ทะเบียนบ้านของตระกูลซูยังคงอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิง
หลังจากที่ผลตรวจดีเอ็นเอออก ทะเบียนบ้านของหลิงเมิ่งก็ถูกย้ายเข้ามาในเมือง ในเวลานั้นทุกคนต่างคิดว่าซูอินจะอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหลิงต่อ จึงไม่ได้แตะต้องทะเบียนบ้านของเธอ
ไม่ว่าจะเป็เพราะเหตุการณ์ในอดีตหรือเพราะต้องกลับไปอยู่ในชนบทกับตระกูลซู ไม่ว่าจะมองด้วยอารมณ์หรือเหตุผล ซูอินก็้าย้ายทะเบียนบ้านออกจากตระกูลหลิง
แต่สำหรับตระกูลหลิงกลับไม่เป็เช่นนั้น
ก่อนที่เธอจะช่วยชีวิตเด็กคนนั้น ซูอินจะอยู่หรือไปพวกเขาไม่คิดสนใจ แม้แต่คนอื่นในตระกูลหลิงก็ดีใจหากสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ในเวลานี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ซูอินก้าวสู่ความสัมพันธ์ที่น่าอัศจรรย์ ตัดสินได้ว่าตระกูลหลิงจะสามารถก้าวขึ้นไปข้างหน้าได้อีกหรือไม่ หากนิสัยของเธอเชื่อฟังแบบเหมือนก่อนก็คงราบรื่นดี แต่ในตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน
พวกเขาจะปล่อยเื่ย้ายทะเบียนบ้านไม่ได้เด็ดขาด
หลิงจื้อเฉิงถูนิ้ว ไม่นานก็คิดหาข้อดีและข้อเสียได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อินอิน สอบตั้งหลายวันเหนื่อยใช่ไหม”
“ไม่เหนื่อย”
คิดไม่ถึงว่าซูอินจะโพล่งออกมาเช่นนี้
หากจะคิดให้ดี ชาติก่อนหลิงจื้อเฉิงก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้าย แต่ก็มีดีแค่นั้น เนื่องด้วยธุรกิจของหลิงกวงกรุ๊ปขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขามีงานยุ่งมากขึ้นเช่นกัน น้อยครั้งที่จะกลับบ้าน
ซูอินไม่ได้ตั้งใจจ้องจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้เหตุผลเสียหน่อยตลอดสิบปีต่อให้เขางานยุ่งแค่ไหนก็รับรู้สถานการณ์ในครอบครัว หากเขาเอ่ยปากบ้าง อู๋อู๋กับหลิงเมิ่งก็คงไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเช่นนี้
นี่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าพ่อบุญธรรมคนนี้ของเธอเป็อะไร
ตอนนี้เสแสร้งเป็พ่อที่แสนดี เมื่อคิดเช่นนั้น ท่าทีของซูอินก็เปลี่ยนไปเป็เยาะเย้ย
“คุณไม่เคยใส่ใจหนูอยู่แล้วนี่คะ”
หลิงจื้อเฉิง : ???
“หากใส่ใจสักนิด ก็จะรู้ว่าผลการเรียนของหนูค่อนข้างดี การสอบขึ้นมัธยมปลายไม่ใช่เื่ยากสำหรับหนู”
เธอนึกถึงเื่ที่ถูกละเลยเ่าั้ ปลายปีทุกครั้งที่มีการสอบซูอินมีผลการเรียนติดอันดับหนึ่งในสามมาตลอด สำหรับเธอการสอบไม่ใช่เื่ยาก
ทันใดนั้นเขานึกถึงตอนที่ซูอินมาที่นี่ครั้งแรก เธอร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า “ต้องเรียนหนักและสอบให้ได้ที่หนึ่งทุกครั้ง” ต้องขยันเท่านั้นถึงจะได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ในเวลานั้นเขาไม่คิดใส่ใจ แต่ในวันนี้เมื่อย้อนกลับมาคิด เขารู้สึกว่าตนเองใส่ใจบุตรสาวน้อยมาก
เขาละอายใจจนอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะ
เหตุใดเขาจึงไม่ทำให้เธอสมปรารถนาล่ะ
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้น ขาของเขาก็ถูกใครบางคนหยิก
อู๋อู๋ไม่ตระหนักได้เร็วเท่าหลิงจื้อเฉิง เธออาจไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อซูอิน แต่เธอครองสติและตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่า
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ปล่อยซูอินไป!
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถพูดประโยคนี้ออกไป ลูกตากลอกลงจากนั้นไม่นานเธอก็หาเหตุผลได้
“ตอนแรกคุยกันว่าจะให้อินอินกลับไปอยู่กับพวกคุณ หากพูดตามเหตุผลก็ควรย้ายทะเบียนบ้านไป แต่ตามความเห็นของฉัน ทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองจะดีกว่า”
เธอพูดเน้นคำว่า “ในเมือง” อย่างชัดเจน ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลซูตกตะลึงและเงียบไป
อู๋อู๋มองซูอิน “อินอิน ตอนนี้เธอยังเด็ก ประสบการณ์ชีวิตก็น้อย ไม่รู้หรอกว่าการมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองดีขนาดไหน หลายปีก่อนมีคนยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อเปลี่ยนทะเบียนบ้านจากชนบทมาอยู่ในเมือง”
ตอนที่เป็เด็กซูอินใช้ชีวิตในชนบทกับคนแก่ จึงรู้ว่ามีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น ในเวลานั้นสำนักงานบริหารการทะเบียนทำหน้าที่จัดสรรอาชีพ ไม่ต้องจ่ายภาษีผลเก็บเกี่ยว หากมีตำแหน่งการงานก็จะได้รับค่าที่อยู่อาศัย เมื่อเกษียณก็ได้รับเงินำาญ มีข้อดีมากกว่าทะเบียนบ้านในชนบทไม่น้อย เป็สิ่งที่หลายคนเห็นพ้องต้องกัน
แต่นั่นเป็เื่ของอดีต ตอนนี้ทะเบียนบ้านในเมืองไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป
อีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศก็จะพัฒนา คนที่มีทะเบียนบ้านในชนบทั้แ่เกิดได้เปรียบเสียมากกว่า เมื่อบ้านเรือนของชาวบ้านในเขตชานเมืองถูกรื้อถอนเพื่อปลูกใหม่ พวกเขาจะกลายเป็เศรษฐีทันที
ตอนนี้อู๋อู๋ยกเื่ทะเบียนบ้านในเมืองมาล่อ แค่ได้ยินก็อยากหัวเราะ
“ไม่ต้อง ทะเบียนบ้านของหนูก็ต้องอยู่กับพ่อแม่สิ พวกเขาเป็คนชนบท หนูก็ต้องเป็คนในชนบทด้วย”
สองสามีภรรยาแสดงสีหน้าประทับใจ ซูเจี้ยนจวินเป็คนเก็บอารมณ์เก่ง เขาทำเพียงกำหมัดแน่นเพื่อระบายความรู้สึก แต่เมิ่งเถียนเฟินเป็คนแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เมื่อมีกระจกสะท้อนจากหลิงเมิ่ง ในใจเธอก็เป็กังวลมาตลอดว่าบุตรสาวจะรังเกียจที่พวกเขายากจน เมื่อวันนี้ได้ยินบุตรสาวกล่าวชัดเจนจึงไม่ต้องพูดเลยว่าเมิ่งเถียนเฟินจะประทับใจขนาดไหน มุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม
แต่ความรู้สึกนั้นแตกต่างจากสองสามีภรรยาตระกูลหลิงโดยสิ้นเชิง
ทำไมเด็กคนนี้มีทิฐิสูงเช่นนี้…ทั้งที่เหตุผลที่บอกไปไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธ
ไม่รู้จักแยกแยะอะไรดีไม่ดี ในใจอู๋อู๋เต็มไปด้วยความโมโห
หลิงจื้อเฉิงพูดไม่ออกเช่นกัน ทว่าเขาอยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน ผ่านความโกลาหลวุ่นวายมาเยอะ เื่เล็กน้อยแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้
“เื่ย้ายทะเบียนบ้าน พวกเราคงพูดอะไรไม่ได้ เื่นี้เกี่ยวข้องกับทางสถานีตำรวจ”
ที่สถานีตำรวจมีเพื่อนฝูงของเขามากมาย เมื่อถึงเวลานั้นแค่เขาโทรศัพท์หา ขั้นตอนและเอกสารที่ยุ่งยาก ลงมือเล็กน้อยก็ทำให้เื่นี้ติดขัดจนทำอะไรไม่ได้
ในห้องรับแขก มือเท้าของตระกูลหลิงและตระกูลซูแทบอยู่ไม่สุข ทั้งห้าคนไม่ได้สังเกตว่าที่หน้าประตูของคฤหาสน์มีเงาคนมายืนอยู่นานแล้ว
ซูอินส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลาอีกครั้ง หลิงเมิ่งที่เฝ้ามองอีกฝ่ายมาตลอดรู้สึกไม่สบายใจและออกจากสนามสอบก่อนเวลา เธอเรียกรถแท็กซี่ตามซูอินกลับมาที่ตระกูลหลิงในเวลาใกล้เคียงกัน ประตูที่เปิดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งทำให้เธอได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน
ความรู้สึกห่วงใยของเมิ่งเถียนเฟินที่มีต่อซูอินทำให้เธอสับสน เมื่อสิบหกปีก่อนความห่วงใยเ่าั้เป็ของเธอ แม้แต่น้องชายขี้โรคก็ได้รับไม่เท่ากับเธอ
แต่เมื่อมองผ่านประตูที่แง้มอยู่ เห็นเมิ่งเถียนเฟินที่ยังคงสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเหมือนเช่นเดิม เธอก็รู้สึกปล่อยวาง
คนบ้านนอกที่ทั้งจนและเชย ปล่อยให้ซูอินรักไปเถอะ
ท่าทีที่เธอมีต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดในยามนี้ เหมือนกับตอนที่เพิ่งกลับมาอยู่ที่ตระกูลหลิง พวกเขาเอ่ยปากรั้งให้ซูอินอยู่ต่อ ทำให้หลิงเมิ่งไม่สบายใจมาก
แม้จะรู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อหันไปมองมารดาของเธอในยามนี้ก็ดูมีท่าทีโอนอ่อนลง หากซูอินยอมอยู่ต่อจริงๆ จะอยู่ในฐานะอะไร แล้วเธอจะยังมีที่ยืนหรือไม่
ความรู้สึกไม่ปลอดภัยพลันก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากเงาประตู
“คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
หลิงเมิ่งก้าวเข้าไปในบ้าน เข้าหาอ้อมกอดของอู๋อู๋ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เล่าเสียงเจื้อยแจ้วให้ฟังถึงเื่การสอบในวันนี้
ท่าทีมีความสุขที่แสดงออกมานั้น มองอู๋อู๋ด้วยความรู้สึกสบายใจ อู๋อู๋ไม่ได้กล่าวเตือนบุตรสาวว่าตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วย เธอแค่อดทนฟังและพูดเป็ครั้งคราวเพื่อแสดงภาพความอบอุ่นของสองแม่ลูก
พูดคุยกันสักครู่ หลิงเมิ่งหันไปที่โต๊ะชาเพื่อหยิบน้ำดื่ม “ในที่สุด” เธอก็มองสองสามีภรรยาตระกูลซูที่อยู่ตรงหน้า
“...พวกคุณมาได้ยังไงคะ”
ท่าทีเขินอายและรู้แจ้งผุดขึ้นในทันที สายตาของหลิงเมิ่งเปลี่ยนไปอัตโนมัติ “หนูคิดออกแล้ว พวกคุณบอกว่าสอบเสร็จจะมารับอินอิน ตอนนี้มารับเธอแล้วใช่ไหมคะ”
บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบงันอีกครั้ง
ซูอินนั่งอยู่ข้างหน้า มองท่าทีของหลิงเมิ่งอยู่เงียบๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตอบรับ
“ใช่ พวกเขามารับฉัน แต่ฉันต้องย้ายทะเบียนบ้านกลับไปที่ชนบทเสียก่อน เธอมาพอดี พวกเราไปสถานีตำรวจด้วยกันเถอะ”