“สกุลฉินมีเ้าจับตาดูอยู่ข้านั้นวางใจยิ่ง กู้จวิ้นเหว่ยและกู้จวิ้นเฉินต่อสู้กัน พวกเราจึงจะเป็ตาอยู่คอยเก็บผลประโยชน์ได้” คุณชายในอาภรณ์สีฟ้ายิ้มแล้วลุกขึ้น “แต่ว่าเยวี่ยปิง เ้าต้องรักษาตัวให้ดี แม้ข้าจะอยากได้ข่าวสาร แต่ความปลอดภัยของเ้าก็สำคัญเช่นกัน”
“นายท่านโปรดวางใจ”
ณ ชั้นห้า ตัวอักษรเทียน ห้องหมายเลขหนึ่ง
องค์ชายสามเป็เ้าภาพ เขามาพร้อมกับองค์ชายใหญ่ มาถึงก่อนใคร กู้จวิ้นเฉินมาหลังพวกเขา องค์ชายรองยังไม่มา
“เสด็จพี่รองปกติแล้วมาเร็วที่สุด วันนี้ไฉนจึงมาช้ากว่าน้องสี่เล่า?” องค์ชายสามงุนงง “อีกประเดี๋ยวต้องปรับให้เขาดื่มหลายๆ จอก”
“ครั้งนี้พวกเรามาฉลองให้กับน้องสี่ ที่ต้องดื่มก็ควรเป็น้องสี่ดื่มมากหน่อย” องค์ชายใหญ่กล่าว
“ไม่ได้ ไม่ได้” องค์ชายสามไม่เห็นด้วย “ร่างกายของน้องสี่ดื่มสุรามากได้ที่ไหนกัน?”
องค์ชายใหญ่หัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ร่างกายของน้องสี่อาจจะดีขึ้นมาแล้วก็ได้?” พูดแล้วก็มองมาทางกู้จวิ้นเฉินอย่างกังวล “น้องสี่ ระยะนี้หมอเทวดาเมิ่งอยู่ในเมืองหลวงตลอด พิษของเ้ามีความหวังหรือไม่?”
องค์ชายใหญ่ถามเช่นนี้ องค์ชายสามหัวใจบีบรัด กู้จวิ้นเฉินรู้ความหมายของพวกเขา อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขุนนางทั้งราชสำนัก ผู้ใดบ้างเล่าไม่อยากรู้ว่าพิษในร่างของเขานั้นสามารถถอนได้หรือไม่ หกปีก่อนเมิ่งเต๋อหลางได้บอกเอาไว้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี แต่ในหกปีมานี้เขามีชีวิตอย่างัและพยัคฆ์ ไม่เหมือนคนที่ถูกพิษแม้แต่น้อย ผู้คนเริ่มคาดเดา พิษของเขานั้นเป็เพียงหน้ากากหรือไม่
กู้จวิ้นเฉินเกิดความคิดขึ้นในพริบตา “ยังขาดตัวยาอีกชนิดหนึ่ง หมอเทวดาเมิ่งบอกว่าต้องหาพิษจากธรรมชาติ” ความจริงแล้วนี่เป็สิ่งที่หลี่ลั่วพูด เกี่ยวกับพิษทางชีวภาพแม้แต่เมิ่งเต๋อหลางก็ยังไม่รู้ วันนี้กู้จวิ้นเฉินเจตนาจะปล่อยข่าวนี้ออกไป พิษที่เขาได้รับนั้นถูกคนสลับสับเปลี่ยน เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามย่อมรู้ว่าจะถอนพิษได้อย่างไร เขาก็อยากจะดูว่าเป็ผู้ใดกันแน่ที่เป็ผู้วางยาพิษเขา เป็ผู้ใดที่วางหมากไว้ข้างกายเสด็จพ่อของเขาโดยที่เสด็จพ่อของเขาจากไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ความจริงนี้
“จริงหรือ?” องค์ชายใหญ่มองเขาด้วยดวงตาเป็ประกาย ความจริงแล้วไม่อยากเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับดวงตา สีหน้าของเขาจึงค่อนข้างแย่ “แล้วสามารถหายาพิษชนิดนั้นได้หรือไม่?”
กู้จวิ้นเฉินส่ายหน้า “หากสามารถหายาพิษชนิดนั้นได้ ร่างกายของข้าก็จะแข็งแรง หากไม่สามารถหายาพิษชนิดนั้น แม้ว่าข้าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่คาดว่าสุขภาพคงไม่ค่อยดีนัก”
ความหมายก็คือ มีชีวิตอยู่ได้เกินยี่สิบปีแล้ว
ตามข่าวที่องค์ชายใหญ่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เขาสงสัยว่าพิษของกู้จวิ้นเฉินนั้นได้รับการถอนพิษไปแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินกู้จวิ้นเฉินพูดเช่นนี้ เขาแทบจะรอไม่ไหว อยากกลับจวนไปปรึกษาหารือ แต่ต่อหน้านั้นเขากลับหัวเราะฮ่าๆ “ดีจริงๆ น้องชาย ประเดี๋ยวเ้าต้องดื่มฉลองสักหลายจอกหน่อยแล้ว”
“ดื่มเล็กๆ น้อยๆ ย่อมได้” กู้จวิ้นเฉินตอบรับ
“ดื่มเหล้าอย่างเดียวได้อย่างไรกัน?” องค์ชายสามพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “น้องสี่เ้าอายุไม่น้อยแล้ว วันนี้พี่สามจะให้เ้าเปิดหูเปิดตา” พูดแล้วเขาก็ดีดนิ้ว ประตูถูกเปิดออก แม่นางน้อยหลายคนเดินเข้ามาจากด้านนอก ผู้ที่นำหน้าอายุค่อนข้างมากน่าจะเป็มาม่าซัง แต่งกายงดงามทว่าไม่ธรรมดา
“คารวะนายท่าน” มาม่าซังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นางอายุไม่น้อย น้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้นทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น เมื่อมองรูปร่างก็เป็รูปร่างที่ดีเยี่ยม คิดแล้วในวัยสาวน่าจะเป็ที่เลื่องลือ
“ไม่ต้องมากมารยาท” องค์ชายสามโบกไม้โบกมือ อยู่ข้างนอกแล้วต้องมาใส่ใจพวกธรรมเนียมมารยาทที่วุ่นวายเหล่านี้จะเที่ยวให้สนุกมีความสุขได้อย่างไร พูดแล้วก็หันไปมองแม่นางที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดพลางกล่าวว่า “ฉินอิน นี่คือน้องสี่ของข้า วันนี้เป็ตัวเอก เ้าต้องปรนนิบัติเขาให้ดีเล่า”
“เ้าค่ะ” แม่นางฉินอินมีลักษณะเหมือนกับชื่อ เสียงไพเราะราวกับเสียงฉิน นางแต่งหน้าเพียงบางๆ ทำให้เครื่องหน้าทั้งห้าบนใบหน้านางนั้นงดงามบริสุทธิ์ราวกับเทพเซียน นางเดินก้าวเล็กๆ มาข้างกายกู้จวิ้นเฉิน “คุณชาย” นางค่อยๆ โค้งกายคำนับ น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง มือทั้งคู่วางลงบนไหล่ของกู้จวิ้นเฉิน ส่วนแม่นางคนอื่นๆ เห็นแล้วจึงรีบเข้าไปอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม
แต่ทว่า ‘ว้าย’...เพียงแต่ได้ยินเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่งของแม่นางฉินอิน
องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามรีบหันมามองนาง เห็นเพียงมือของนางถูกตะเกียบคู่หนึ่งคีบเอาไว้ จากสีหน้าซีดขาวของนางที่ปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว เกรงว่ามือน่าจะถูกคีบจนเจ็บอย่างยิ่ง
“น้องสี่ นี่เ้าทำอันใด?” องค์ชายสามรีบพูด “น้องสี่หนอ เ้าช่างไม่รู้จักทะนุถนอมเสียเลย หรือว่าสาวใช้ในจวนของน้องสี่รูปร่างงดงาม จึงไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตากันเล่า? ข้าคิดถึงเยียนเซ่อในจวนของน้องสี่ นางช่างเป็สตรีที่งดงามเสียจริง”
กู้จวิ้นเฉินดึงตะเกียบกลับมา “ข้ารักความสะอาด อย่างไรต้องรบกวนให้แม่นางระวังสักหน่อย” น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์
ฉินอินรีบคุกเข่าลงทันที “ขอบคุณคุณชายที่ไว้ชีวิตเ้าค่ะ” แต่ที่นางก้มหัวก็เพื่อปกปิดสีหน้าอัดอั้นตันใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ยินยอม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอันใดผิด เหตุไฉนคุณชายหนุ่มน้อยท่านนี้จึงต้องล่วงเกินนางเช่นนี้ ทำงานเช่นนี้จนเคยชิน แต่ความรู้สึกอัดอั้นตันใจและไม่ยินยอมนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของนางทุกวันๆ
“ไปปรนนิบัตินายท่านสามท่านนี้เถิด” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“เ้าค่ะ” ฉินอินรีบไปอยู่ข้างกายองค์ชายสาม
องค์ชายสามเชยคางนางขึ้นอย่างเ้าชู้ “งดงามเช่นนี้ น้องเล็กควรจะให้พี่ใหญ่จึงจะถูก” พูดแล้วก็ผลักฉินอินไปอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ยิ้มบางๆ รับหญิงงามมาสู่อ้อมกอด ฝ่ามือลูบไล้บนกายฉินอิน ั้แ่ก้นจนถึงหน้าอกท่ามกลางสายตาของทุกคน ทำให้ฉินอินยิ่งไม่มีที่จะยืนอยู่สำหรับตนเอง “เป็หญิงงามจริงๆ รูปโฉมงดงาม รูปร่างยิ่งงดงาม”
“คุณชาย” ฉินอินหน้าแดงก่ำ นางอายจนเืเกือบจะหยดออกมาแล้ว
“แต่ว่า...” องค์ชายใหญ่พูดยิ้มๆ “เปิ่นกงจื่อก็รักสะอาดเช่นกัน” พูดแล้วก็ตบๆ ลงบนหน้าของฉินอิน จากนั้นผลักออก
สีหน้าของฉินอินซีดขาวในชั่วพริบตา
“จริงๆ เลย ไม่สนุก” องค์ชายสามพูดอย่างรังเกียจฉินอิน “ออกไป ออกไป ข้าสองพี่น้องไม่เอาสักคน”
“แต่เยียนเซ่อที่น้องสามพูดถึงคือผู้ใดรึ?” องค์ชายใหญ่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ดวงตาขององค์ชายสามเป็ประกาย “สาวใช้ข้างกายของน้องสี่ ไอโยว แค่คิดถึงขึ้นมาใจข้าก็คันยุบยิบแล้ว”
“โอ๋? เป็เช่นนี้หรือ มิสู้น้องสี่มอบให้ข้า?” องค์ชายใหญ่พูดอย่างนึกสนุก
“ไม่มีปัญหา” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “หากพี่ใหญ่ไม่รังเกียจที่นางไม่บริสุทธิ์แล้วก็ย่อมได้”
องค์ชายใหญ่กลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่กี่นาทีที่แล้วเขายังบอกว่าตนนั้นรักสะอาดอยู่เลย “ไม่เป็ไร มองแล้วเจริญตาเจริญใจก็พอ”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าต้องเสียสาวใช้ไปคนหนึ่ง พี่ใหญ่ก็ควรทำให้ข้าพอใจด้วย” กู้จวิ้นเฉินกล่าวขึ้นอีก
“ฮ่าๆๆ...น้องสี่ชมชอบสาวใช้คนไหนในจวนของข้าหรือ ขอเพียงแต่บอกมา พี่ใหญ่ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ” พอดีกับที่ไม่มีหูตาอยู่ในประตูที่หนึ่ง หากด้วยเหตุนี้สามารถส่งคนเข้าไปได้คนหนึ่ง ช่างเป็โอกาสดียิ่งที่ฟ้าประทานให้ องค์ชายใหญ่คิดในใจ
“ในจวนของน้องชายไม่ขาดสาวใช้ ที่ขาดคือเงิน” ริมฝีปากกู้จวิ้นเฉินยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าให้สาวใช้แลกกับความเจริญตาเจริญใจของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ใช้เงินแลกกับความเจริญตาเจริญใจของตนเอง คุ้มค่าแล้วใช่หรือไม่?”
คุ้มค่ากับผายลมน่ะสิ องค์ชายใหญ่อยากด่าคน ก็แค่สาวใช้คนหนึ่ง เขา้ามาเพื่ออันใดเล่า? เขาหยิบยืมคำพูดของเ้าสามมาตบหน้าเ้าสี่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตบหน้าคืน กลับมาขอเงินจากตน ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าในบรรดาองค์ชายนั้นฉีอ๋องมีเงินมากที่สุด? เงินของไท่จื่อเยี่ยนในกาลก่อนเป็ของเขาทั้งหมด อีกทั้งในเรือนไม่มีญาติต้องเลี้ยงดู เมื่อครั้งฉีอ๋องยังเป็หลานชายคนเล็กนั้น เสด็จปู่ให้รางวัลมากยิ่งกว่านี้อีก
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจขององค์ชายใหญ่นั้นคับแค้นใจนัก ช่างเป็อย่างที่ชาวบ้านพูดไว้ ครอบครัวนี้ทั้งครอบครัวมีเพียงลูกชายคนเล็กที่เป็เืเนื้อเชื้อไขแท้ๆ พ่อแม่เ้าสี่ตายไปแล้วอย่างไรเล่า? ยังมีท่านอารักและเอ็นดู เสด็จพ่อของเขาไม่รู้ด้วยเหตุอันใดจึงรักและเอ็นดูหลานชายคนนี้ ทำให้ลูกชายอีกหลายคนอย่างพวกเขาเป็ดังเช่นลมที่ผายออกมา
“น้องสี่กล่าวเช่นนี้กลายเป็คนนอกไปแล้ว พี่ใหญ่อะไรก็ไม่ขาด ขาดแต่เงินน่ะสิ” องค์ชายใหญ่นั้นเป็คนขี้เหนียวคนหนึ่ง จะเอาเงินจากมือเขาน่ะหรือ คิดก็อย่าได้คิด
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นทำเช่นใดดีเล่า?” กู้จวิ้นเฉินถาม “ไม่สู้ ข้าแบ่งเป็งวดๆ ให้พี่ใหญ่?”
พรืด...ช่างน่าไม่อายนัก
“แบ่งเป็งวดอันใดกันเล่า?” เสียงดังกังวานดังมาจากหน้าประตู องค์ชายรองในชุดสีฟ้าเดินเข้ามา “พวกเ้ากำลังคุยอะไรกันหรือ? ยินดีเช่นนี้”
“เห็นหญิงงามมากมายเช่นนี้ น้องรองไม่ยินหรือ?” องค์ชายใหญ่กล่าว
องค์ชายรองกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคน “แม้จะดูไม่เลวเลย แต่ถ้าเทียบกับหญิงงามแล้วยังห่างไกลนัก”
“อ้อ?” องค์ชายสามตาเป็ประกาย “หญิงงามที่องค์ชายรองกล่าวถึงคือ?”
“หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เจียงซูเอ๋อร์” องค์ชายรองกล่าว
องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองมองไปที่กู้จวิ้นเฉิน องค์ชายใหญ่ยกยิ้มมุมปาก “นั่นไม่ใช่พี่สาวของน้องสี่หรอกหรือ? พูดถึงอายุ น่าจะแต่งกับน้องรองได้"
“ข้านั้นมีใจ น้องสี่คิดว่าหากขอให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสเป็เช่นใด?” องค์ชายรองถาม องค์ชายรองปีนี้อายุสิบแปดปี ยังไม่มีพระชายาเอก เจียงซูเอ๋อร์เป็พี่สาวญาติฝ่ายมารดาของกู้จวิ้นเฉิน ปีนี้อายุสิบสี่ปี ปีหน้าจะเข้าพิธีปักปิ่น[1]
อวี๋เหล่าไท่จวินมีบุตรีสองคน บุตรชายหนึ่งคน บุตรีคนโตคือเสด็จแม่ของกู้จวิ้นเฉิน เสียชีวิตไปแล้วในวัยห้าสิบปี บุตรชายคนโต อวี๋เฟย ปีนี้มีอายุสี่สิบแปดปี อวี๋เฟยเป็ปัญญาชนคนหนึ่ง ชมชอบเพียงพวกดอกไม้ใบหญ้า รั้งตำแหน่งขั้นห้าที่ไม่สำคัญอันใดในราชสำนัก เขามีบุตรชายคนหนึ่ง ปีนี้มีอายุยี่สิบหกปี ซีเป่ยในเวลานี้เป็แม่ทัพน้อยอวี๋ท่านนี้เป็แม่ทัพ
บุตรีคนที่สองของอวี๋เหล่าไท่จวินปีนี้อายุสี่สิบห้าปี แต่งให้สกุลเจียงสิบปีจึงได้กำเนิดเจียงซูเอ๋อร์เป็บุตรีเพียงคนเดียว สกุลเจียงเป็ครอบครัวยากจน ครอบครัวเล็กๆ ฐานะต้อยต่ำ แต่มีสกุลอวี๋คอยปกป้องคุ้มครอง ทั้งยังมีฉีอ๋องผู้เป็น้องชาย ผู้ใดจะกล้าแตะต้องเจียงซูเอ๋อร์หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเล่า?
เจียงซูเอ๋อร์ในวัยสิบสี่ปีและองค์ชายรองในวัยสิบแปดปี ที่จริงแล้วหากดูจากอายุแล้วถือว่าค่อนข้างเหมาะสม แต่หากองค์ชายรองแต่งเจียงซูเอ๋อร์เข้ามา เช่นนั้นสกุลอวี๋จะยืนอยู่ฝ่ายใด? เพราะพระชายาชายของกู้จวิ้นเฉิน หลี่ลั่วนั้นไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ หรือว่าเมื่อแต่งตั้งบุตรอนุแล้วจึงค่อยแยกทางกับหลี่ลั่ว?
“ความคิดของเสด็จอานั้นข้าเดาไม่ถูก หากพี่รองมีใจ ไปขอพระราชทานสมรสก็พอ” กู้จวิ้นเฉินพูดช้าๆ ไม่ได้ใส่ใจอันใด
องค์ชายรองหรี่ตา ไม่รู้ว่าคำพูดของกู้จวิ้นเฉินนั้นออกมาจากใจจริงหรือไม่
องค์ชายใหญ่ก็หรี่ตาเช่นกัน ในใจคิดว่าเ้ารองนั้นติดตามเขาเสมอ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมีความคิดไปแตะต้องเจียงซูเอ๋อร์ แต่เจียงซูเอ๋อร์กับตนนั้นเป็ไปไม่ได้ สกุลเจียงฐานะต่ำต้อย ทว่าเจียงซูเอ๋อร์เป็บุตรีในภรรยาเอก มีสกุลอวี๋และเ้าสี่อยู่ นางไม่มีทางเป็อนุแน่นอน แต่ถ้าหากว่าเ้ารองกับเจียงซูเอ๋อร์อยู่ด้วยกันจริงๆ...องค์ชายใหญ่เคาะนิ้วกับโต๊ะ ในใจเขาบังเกิดความคิด
“น้องสี่เห็นด้วยข้าก็วางใจแล้ว ยามที่ข้าขอเสด็จพ่อพระราชทานสมรสยังหวังว่าน้องสี่จะช่วยข้าพูดด้วย” องค์ชายรองยิ้มจนตาแทบจะปิดเข้าหากัน ดูไปแล้วราวกับว่าอารมณ์ดีเป็อย่างมาก
“ลูกค้าทุกท่าน อาหารมาแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ขานอยู่หน้าประตู
“เข้ามาๆ” องค์ชายสามร้องตอบ
หอชมจันทร์ยกอาหารขึ้นโต๊ะรวดเร็วยิ่งนัก ยิ่งเป็บนชั้นห้า อักษรเทียน หมายเลขหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งขึ้นโต๊ะเร็วเข้าไปอีก
แม่นางหลายคนปรนนิบัติองค์ชายสามกินข้าว ข้างกายองค์ชายใหญ่มีหนึ่งคน แต่อีกฝ่ายค่อนข้างไว้กิริยาอยู่บ้าง เมื่อองค์ชายรองนั่งลงนั้นมีแม่นางเข้ามาบีบนวดไหล่ของเขา เขาสบายอกสบายใจยิ่ง มีเพียงข้างกายกู้จวิ้นเฉินที่ไม่มีแม่นางใดกล้าเข้าใกล้ กับฉินอินเขายังรังเกียจ ประโยคที่ว่าข้ารักสะอาดนั้นใครเล่าจะกล้าเข้าไปใกล้? โดยเฉพาะทั้งร่างของกู้จวิ้นเฉินที่แผ่รังสีความเ็าออกมานั้น คุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ แม่นางเ่าั้ย่อมไม่กล้าล่วงเกิน
กู้จวิ้นเฉินคีบกับข้าวหนึ่งคำ ดวงตาทอประกายวาบขึ้นครั้งหนึ่ง รสชาติไม่เลว “จวิ้นอี”
จวิ้นอีซึ่งอยู่ที่โต๊ะของว่างอีกโต๊ะหนึ่งลุกขึ้น “นายท่าน”
กู้จวิ้นเฉินเอ่ยปากข้างริมหูเขาหลายประโยค
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีจากไป
ณ จวนจงหย่งโหว
หลี่ลั่วนำหนังสือสัญญาขายตัวของบ่าวไพร่ไปมอบให้กับผิงอัน “สิ่งของเหล่านี้เ้าดูแล รวมไปถึงสัญญาขายตัวของเ้าด้วย”
“เ้าค่ะ” ผิงอันดวงตาเป็ประกาย คิดไม่ถึงว่าเหล่าฮูหยินจะนำสัญญาขายตัวของตนมอบให้กับเสี่ยวโหวเหฺย เช่นนั้นตนเองก็มีความหวังที่จะปลดปล่อยจากความเป็ทาสแล้ว
“เสี่ยวโหวเหฺย” เสียงของลวี่ผิงดังขึ้นที่หน้าประตู “เหล่าไท่ไท่ให้คนมาบอกกล่าวเ้าค่ะ”
“อ้อ?” หลี่ลั่วเลิกคิ้ว วันนี้เขาเพิ่งจะกลับมาจวนโหว และไม่ได้ไปคารวะยามเช้าต่อเหล่าไท่ไท่ คิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่ไท่จะเป็ฝ่ายขอพบเขาก่อน เขาคิดว่าเหล่าไท่ไท่น่าจะเคียดแค้นเขาแทบตายก็ว่าได้ แรกเริ่มก็ขับไล่หยวนข่ายออกจากจวนโหวก่อน จากนั้นทำให้หยวนข่ายถูกสังหาร แค้นนั้นมีแน่นอน เหล่าไท่ไท่เป็คนจิตใจลำเอียง แต่คิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่ไท่จะมาขอพบตนก่อน นี่หมายความว่านางยอมให้เขาก่อน
เรียกเขาไปทำไมกันเล่า?
“ได้บอกหรือไม่ว่าเื่อันใด?” หลี่ลั่วถาม
“บอกว่าเหล่าไท่ไท่เป็ห่วงเสี่ยวโหวเหฺย อยากเรียกเสี่ยวโหวเหฺยกินข้าวด้วยกันเ้าค่ะ” ลวี่ผิงตอบ
หลี่ลั่วพยักหน้า นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว จึงลุกขึ้น “ไปเถิด”
ณ เรือนว่านโซ่ว
หลี่เหล่าไท่ไท่นั่งอยู่ด้วยใบหน้าคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อเห็นหลี่ลั่วเข้ามาจึงรีบเอ่ยขึ้น “ลั่วเกอเอ๋อร์ ย่าขอโทษเ้านะลั่วเกอเอ๋อร์” จากนั้นก็กอดลั่วเกอเอ๋อร์เอาไว้
หลี่ลั่วมีสีหน้าเต็มไปด้วยความคิดที่อยากจะผลักนางออก แต่ไม่อยากให้โจ่งแจ้งเกินไปนัก ได้แต่ค่อยๆ ออกจากอ้อมกอดของหลี่เหล่าไท่ไท่ จากนั้นพูดยิ้มๆ “ทำให้เหล่าไท่ไท่ต้องกังวลใจแล้ว เป็ข้าที่ไม่กตัญญู ต้องโทษเ้าโจรลักพาตัวสมควรตายนั่น วันนี้ยังเข้าวังไม่ทัน พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าวังเฝ้าฝ่าา ขอให้ฝ่าาจับคนร้ายแทนข้า”
หลี่เหล่าไท่ไท่ได้ยินแล้วโมโหเสียจนอยากกระอักเืออกมา หลานย่าคนดีของนางถูกปะาชีวิตไปแล้ว หลี่ลั่วกลับยังเอ่ยวาจาเ็าเช่นนี้อีก แต่หลี่เหล่าไท่ไท่ได้แต่แสดงท่าทางยิ้มแย้มอย่างมีเมตตา “ลั่วเกอเอ๋อร์ ได้ยินว่าเป็ฉีอ๋องที่ตามหาเ้ากลับมา ฉีอ๋องไม่ได้บอกกับเ้าว่าโจรลักพาตัวเป็ผู้ใดหรือไร?”
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ท่านพี่ฉีอ๋องบอกว่าข้ายังเล็กนัก เื่ที่เลวยิ่งกว่าสัตว์ป่าเถื่อนเช่นนี้ข้าไม่จำเป็ต้องรู้ เหล่าไท่ไท่รู้หรือไม่ขอรับว่าโจรลักพาตัวคือผู้ใด?”
เลวยิ่งกว่าสัตว์ป่าเถื่อน...หลี่เหล่าไท่ไท่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ตนเองได้พบหลี่ลั่วครั้งหนึ่ง ก็ถูกทำให้โมโหแทบตายครั้งหนึ่ง นี่นางไปทำบาปทำกรรมอันใดไว้ที่ไหนกันนะ? “ฉีอ๋องพูดถูกแล้ว ลั่วเกอเอ๋อร์ยังเล็กนัก นี่...”
“เหล่าไท่ไท่เ้าคะ” หยางหมัวมัวเอ่ยเตือน
หลี่เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงร่ำไห้ขึ้นมา “ลั่วเกอเอ๋อร์ เ้ายังเล็กนัก ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ควรให้เ้ารู้เื่เหล่านี้ แต่...แต่ย่าไม่อยากปิดบังเ้า”
“ความหมายของเหล่าไท่ไท่นั้นไฉนข้าจึงฟังไม่เข้าใจกัน?” หลี่ลั่วถาม
เหล่าไท่ไท่ร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าหลี่ลั่วปลอบโยนนาง ในใจนั้นไม่ยินดีนัก “เป็ข่ายเกอเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าข่ายเกอเอ๋อร์ถูกสัตว์เดรัจฉานตัวไหนล่อลวง กลับ...กลับลักพาตัวเ้า”
“อะไรกัน?” หลี่ลั่วตกตะลึง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านขึ้นมา “เหล่าไท่ไท่นี่...นี่ไฉนคุณชายข่ายต้องลักพาตัวข้าด้วย? หรือว่า...หรือว่าเขาเคียดแค้นเื่พี่หญิงใหญ่ของข้า? เขา...เขาช่างเลวยิ่งกว่าสัตว์ป่าเถื่อนเสียจริง”
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่ด้วยเื่ของหลินเจี่ยเอ๋อร์ เขาเองก็ถูกล่อลวงเช่นกัน แต่ยามนี้เขาถูกปะาชีวิตตายไปแล้ว เป็ผู้ใดที่ล่อลวงเขา พวกเราก็ไม่รู้” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว
“ปะาชีวิตได้ดี” หลี่ลั่วพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “หากไม่ได้ปะาชีวิต ข้าย่อมต้องเข้าวังเพื่อขอให้ฝ่าาปะาชีวิตเขา เหล่าไท่ไท่ ยังดีที่เ้าสารเลวเสียยิ่งกว่าสัตว์ป่าเถื่อนผู้นี้ออกไปจากจวนโหวของพวกเราแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้อื่นจะพูดได้ว่าเหล่าไท่ไท่อำมหิตโเี้ กฎเกณฑ์ใดๆ ก็ไม่ได้สั่งสอนให้ดี”
ทุกครั้งที่หลี่เหล่าไท่ไท่ฟังหลี่ลั่วพูดจา ล้วนถูกคำพูดตำหนิด่าว่าของหลี่ลั่วทำให้โมโหจนพูดไม่ออกเสมอ และไม่รู้ว่าคำพูดหลี่ลั่วนั้นจริงหรือหลอก ทั้งๆ ที่นางบอกแล้วว่าถูกผู้อื่นล่อลวง แต่หลี่ลั่วกลับพูดว่านางไม่ได้สอนกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ดี อำมหิตโเี้ ทว่าหลี่เหล่าไท่ไท่ก็ไม่สามารถพูดจาอันใดได้ “ลั่วเกอเอ๋อร์ ยามนี้บิดาของข่ายเกอเอ๋อร์ ลุงใหญ่หยวนของเ้าอยากจะมาขอขมาต่อเ้า หวังว่าเ้าจะอภัยให้หยวนข่ายได้”
“เหล่าไท่ไท่ คนก็ตายไปแล้ว อภัยหรือไม่อภัยนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว เื่นี้ได้ผ่านไปแล้ว ต้องขอให้ไม่เอ่ยถึงอีก ข้าโมโหจนหวาดกลัว ข้าเกรงว่าเอ่ยถึงบ่อยๆ ข้าจะโมโหจนตายได้ขอรับ” หลี่ลั่วถอนใจ
โมโหจนตายอันใดกันเล่าเ้าสารเลวตัวน้อย หลี่เหล่าไท่ไท่ในใจนั้นคลื่นไส้นัก “เช่นนั้นพวกเราไม่เอ่ยถึง ไม่เอ่ยถึงเื่นี้ ลุงใหญ่หยวนของเ้ามาขอขมา เ้าก็เห็นแก่หน้าของย่า ให้อภัยเขาเถิด”
หลี่ลั่วเงียบขรึมไม่พูดจา ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดวงตาของหลี่เหล่าไท่ไท่ มองจนหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่กล้ามองตาเขาตรงๆ หลี่เหล่าไท่ไท่ส่งสัญญาณให้หยางหมัวมัวครั้งหนึ่ง หยางหมัวมัวรับรู้อย่างรวดเร็ว เข้าไปในห้องหยิบสิ่งของออกมา “เสี่ยวโหวเหฺย นี่เป็ของขวัญที่คุณชายใหญ่หยวนนำมาเ้าค่ะ มีเสื้อผ้า รองเท้า และยังมีโสมด้วย ล้วนเป็ของดีเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วตวัดสายตามองสิ่งของเ่าั้แวบหนึ่ง เป็ของดีจริงๆ ด้วย
“ข้าจะรับสิ่งของเหล่านี้ได้อย่างไร และความผิดของคุณชายหยวนก็ไม่เกี่ยวข้องกับลุงใหญ่หยวน” หลี่ลั่วให้บันไดหลี่เหล่าไท่ไท่ลง
“เ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว ลุงใหญ่หยวนของเ้ายามนี้อยู่ที่นี่ ข้าเป็เ้าภาพให้พวกเรากินข้าวเที่ยงด้วยกันสักมื้อ เื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้ถือว่าผ่านไปแล้ว ข่ายเกอเอ๋อร์ได้ชดใช้ต่อสิ่งที่เขาทำไปแล้ว” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าวอีก
“ล้วนฟังเหล่าไท่ไท่ขอรับ”
ต่อมาหยวนเฉิงก็ออกมาจากด้านใน สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก บุตรชายเพียงคนเดียวตายไปแล้ว คนผมขาวส่งคนผมดำ ย่อมไม่ใช่เื่ดี แต่เื่นี้จะโทษใครได้เล่า? หากวันนี้ผู้ที่ถูกลักพาตัวไม่ใช่หลี่ลั่ว แต่เป็เพียงเด็กลูกชาวบ้านธรรมดาสามัญ อีกฝ่ายยังคงต้องกล้ำกลืนรับความเสียเปรียบนี้อยู่หรือไม่เล่า?
อีกอย่างหากสกุลหยวนไม่ละโมบต่อจวนโหว ไม่แตะต้องหลินเจี่ยเอ๋อร์ เื่ราวคงไม่ดำเนินมาจนถึงวันนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาพลาดก็คือพวกเขาประเมินหลี่ลั่วต่ำไป เด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบผู้นี้ไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดเอาไว้
“ลั่วเกอเอ๋อร์ ลุงใหญ่หยวนขอโทษเ้าจริงๆ ขอโทษเ้าจริงๆ” พูดแล้วหยวนเฉิงก็คุกเข่าลง ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
“ลุงใหญ่หยวนรีบลุกขึ้นเถิด” หลี่ลั่วกล่าว “เป็คุณชายหยวนที่โเี้อำมหิต เื่นี้ไม่เกี่ยวกับลุงใหญ่หยวน ข้าไม่โทษลุงใหญ่หยวนขอรับ”
หยวนข่ายโเี้อำมหิต ประโยคนี้ ฟังแล้วหยวนเฉิงอยากจะลงมือทุบตีคนเสียเดี๋ยวนี้
หลี่ลั่วไม่ได้พลาดท่าทีร่างกายแข็งเกร็งของเขาเมื่อสักครู่ที่เผยออกมา แววตาที่เขามองตนนั้นมีแววเคียดแค้นชิงชัง คนเช่นนี้รู้จักรับผิดหรือ? คิดว่าเขาหลี่ลั่วเป็เพียงเด็กห้าขวบหรือไร?
“เ้าพูดเช่นนี้ลุงใหญ่ก็วางใจแล้ว” หยวนเฉิงลุกขึ้นจากพื้น
“พวกเราล้วนเป็ญาติทางสายเื สามารถอธิบายได้ชัดเจนก็ดีแล้ว ไปเถิด อาหารได้เตรียมเสร็จแล้ว” หลี่เหล่าไท่ไท่จับมือหลี่ลั่วเดินไปห้องอาหาร
หลี่ลั่วหรี่ตา จุดประสงค์ที่เหล่าไท่ไท่เรียกเขามา เพียงแค่ให้หยวนเฉิงขอขมาต่อตนใช่หรือไม่? จากนั้นกินข้าวด้วยกันสักมื้อ
“เหล่าไท่ไท่ ในเมื่อข้าปลอดภัยกลับมาแล้ว มิสู้เรียกทั้งสามเรือนมาด้วย ให้ทุกคนต่างได้วางใจ จากนั้นข้ายังมีเื่จะประกาศ เกี่ยวกับเื่มงคลของข้าและท่านฉีอ๋องขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
เดิมทีหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ได้คิดจะเรียกทุกคนมา แต่ได้ยินหลี่ลั่วพูดว่าเกี่ยวข้องกับเื่มงคลกับฉีอ๋อง นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ดี เื่งานมงคลระหว่างเ้ากับท่านฉีอ๋องทุกคนต่างก็ยังไม่กระจ่างแจ้งดีนัก”
ก็ใช่ หลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่ฮุยที่อยู่ศาลาจวนว่าการต่างกลับมาที่บ้าน
เดิมทีหลี่ลั่วกลับมาอย่างปลอดภัย คนทั้งจวนโหวควรจะยินดีปรีดา แต่ด้วยเหตุที่หยวนข่ายถูกปะา ทั้งจวนโหวจึงไร้ซึ่งบรรยากาศมงคล ทันทีที่หลี่เหล่าไท่เหฺยกลับมาถึงจวนโหวแล้วเห็นหยวนเฉิง ก็ทำให้คนอารมณ์เสีย “เ้ามาทำอันใดที่นี่?” เขารังเกียจหยวนข่ายมากเท่าใด ยามนี้เขาก็รังเกียจหยวนเฉิงมากเท่านั้น
สีหน้าของหยวนเฉิงไม่ดีเล็กน้อย “ท่านอา ข้ามาขอขมาลั่วเกอเอ๋อร์แทนข่ายเกอเอ๋อร์ขอรับ”
“ฮึ” หลี่เหล่าไท่เหฺยร้องฮึเสียงเย็น “ขอขมารึ? เหตุใดเมื่อยามคิดจะก่อเื่ราวขึ้นจึงไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนเล่า? ยามนี้ชีวิตก็ล้วนชดใช้ไปแล้ว”
“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม “หลี่เนี่ยนจู่ ท่านพูดจาให้มีความเป็คนอยู่บ้าง ข่ายเกอเอ๋อร์ของข้าชีวิตหนึ่งก็ชดใช้ให้ไปแล้ว ท่านคิดจะทำอันใดอีก?”
“ชีวิตหนึ่งรึ?” หลี่เหล่าไท่เหฺยหัวเราะหึๆ “เขาลักพาตัวลั่วเกอเอ๋อร์ ที่ลักพาตัวเป็จงหย่งโหวเหฺย ชดใช้หนึ่งชีวิตนั้นนับว่าเกรงใจแล้ว” หลี่เหล่าไท่เหฺยวันนี้ราวกับกินะเิมาอย่างไรอย่างนั้น วันนี้เสนาบดีกรมขุนนาง เว่ยเหวินชิง มาหาเขา บอกกล่าวกับเขาอย่างอ้อมๆ ว่าเขาควรจะลาออกจากตำแหน่งขุนนางได้แล้ว ระยะนี้ด้วยเื่ที่สกุลหยวนก่อขึ้น ผนวกกับเื่ที่ลั่วเกอเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไป เขาจัดการเื่ภายในบ้านไม่ดี เข้าไปในสำนักราชเลขาธิการนั้นไม่มีหวังแล้ว ต่อให้อยู่ต่ออีกวาระหนึ่งฝ่าาก็ไม่ทรงเห็นด้วย หากจะต้องให้ฝ่าากำจัด ไม่สู้ตนเองลาออกจากตำแหน่งขุนนางเองยังพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
ต่อมาเว่ยเหวินชิงยังกล่าวเตือนอีกว่า หลี่ซวี่นั้นตายเพราะฝ่าา หากไม่มีเื่ราวของสกุลหยวน หากว่ามีความสามารถในการดูแลเรือน เห็นแก่หน้าของหลี่ซวี่ ตัวเขานั้นต่อให้ไม่เข้าไปในสำนักราชเลขาธิการให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเพื่อรั้งตำแหน่งขุนนางที่ไม่ค่อยมีความสำคัญย่อมไม่มีปัญหาอันใด
เว่ยเหวินชิงรู้สึกเสียใจด้วยจริงๆ บุตรชายนั้นตายเพื่อองค์ฮ่องเต้ สุดท้ายคนเฒ่ากลับจำต้องถูกปลดระวางตำแหน่ง มองไปทั้งเมืองหลวงก็เห็นจะมีแค่สกุลหลี่บ้านเดียวแล้ว
ยิ่งคิด หลี่เหล่าไท่เหฺยยิ่งโมโห
หลี่เหล่าไท่ไท่หน้าแดง หลี่เหล่าไท่เหฺยอยู่มาจนอายุปูนนี้ ย่อมไม่้าหน้าตาของจวนชิ่งป๋ออีกต่อไป เขาในวัยหนุ่มนั้นแม้จะพูดไม่ได้ว่าอ่อนแอ แต่ก็รู้จักฐานะและซื่อสัตย์ คิดไม่ถึงว่ายามนี้เมื่ออายุวัยนี้กลับเป็คนอารมณ์รุนแรง หลี่เหล่าไท่ไท่เป็หัวหน้าครอบครัวมาชั่วชีวิต เสวยสุขมาทั้งชีวิต ไหนเลยที่จะต้องรับแรงกดดันเช่นนี้ สีหน้าจึงดำทะมึนลงทันที แต่อายุก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ขาก็ได้ก้าวเข้าไปในโลงแล้วครึ่งหนึ่ง จะอยู่ด้วยกันหรือแยกจากกันนั้นเป็ไปไม่ได้แล้ว “วันเวลาเช่นนี้จะยังคงอยู่ได้ต่อไปหรือไม่? ท่าน้าทำเช่นใดกันแน่?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
“เ้าว่าอยู่ได้หรือไม่เล่า? เ้าให้คนร้ายที่ลักพาตัวลั่วเกอเอ๋อร์เข้ามาในจวน ณ วันเวลาเช่นนี้จะยังอยู่ด้วยกันได้หรือไม่?” หลี่เหล่าไท่เหฺยคำรามเสียงดัง
“ท่านพ่อ” หลี่ฮุยใจนสะดุ้ง ท่านพ่อในยามปกติไม่มีอารมณ์เช่นนี้ วันนี้เกิดเื่อันใดขึ้น
“ท่าน...ท่าน...” หลี่เหล่าไท่ไท่ยกมือที่สั่นสะท้านชี้ไปที่หลี่เหล่าไท่เหฺย “ข้า...ข้าเจ็บหน้าอกเหลือเกิน”
หลี่ลั่วเบะปาก ข้าวเที่ยงมื้อนี้ยังจะกินอยู่อีกหรือไม่?
[1] พิธีปักปิ่น คือพิธีที่เด็กสาวอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ต้องทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็ผู้ใหญ่และสามารถออกเรือนได้แล้ว