โจวชิงหวาเป็คนแรกที่คลายความประหลาดใจ เขาก้าวไปข้างหน้าพลางถาม “เ้ากำลังมองหาอะไรหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์คล้ายจะไม่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม สายตาวาวโรจน์ของนาง เอาแต่เพ่งมองรอยแผลรูปดาราด้วยความอาฆาตแค้น... นี่เป็ร่องรอยแบบเดียวกันกับที่หลงเหลืออยู่บนร่างของหนีเจียเฮ่อ ตอนที่ตระกูลหนีถูกฆ่าล้างในชาติก่อน
ในที่สุด คนผู้นั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ!
มือของหญิงสาวกำแน่น โจวชิงหวาขมวดคิ้ว มองท่าทางของอีกฝ่ายด้วยความกังวล จากนั้นจึงเอ่ยเรียกเบาๆ “เสี่ยวเอ๋อร์”
ด้านหนีเจียเฮ่อ ก็โพล่งขึ้นด้วยความเป็ห่วงเช่นกัน “เสี่ยวเอ๋อร์ พูดอะไรหน่อยสิ พี่ใไปหมดแล้ว!”
ภาพใบหน้าเศร้าเคล้าน้ำตายามที่เขากำลังจะตาย เด่นชัดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง นางจึงยื่นแขนออกไปกอดพี่ชายด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ท่านพี่!”
หนีเจียเฮ่อคิดว่าน้องสาวยังคงพรั่นพรึงจากการถูกลักพาตัว จึงปลอบโยนเบาๆ “เสี่ยวเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว”
หนีเจียเอ๋อร์คลายอ้อมแขน เงยหน้า น้ำตาไหลพราก
โจวชิงหวาก้มลงไปมองหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าใบหน้างดงามนั้น กำลังแสดงอาการตื่นกลัวเพียงใด
หนีเจียเอ๋อร์ผ่อนลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ มองไปที่บุรุษสองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง แบบที่ไม่เคยเป็มาก่อน พลางถามเสียงเคร่งขรึม “ชิงหวา ท่านพี่ ช่วยข้าหาที่มาของรอยแผลรูปดาราหน่อยได้หรือไม่ ว่าเป็สัญลักษณ์ของใครหรือสำนักใด อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับขุนนางในราชสำนักหรือไม่?”
เหตุผลที่นางมิได้บอกให้ทำการตรวจสอบสวีเพ่ยหรานโดยตรง เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้พวกเขาทราบว่านางรู้เื่ราวทั้งหมดได้อย่างไร
โจวชิงหวาและหนีเจียเฮ่อมองหน้ากัน ทั้งสองต่างมีแววตาตื่นตะลึง
นางเคยเห็นาแแบบนี้ที่ไหน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจะมีรอยแผลเช่นนี้บนศพทั้งสอง อีกทั้งยังพุ่งเป้าไปยังขุนนางในราชสำนัก... นี่คือหนีเจียเอ๋อร์ที่พวกเขารู้จักจริงๆ หรือ? นางมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่!
ท่าทางของหนีเจียเฮ่อเปลี่ยนไป “ข้าช่วยเ้าตรวจสอบได้ แต่ขอถามเหตุผลได้หรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์มองพี่ชายด้วยสายตาจริงจัง และกล่าวขอโทษ “ท่านพี่ ชิงหวา ขออภัยด้วย ข้ายังบอกเหตุผลมิได้”
โจวชิงหวาจึงกล่าว “ไม่เป็ไร รอจนกว่าเ้าจะพร้อมเถิด”
หนีเจียเฮ่อถอนหายใจ “เอาละ ข้าไม่ถามก็ได้ แต่เ้าต้องสัญญากับพี่ ว่าเมื่อใดที่มีเื่เสี่ยงอันตราย เ้าจะต้องบอกพวกเราก่อนเสมอ”
สุดท้ายก็ดึงตัวโจวชิงหวาออกไปด้วยกัน “คืนนี้ ข้าต้องกลับไปที่วัง เื่นี้คงต้องพึ่งเ้าแล้ว ฝากดูความปลอดภัยของเสี่ยวเอ๋อร์ด้วย”
โจวชิงหวาพยักหน้า พลางตบไหล่อีกฝ่าย “ไม่ต้องวิตก!”
…
สามวันต่อมา
คนของโจวชิงหวาก็รายงานว่า าแรูปดาวนี้เกิดจาก ‘ฝานซิงลั่ว’ อาวุธพิเศษที่มีพิษร้ายแรง จนสามารถสังหารผู้คนให้ตายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซึ่งอาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยเว่ยฉีหราน
คนผู้นี้เคยเป็ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเจียงหู ต่อมาก็ได้ก่อตั้งสำนักฝูเซิงด้วยตัวเอง และดำรงตำแหน่งประมุขสำนัก ภายใต้การนำของเขา สำนักมีศิษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังสร้างชื่อเสียงอันดีงาม จนได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็แม่ทัพ
แต่หลังจากนั้นเว่ยฉีหรานก็เปลี่ยนไปเป็คนละคน กลายเป็คนเหลิงในอำนาจ ชื่อเสียงที่เคยดีงาม เริ่มฉาวโฉ่ไปทั่วใต้หล้า
หลังโจวชิงหวาได้ฟังรายงานจากลูกน้อง ก็รีบเดินทางไปที่จวนของหนีเจียเอ๋อร์เพื่อแจ้งความคืบหน้า
พอรู้ว่าเว่ยฉีหรานเป็ตัวการฆ่าล้างตระกูลหนีในชาติก่อน สิ่งที่หญิงสาวอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสวีเพ่ยหรานและเว่ยฉีหรานนั้น เป็มาอย่างไร
ประตูไม้ถูกผลักจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด เสี่ยวเสวียนเดินเข้ามารายงานว่า “คุณหนู นายหญิงให้มาแจ้งว่านายท่าน้าพบ ตอนนี้นายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดี โปรดระวังด้วยนะเ้าคะ”
โจวชิงหวามุ่นคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงกังวล “ข้าไปด้วย”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่จำเป็ ไม่ว่าท่านพ่อจะโมโหแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นทุบตีข้าหรอก เ้ากลับไปก่อน ไว้มีเวลาค่อยมาคุยกันที่ห้อง”
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็ผิดหวัง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อนิจจา... สาวงามกำลังมีปัญหา แต่วีรบุรุษไม่อาจช่วยได้”
เสี่ยวเสวียนยื่นเสื้อคลุมให้เขา พร้อมกล่าวยิ้มๆ “แต่ความรู้สึกที่คุณชายโจวมีต่อสาวงามนั้น ก็ช่างลึกซึ้งนัก แม้มอบหัวใจให้ทั้งหมดก็ยังไม่อาจทดแทนได้ จริงหรือไม่เ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์เม้มปากแน่น ก่อนดีดหน้าผากสาวใช้เบาๆ “เดี๋ยวนี้เ้ากล้าล้อเลียนนายอย่างข้าแล้วหรือ? กล้านักนะ คอยดูสิ ว่าหากข้ากลับมาแล้ว จะจัดการเ้าอย่างไร!”
โจวชิงหวาหยิบผลไม้บนโต๊ะ โยนใส่มือเสี่ยวเสวียน “ลองชิมดูสิ หวานดีนะ”
เสี่ยวเสวียนยัดผลไม้เข้าปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเ้าค่ะ คุณชายโจว”
หนีเจียเอ๋อร์เม้มปาก “เหอะ! ทุกวันนี้ เ้าหาเงินได้มากมาย แต่กลับยืมดอกไม้ถวายพระ[1]เช่นนั้น ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ?”
ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกาย เขาขยิบตาและคลี่ยิ้มบางๆ “พวกเราทั้งสองก็เสมือนดั่งคนคนเดียวกัน ว่าไม่สิ่งใดจะเป็ของเ้าหรือของข้า ก็ควรจะเรียกว่าของของเรา”
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี นางก็ไม่อาจลับฝีปากกับอีกฝ่ายได้ ทั้งยังไม่อาจรู้ ว่าเขาล้อเล่นหรือจริงจัง ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องเผชิญเื่เช่นนี้ หนีเจียเอ๋อร์จึงมักจะแสร้งทำเป็ไม่ใส่ใจอยู่เสมอ
โจวชิงหวามองไปที่แผ่นหลังแข็งขึงของหญิงสาว แล้วยิ้มมุมปากอย่างขี้เล่น “ระวังตัวด้วย!”
แต่หนีเจียเอ๋อร์เพียงพาเสี่ยวเสวียนไปยังห้องโถง โดยไม่หันกลับมามอง
ทันทีที่ก้าวผ่านประตู เสียงเกรี้ยวกราดของนายท่านหนีก็ดังขึ้น
“ช่างกล้านัก! คิดจะตรวจสอบสำนักฝูเซิง เ้ารู้หรือไม่ว่าเว่ยฉีหรานเป็ใคร? จะทำให้พวกเขาขุ่นเคืองจนนำหายนะมาสู่ตระกูลหนีหรืออย่างไร? หนีเจียเอ๋อร์ ฟังข้า เ้าต้องหยุดเดี๋ยวนี้!”
ชาติก่อน ตระกูลหนีก็มิได้ไปรังควานเว่ยฉีหราน แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับ กลับเป็ความตายอันน่าสังเวช...
เมื่อถูกตำหนิ หญิงสาวก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยแก้ตัว ทั้งยังไม่คิดจะหยุดตรวจสอบเช่นกัน
ซึ่งนายท่านหนีก็รู้ดี ว่าบุตรสาวผู้นี้ แม้ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยน ทว่าแท้จริงแล้ว ทั้งเข้มแข็งและดื้อรั้น หากตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว นางก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ฉะนั้น เขาจึงต้องหาผู้คุ้มกันมาเฝ้านางตลอดทั้งวัน
กระทั่งโจวชิงหวาจะมาหา ก็ยังต้องมีคนเหล่านี้อยู่ด้วย
...
ตกกลางคืน
โจวชิงหวาปลอมตัวลอบเข้าไปในจวนของเว่ยฉีหราน เพื่อค้นห้องทำงานของเขา แต่ยังไม่ทันพบสิ่งใดก็กลับโชคร้าย ถูกพบเข้าเสียก่อน
แม้จะถูกโจมตีจนาเ็ที่ท้อง ทว่ายังไม่ถูกเปิดเผยตัวตน ด้วยชายหนุ่มรีบหนีออกจากจวนสกุลเว่ยได้อย่างทันท่วงที
...
แสงจันทร์อาบไล้ไปทั่วเมืองหลวง
เป็เวลาสามวันสามคืนมาแล้ว ที่หนีเจียเอ๋อร์ไม่อาจเดินออกจากจวนสกุลหนีได้แม้แต่ครึ่งก้าว จึงรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก ทั้งยังนอนไม่หลับ รู้สึกกระสับกระส่าย วิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
------------------------------------
[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ (借花献佛: เจี้ยฮวาเสี้ยนฝอ) เป็สำนวนเปรียบเปรย หมายถึงนำของที่ผู้อื่นให้ มามอบให้กับอีกคนหนึ่งเป็ของขวัญ หรือสินน้ำใจ