำลังยังดี
เอ้ยไม่ใช่ ๆ หมายถึงขอเก็บเงินค่าทำพิธีสักนิดหน่อย จะว่าไปเหลือเวลาอีกสองวััน ไม่รู้ใต้เท้าเผยจะมาหานางตามคำกล่าวของนางหรือไม่นะ เขาดูเป็คนเชื่ออะไรยากๆอยู่ด้วย แต่หากกล่าวบอกเล่าสาเหตุที่เขาต้องมาหานางที่อาราม นางก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่
จิตใจของคนยากคาดเดา พอไม่ใช่เื่ของตนเองกลับเชื่อได้ง่ายนัก แต่หากเื่นั้นเกิดขึ้นกับตนเองเล่า
อวิ๋นเสียนหนานได้แต่ถกเถียงในใจ จนไม่ได้สังเกตุรอบตัวตนเองว่ามีคนเดินเข้ามาหานาง
“ข้าว่าแล้วศิษย์พี่ต้องมาแอบอยู่ในห้องชำระจิตแน่นอน” ฉือเฉิงว่ากล่าวก็นั่งลงข้างอวิ๋นเสียนหนาน พลางหลับตาท่องคาถาชำระจิตใจเป็การช่วยอวิ๋นเสียนหนานอีกแรง
เป็ปกติทุกครั้งที่ศิษย์พี่ของเขาไปปราบผี มักจะนำเจดีย์โลกากักิญญา มาใส่เจดีย์กักิญญาในห้องชำระจิตแล้วก็พลางสวดท่องคาถาชำระจิตให้กับเหล่าิญญานั้นเสมอ
แย่แล้ว นางได้แต่โอดครวญในใจไม่กล้าบ่นออกมา “ฮ่าฮ่า เ้าตามหาข้าอยู่หรือ” อวิ๋นเสียนหนานขำเสียงแห้งออกมา
“เปล่าเสียหน่อย ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องมาที่นี้ต่างหาก” ศิษย์พี่ของเขาทำเหมือนเป็เด็กแอบผู้ใหญ่เวลาทำผิดไปทำไมกัน ก็แค่ไม่ได้เงินจากการปราบผี
เฮ้อเอาเถิด ๆ อารามตอนนี้ยังไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย เขาก็หารักษาคนได้เงินมานิดหน่อย งั้นหน้าที่หาเงินปล่อยให้เป็เขาแล้วกัน
ฉือเฉิงไม่ได้กล่าวออกไปหากกล่าวออกไปเขากลัวศิษย์พี่จะร้องไห้ นางอาจจะเข้ามาลูบหัว ตบก้น ราวกับเขาเป็ลูกน้อยเสียมากกว่า แค่คิดแล้วก็ขนลุกเสียยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก
“ท่านไม่ต้องแอบข้าหรอก ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่ได้เงิน เสี่ยวชางบอกข้าหมดทุกอย่าง”
อวิ๋นเสียนหนานคิ้วกระตุกทันที เ้าเสี่ยวชางคนเลี้ยงไม่เชื่อง เพ้ยๆข้าจะจับตีให้ก้นลายเลยคอยดูเถอะ
“ท่านเลิกด่าคนอื่นในใจได้หรือไม่ สีหน้าท่านมันอ่านง่ายไป สิ่งที่ท่านทำมันดีอยู่แล้ว จะกลัวไปไย” ฉือเฉิงเอ่ยกล่าวหันมาสบตากับอวิ๋นเสียนหนานตรงๆ
“ท่านทำดีดีมากแล้ว แต่ข้าเป็ห่วง ดีที่คราวนี้มีขุนนางไปกับท่าน แต่ท่านก็ควรระวังตัวด้วย จิตใจของคนช่างน่ากลัวยิิ่งนัก” สิ่งที่ฉือเฉิิงกล่าวมา อวิ๋นเสียนหนานรับรู้ได้ถึงความจริงใจที่ฉือเฉิงมีต่อนาง
นางกับฉือเฉิงเติบโตมาด้วยกัน แม้นจะไม่มีสายเืเดียวกัน แต่กลับผูกพันธ์ยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆเสียอีก อวิ๋นเสียนหนานยิ้มละมุนอ่อนโยนออกมาให้ฉือเฉิง “อืม ข้ารับปากเ้า"
ฉือเฉิงรู้สึกภาพตรงหน้าทำให้ตาเขาลายยิ่งนัก “เอ้ออืม แต่อย่างไรก็ต้องได้เงินมาใช้จ่ายในอารามบ้าง อารามนี้ของข้าคนเดียวเสียที่ไหน”
“แหะ ศิษย์น้องจริงๆบ้านข้ารวยมากนะ เ้าอยากได้เงินเท่าไหร่ขอแค่เพียงบอก” นางตบอกพยักหน้าราวกับจะบอกที่นางทำตัวจนไม่เก็บเงินค่าปราบผี เพราะจริงๆแล้วนางรวยมากอย่างนั้นหรือ
ที่เขาบอกให้นางคอยเก็บเงิน เพราะนางเอาแต่เสี่ยงอันตราย บางคราเจ็บตัวไม่ได้อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ เงินค่ายาตัวเองยังไม่พอจ่าย ลงแรงอย่างไรก็ควรได้ค่าตอบแทนบ้าง
เขาอยากให้นางได้ภูมิใจกับเงินที่ตัวเองหาได้จากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ที่ไหนได้นางภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือิญญามากกว่าการหาเงินได้เสียอีก ฉือเฉิงได้แต่ส่ายหน้าเอ็นดูให้กับศิษย์พี่ตัวเอง
“นี่ศิษย์น้องส่ายหน้าไม่เชื่อว่าข้ารวยอย่างงั้นหรือ” อวิ๋นเสียนหนานไม่รู้ความคิดของฉือเฉิง นางคิดเพียงว่าเขาไม่เชื่อว่านางรวย ฉือเฉิงรู้สึกร่ำไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เอาเถอะ เขาจะเลี้ยงศิษย์พี่ให้เติบโตอย่างดีเอง
“ข้าจะบอกเ้าให้นะ ข้าเป็ลูกสาวตระกูลใหญ่มาก ๆ ในเมืองหลวงเชียวนะ” อวิ๋นเสียนหนานเอ่ยกล่าวอย่างจริงจังเพียงแต่สายตาของนางหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“อืมงั้นข้าก็เป็ทายาทหนึ่งเดียวของโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง” ฉือเฉิงกล่าวจบ ก็ลุกเดินออกจากไป เหลือเพียงอวิ๋นเสียนหนานที่ยังนั่งมองควันธูปอย่างเหม่อลอย
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเข้าสู่วันที่สาม วันนี้ิอวิ๋นเสียนหนานนับคำนวนตามศาสตร์ดูญาณที่นางได้ร่ำเรียนมา นางขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย เอ๋เหตุใดวัันนี้มีคนมาเพิ่ม นางต้องช่วยคนเพิ่มงั้นหรือ
นางเหลือบมองแอบค้อนใส่ต่อหน้าองค์ปรมาจารย์แห่งเต๋า ท่านอาจารย์ปู่นะท่าน ท่านส่งคนมาเยอะข้าไม่ว่า แต่คนที่ท่านส่งมาให้ช่วยแต่ละคนอาการหนักยิ่งนัก ข้าก็มีเพียงสองมือนะ หากนับรวมศิษย์น้องยังได้แค่สี่มือเอง
“ศิษย์พี่มองค้อนท่านอาจารย์ปู่ระวังโดนอัสนีอาจารย์ปู่ฟาดได้นะ” ฉือเฉิงเดินเข้ามาก็เจออวิ๋นเสียนหนานทำท่าทางจะตีกับรูปปั้นปรมาจารย์เต๋าเสียแล้ว
“ใครจะกล้ากัน นี่เ้าว่าท่านอาจารย์ปู่หายไปกระบี่คู่ใจ เ้าว่ากระบี่อาจารย์ปู่อยู่ที่ใด”
นางสงสัยยิ่งนัก ว่ากันว่าอาจารย์ปู่หลังจากนิพพานก็ได้เป็เซียน กระบี่ของท่านบ้างก็ลือว่าตกอยู่ในทะเลทรายทางตะวันตก ช่างน่าค้นหายิ่งนัก
มีหรือฉือเฉิงจะไม่เข้าใจศิษย์พี่ตนเอง นางคงหารเื่เสี่ยงอันตรายอย่างเช่น ลองไปหากระบี่คู่ใจของท่านอาจารย์ปู่แน่นอน
“ท่านเข้าสู่เต๋าเพื่อตามหากระบี่หรือ” ฉือเฉิงถามนางกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด
“เปล่าเสียหน่อย ข้าเข้าสู่เต๋าเพราะอยากเป็เซียน นี่เ้ารู้หรือไม่ว่าความฝันของข้าจริงๆคือการได้เป็เซียนพ่วงตำแหน่งเทียนโฮ่วของเทียนจวิน” นางฉีกยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ให้ฉือเฉิง
ฉือเฉิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกอยากร้องไห้ต่อหน้ารูปปั้นปรมาจารย์ปู่ไปเสียเลย แน่นอนนักบวชสองคนไม่รับรู้เลยว่าบทสนทนาของทั้งคู่ได้ตกเป็เป้ากับผู้มาเยือนใหม่
เสียงชายผู้หนึ่งหลุดหัวเราะออกมา ขณะที่เขาประคองหญิงชราข้างกายเข้ามายังอารามเพื่อจุดตะเกียงน้ำมัน กราบไหว้ปรมาจารย์เต๋า เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเห็นนักบวชเต๋าหญิงผู้หนึ่ง
คาดหวังว่าจะได้เจอกระบี่ของปรมาจารย์เต๋าไม่ก็คาดหวังว่าจะได้เทียนโฮ่วของเทียนจวิน มหาเทพผู้ปกครอง์เก้าฟ้าชั้น นางช่างตลกยิ่งนัก
“ขออภัยเหล่านักพรต หลานข้าเสียมารยาทแล้ว” หญิงชราข้างกายชายหนุ่มผู้นั้น พลางหันมาตีไหล่หลานชายตนเองเบาๆ
แน่นอนนักพรตสองคนนั้น คนหนึ่งรู้สึกอาย ส่วนอีกคนกลับไม่รู้สึกอายกับสิ่งที่ตนเองเอ่ยกล่าวว่าอยากเป็เทียนโฮ่วสักนิด
“ผู้มีบุญมาจุดน้ำมันตะเกียงหรือ เชิญทางนี้ขอรับ” ฉือเฉิงว่ากล่าวก่อนนำหน้าเดินคนทั้งสองไป
เจอตัวแล้ว สองคนนี้และที่นางต้องช่วยเหลือ นางรีบเดินตามทั้งสามคนไปยังสถานที่ที่ไว้จุดตะเกียงน้ำมัน
“ศิษย์พี่ยืนรอผู้มีบุญสองท่านนั้นหรือ”
“อืม วันนี้เ้ากับข้าจะได้แสดงความสามารถนักบวชเต๋าแล้ว” อวิ๋นเสียนหนานเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสองหลังจากจุดตะเกียงน้ำมันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหานักพรตทั้งสองที่ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่าท่านนัหพรตทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ” หญิงชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นามแห่งเต๋านักพรตสือหนาน ส่วนนี่ศิษย์น้องของข้า หรือเ้าอาวาสน้อยแห่งอารามมู่หญง นามแห่งเต๋าคือฉือหนาน” อวิ๋นเสียนหนานว่ากล่าวแนะนำตัว
“ท่านทั้งสองนี่เองที่เป็ลูกศิษย์อาจารย์เยี่ยน เรียกข้าว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟางแล้วกัน”
“ท่านคือตระกูลฟางที่คอยบริจาคสิ่งของมากมายให้อารามของเรางั้นหรือ เสียมารยาทมากแล้ว” ฉือเฉิงเอ่ยกล่าวถามอย่างยินดียิ่ง เขารับรู้มาตลอดว่าตระกูลฟางมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอาจารย์
“ใช่แล้ว ส่วนนี่หลานข้าลั่วฉางหลานชายของข้าเอง” ลั่วฉางทำเคารพนักพรตทั้งสอง
สายตาอวิ๋นเสียนหนานจับจองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าฟางเพียงผู้เดียว โดยไม่รับรู้เลยสายตาของลั่วฉางยามมองนางดวงตาสว่างไสว
ดียิ่ง หากเป็คนตระกูลฟางคนรู้จักของอาจารย์ น่าจะไว้ใจความสามารถของนางสักนิดสักหน่อยก็ยังดี
“ขออภัยหากข้ามีเื่สำคัญอยากพูดคุยกับท่านทั้งสอง เราไปหาที่พูดคุยกันดีหรือไม่”
ทั้งสองได้ยินก็แปลกใจ เื่สำคัญเช่นนั้นหรือ นี่เป็การเจอหน้ากันครั้งแรกของทั้งคู่ ไม่รู้เหตุใดลั่วฉางผู้เป็หลานชายกับรู้สึกว่านักพรตหญิงตรงหน้า หรือนางรู้อาการของท่านย่างั้นหรือ
“เ้าก็ด้วยศิษย์น้อง เื่นี้ต้องได้เ้าช่วย” ฉือเฉิงเข้าใจความหมายของศิษย์พี่ตัวเองทันที
สิ่งที่เขาช่วยได้ก็เพียงแต่รักษาคน เช่นนั้นเื่นี้เห็นทีจะเกี่ยวทั้งผีและคน
ฮูหยินผู้เฒ่าฟางหันไปพยักหน้าเชิงตกลง ลั่วฟางเห็นเช่นนั้นจึงหันไปสั่งคนสนิททั้งหมดไปรอข้างนอก
ภายในห้องรองรับแขกที่ทางอารามได้จัดเตรียมไว้ให้คนทั้งสอง อวิ๋นเสียนหนานประเมิณสองคนตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
อืม พลังปราณไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป สตรีผู้นี้เคยเป็ใหญ่สุดในวังหลังงั้นหรือ ผ่านเื่ราวต่างๆ มามากมาย ไม่ธรรมดาจริงๆ พลังลมปราณที่มีก็น้อยเสียจนน่าใ โดนดูดกินิญญาด้วยเช่นนั้นหรือ เข้าใจแล้ว อวิ๋นเสียนหนานพยักหน้าให้กับตัวเอง
ส่วนอีกคน พลังลมปราณก็ไม่ธรรมดา หากแต่เป็พลังลมปราณของราชันังั้นหรือ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาสินะ ัอีกตนที่อยู่ตอนนี้ โอ้ยไม่ ๆ นี่ไม่ใช่เื่ของนาง ขอข้ามๆ ไปก่อน อวิ๋นเสียนหนานพลางบ่นกล่าวในใจ
ดูจากโหงวเฮ้งบนใบหน้าชายหนุ่มผู้นี้น่าจะเจออุปสรรคอีกเยอะกว่าจะถึงเวลานั้น อีคนเป็หงส์ อีกคนเป็ั หากแต่เป็หนึ่งเก่า หนึ่งใหม่อย่างนั้นหรอกหรือ
ทั้งสามคนที่เหลือไม่มีใครพูดอะไรทำได้เพียงแต่มองอวิ๋นเสียนหนานที่ทำหน้าขมวดคิ้วไปมา ลั่วชางเห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกขบขันชอบกล ไม่ใช่นางคุยกับตนเองในใจจนลืมคนรอบข้างไปหมดแล้วใช่หรือไม่
ส่วนฉือเฉิงคงเป็อย่างอื่นไม่ได้นอกจากแอบบ่นศิษย์พี่ตัวเองในใจ เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบไป เขาจึงเอ่ยกล่าวสนทนาขึ้นมา
“ข้าไม่ทราบว่าท่านทั้งสองจะมา เสียมารยาทแล้ว” ฉือเฉิงเอ่ยกล่าวขออภัยฮูหยินผู้เฒ่าฟางด้วยจริง ตระกูลฟางใจบุญกับทางอารามของเขายิ่งนัก คอยส่งของมาช่วยเหลือ หรือบริจาคอยู่บ่อย ๆ
แต่ปกติแล้วข้าวของที่นำมาบริจาคก็เป็เพียงพ่อบ้านของตระกูลฟางนำมา ไม่รู้เหตุใดผู่เฒ่าของตระกูลมาเยือนอารามด้วยตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้