ทุกวันนี้แต่ละครัวเรือนยากจนกันมาก ปีหนึ่งแทบจะเก็บเงินกันไม่ได้เลย หรือต่อให้เก็บได้หน่อย ส่วนใหญ่ก็ยังต้องเหลือไว้สร้างบ้านให้ลูกชายแต่งภรรยา ทำให้หลายสิบปีมีเงินสะสมแค่หลักสิบถึงร้อยเท่านั้น เจิ้งเทียนิเจ็บหนักครานี้ต้องผ่าตัดใหญ่ จำเป็ต้องใช้ยาชาตะวันตกและแผ่นเหล็กดามกระดูก ซึ่งนับเป็เงินจำนวนมหาศาล ขอยืมแปดหยวน สิบหยวนจากเพื่อนบ้าน คนเขายังให้ยืม แต่มายืมทีเดียวร้อยหยวน จะมีใครเขาให้ยืมเล่า?
เฝิงิเยว่ถอนหายใจหลังถูกเพื่อนบ้านปฏิเสธมาสองบ้าน
เงินเก็บส่วนตัวของเธอบวกกับยี่สิบหยวนที่ยืมมาจากเพื่อนบ้าน รวมเป็เงินห้าสิบหยวน แต่มันยังไม่พอ เฝิงิเยว่ก้มหน้าก้มตาวางเงินเรียงนับทีละใบๆ คำนวณแล้วยังขาดอีกจำนวนหนึ่ง หรือเธอจะกลับไปยืมเงินบ้านเดิมมาสักรอบ แต่่แรกเธอทะเลาะกับที่บ้านเดิมใหญ่โตเพื่อแต่งงานกับเจิ้งเทียนิ และไม่ขอสินสอดจากตระกูลเจิ้งมากนัก นั่นทำให้บ้านเดิมของเธอไม่พอใจเป็อย่างมาก คาดว่าคงขอยืมได้ไม่เท่าไร อีกอย่างบ้านเดิมเธอค่อนข้างไกล ไปกลับคราหนึ่งต้องเปลืองเวลาพอสมควร ขาของเทียนิรอไม่ไหวหรอก
“พี่สะใภ้ ยังขาดอีกเท่าไรเหรอคะ?” เจิ้งเจวียนยกชามโจ๊กมันเทศบดวางลงบนโต๊ะ
แล้วดันมันให้เฝิงิเยว่พลางเอ่ย “พี่สะใภ้ กินรองท้องสักหน่อยนะคะ”
หากไม่ใช่เพราะที่บ้านมีเด็กสองคน เจิ้งเจวียนคงตามไปถึงโรงพยาบาลแล้ว เธอรออยู่ที่บ้านตลอดทั้งวันด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่และพี่ชาย จนกระทั่งพี่สะใภ้กลับมา พอได้รู้ข่าวว่าคุณแม่กับพี่ชายเธอไม่เป็ไรถึงโล่งใจได้สักพัก แต่เพิ่งจะผ่อนลมหายใจได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าพี่ชายต้องผ่าตัดขา จำเป็ต้องใช้เงินผ่าตัดจำนวนมาก อีกทั้งที่บ้านตอนนี้ยังขัดสนเงินทอง เธอจึงเห็นเฝิงิเยว่ออกไปขอยืมเงินพวกคนในหมู่บ้านต่อ ไม่นานเธอก็กลับมา
เฝิงิเยว่กำปึกเงินจำนวนหนึ่งในมือ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “ฉันกินอะไรไม่ลงหรอก… ยังขาดอยู่เยอะเลย”
“พี่สะใภ้ พี่ไปยืมที่บ้านอาเล็กหรือยัง ครอบครัวอาเล็กต้องมีเงินแน่” เจิ้งเจวียนครุ่นคิด
ในบรรดาเครือญาติของบ้านเธอ คู่สามีภรรยาของอาเล็กได้รับเงินเดือนกันทั้งคู่
ต้องมีเงินแน่
เฝิงิเยว่ตรงกลับบ้านทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล ไม่ได้แวะไปบ้านอาเล็ก เฝิงิเยว่เองก็ร้อนรนจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลืมนึกถึงครอบครัวอาเล็กไปเสียสนิท เมื่อเจิ้งเจวียนเตือนเช่นนี้ ดวงตาเธอพลันสว่างวาบ และถึงแม้ครอบครัวอาเล็กจะมีเงินให้ยืมไม่มาก ตัวเธอก็ยังมีนาฬิกาเรือนหนึ่งอยู่ ขายโดยไม่เอาคูปองน่าจะขายได้อยู่บ้าง แค่เธอไม่รู้ว่าต้องขายที่ไหนเท่านั้น แต่อย่างไรก็เจอทางออกแล้ว เมื่อมีวิธีหาเงิน ใจเธอจึงค่อยตื่นตระหนกน้อยลง
เฝิงิเยว่ดื่มโจ๊กบดได้สองอึก ก็วางชามลงแล้วรีบพูดอย่างลนลาน “งั้นฉันไปถามบ้านอาเล็กก่อน ซิงซิงกับหนิวหนิวเป็ยังไงบ้าง ไม่งอแงใช่ไหม?”
“ซิงซิงไม่ร้อง เด็กคนนี้เป็เด็กดีและรู้ว่าเกิดเื่ขึ้นที่บ้าน ส่วนหนิวหนิวร้องไห้อยู่พักหนึ่ง แต่ฉันโอ๋จนหลับไปแล้ว อยู่ในห้องของคุณแม่น่ะค่ะ” เจิ้งเจวียนบอก
เฝิงิเยว่เดินมาถึงหน้าประตู แม้เท้าข้างหนึ่งจะพ้นธรณีประตูไปแล้ว ทว่าก็วกกลับเข้าห้องของเฉินชุ่ยอวิ๋นอีกครั้ง หนิวหนิวกำลังหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็กๆ เปรอะเปื้อนมอมแมม ยังคงเห็นรอยคราบน้ำตาอยู่ ชวนให้ใจปวดหนึบ เธอลูบใบหน้าเล็กจ้อยของเขาพลางเปรยเสียงกระซิบ “น่าสงสารเหลือเกิน…” เว้น่ไปครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “วางใจเถอะ พ่อเขาต้องไม่เป็ไรแน่”
ก่อนออกไป เจิ้งเทียนเลี่ยงจูงมือซิงซิงตามมาส่งเธอ พร้อมด้วยเจิ้งเจวียน
เฝิงิเยว่ลูบหัวบุตรสาว และเอ่ยกำชับ “อยู่บ้านเป็เด็กดี เชื่อฟังคุณอานะ วันนี้แม่อาจจะไม่ได้กลับบ้าน่กลางคืน ให้คุณอาเล็กกอดลูกนอนแทนก่อน”
ซิงซิงได้ยินแล้วไม่ค่อยอยากจากมารดาเท่าไรนัก เด็กน้อยเอื้อมมือคว้าปลายเสื้อของเธอและถาม “แม่ แม่จะกลับมาเมื่อไรเหรอ”
เฝิงิเยว่นิ่งคิดสักพัก “พรุ่งนี้? คงพรุ่งนี้แหละ พรุ่งนี้แม่ก็กลับแล้ว”
ครั้นซิงซิงเข้าใจแล้วจึงคลายมือ
เวลานี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ฟ้าค่อนข้างมืด แผ่นหลังของเฝิงิเยว่หายลับไปในตรอก พวกเขาเตรียมหันกลับเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงเด็กสดใสลอยมาแต่ไกล “ดูหนังกันเถอะ ดูหนังกันเถอะ!”
คนรอบข้างต่างได้ยินเสียงะโกันหมด
ยุคสมัยนี้หมู่บ้านชนบทไม่มีกิจกรรมบันเทิงอื่นใด วิทยุเป็ของที่คนร่ำรวยซื้อใช้กัน ปกติเลยต้องรอให้หน่วยงานภาพยนตร์ลงพื้นที่ฉายหนังให้คนชนบทดู ซึ่งเป็หนังกลางแปลงที่ใช้เครื่องฉายเตาถ่านฉาย แตกต่างจากที่เจิ้งหยวนดูในโรงภาพยนตร์ในอำเภอ หนังของหน่วยงานภาพยนตร์ส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่า แถมยังเล่นวนซ้ำอย่างเื่ 《าอุโมงค์》 《ากับะเิ》 ต้องมีฉายปีละสองครั้ง
เนื้อเื่ของหนังพวกชาวบ้านจึงคุ้นเคยจนแทบจะท่องบทได้ แต่ทุกคราวที่เล่น
ยังมีคนไม่น้อยยอมไปดูอีกรอบ โดยเฉพาะเหล่าเด็กๆ
ที่ชอบเข้าร่วมงานรื่นเริงทำนองนี้ที่สุด
เมื่อก่อนเจิ้งเทียนเลี่ยงก็ไม่เคยพลาดสักครั้ง
“หงจวิน วันนี้ฉายหนังอะไรเหรอ?” พี่สะใภ้ไหลฝูข้างหน้าชะโงกหัวออกมาถาม
หงจวินตอบด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด “เป็หนังใหม่! 《ยุทธการยึดผาพยัคฆ์》! พี่สะใภ้ไหลฝูรีบไปเร็ว
สายกว่านี้จะไม่มีที่เหลือแล้ว!”
คนรอบข้างที่โดนเสียงดึงดูดออกมาแค่ได้ยินชื่อหนังก็รู้แล้วว่าตนเคยดูหรือเปล่า เมื่อเห็นเป็หนังใหม่ ก็เริ่มคึกคัก ะโร้องให้รีบกินข้าวแล้วไปจองที่นั่งกันเซ็งแซ่ เด็กน้อยบางคนไม่สนใจกระทั่งกินข้าว จะยกเก้าอี้ไปดูหนังเลยเสียเดี๋ยวนั้น
หงจวินะโพลางวิ่งไปด้วย เมื่อผ่านบ้านเจิ้งหยวน ก็เหลือบเห็นเพื่อนสนิทอย่างเจิ้งเทียนเลี่ยงพอดี
“เทียนเลี่ยง! ไปดูหนังกันเถอะ!”
เจิ้งเทียนเลี่ยงที่ชอบความสนุกเฮฮามาตลอดมาคราวนี้กลับส่ายหัว น้ำเสียงเซื่องซึมเล็กน้อย “ฉันไม่ไปนะ”
“ฮะ ไม่ไปเหรอ?” หงจวินในิดหน่อย แต่เขาไม่ถามต่อว่าทำไม
หนังใกล้จะเริ่มแล้ว แจ้งข่าวเสร็จเขาต้องรีบกลับไปจองที่นั่งก่อน “งั้นฉันไปก่อนนะ!” พูดจบแล้วก็วิ่งจากไปทันที
เจิ้งเจวียนเห็นน้องชายก้มหน้างุด ดูห่อเหี่ยวก็ตบไหล่เขาเบาๆ พลางบอกว่า “ถ้านายอยากไป—”
“ฉันไม่ไป” เจิ้งเทียนเลี่ยงปฏิเสธโดยไม่รอให้เธอพูดจบและเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “พี่ชายกับแม่ยังอยู่โรงพยาบาล ฉันไม่มีอารมณ์ดูหนังหรอก พี่ พรุ่งนี้เราพาซิงซิงกับหนิวหนิวไปเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาลเถอะ…”
“ได้ พรุ่งนี้เราไปโรงพยาบาลด้วยกันนะ”
“โอ๊ะ พี่สะใภ้ิเยว่นี่นา! พี่สะใภ้
พี่เทียนิเป็ยังไงบ้าง? ไม่เป็ไรใช่ไหม?”
เฝิงิเยว่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดิน อยู่ๆ ก็ได้ยินคนเรียกเธอ น้ำเสียงฟังดูคุ้นหู เป็เจิ้งเทียนหู่ที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดนั่นเอง แต่ไฉนเธอจะหยุดพูดคุยกับเขา เธอแกล้งทำเป็ไม่ได้ยินแล้วเริ่มวิ่งเหยาะๆ ต่อเสียอย่างนั้น
คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเทียนหู่จะไม่ยอมแพ้ เขาสาวเท้ายาวๆ ก่อนคว้าข้อมือของเฝิงิเยว่แล้วว่า “พี่สะใภ้รีบเดินไปไหนเหรอ?” เขาหรี่ั์ตาลง
แถมยังหยุดมองหน้าอกเฝิงิเยว่สักพักด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย
เฝิงิเหย่โดนคุกคามจนิัขึ้นตุ่มตะปุ่มตะป่ำ ขนลุกขนพองไปหมด เวลานี้คนต่างวิ่งไปดูหนังในกองกันหมด คนเลยบางตา ยิ่งเธอออกมานอกหมู่บ้าน ก็ยิ่งไม่มีเงาคนบนท้องถนนสักคน มีเพียงป่าไพรที่รายล้อม
เฝิงิเยว่สะบัดแขนออก เธอถอยหลังหลายก้าวแล้วเอ่ยอย่างระแวง “นายมีอะไร? พี่เทียนิยังรอฉันไปส่งเงินให้เขาที่โรงพยาบาล”
พอแขนของผู้หญิงหลุดมือไป เจิ้งเทียนหู่รู้สึกคิดถึงัันุ่มนิ่มนั้นอยู่บ้าง เขาถูนิ้วแล้วพูดด้วยสีหน้าไม่ประสงค์ดี พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอที่ชวนให้ขนลุกชัน “พี่สะใภ้ ฉันได้ยินว่าขอยืมเงินไปทั่วเพื่อหาค่าผ่าตัดให้พี่เทียนิอยู่นี่? ทำไมไม่มายืมที่บ้านฉันล่ะ? ญาติกันทั้งนั้น เกิดเื่ใหญ่กับพี่เทียนิขนาดนี้
ยังไงก็ต้องช่วยกันอยู่แล้วใช่ไหม?”
บ้านเขาหรือจะมีเงิน! หลายปีมานี้พึ่งพาเงินบ้านเธอทั้งนั้นถึงผ่านไปได้! เฝิงิเยว่ดูถูกเหยียดหยามในใจ
แต่พอเห็นเจิ้งเทียนหู่เข้ามาใกล้อีกก็รีบเบี่ยงตัวหลบ
“พี่สะใภ้ ลืมไปแล้วเหรอว่าเสี่ยวสยาเพิ่งแต่งออก บ้านฉันยังมีสินสอดของเสี่ยวสยาอยู่!” เจิ้งเทียนหู่ที่รับรู้ความรังเกียจของเฝิงิเยว่หัวเราะมีเลศนัย
เขาคลึงนิ้วมือแ่เบา “พี่สะใภ้ นั่นเงินร้อยหยวนเลยนะ เงินมากขนาดนี้
น่าจะพอค่าผ่าตัดให้พี่เทียนิบ้างละมั้ง?”
ดวงตาของเฝิงิเยว่พลันเป็ประกาย ดูดีใจอย่างยิ่ง “นายยอมให้ฉันยืมเหรอ?”
“ยอมอยู่แล้ว ขอแค่…” เขาหยุดครู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นหรี่ลงจดจ้องบนของสงวนของเฝิงิเยว่อีกครั้ง น้ำลายแทบจะไหลยืดออกมาจากปาก “ขอแค่พี่สะใภ้นอนกับฉันสักคืน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้