ตึก ตัก ตึก ตัก
(เอามือทาบอก)
เพราะเหตุใดหัวใจข้า จึงเต้นรัวด้วยความร้อนรุ่มปานจะไล่ตามเงาที่มิอาจหยิบจับได้
ความเ็ปนี้ หรือเป็เสียงกระซิบของรัก...
ที่แ่เบา ไม่แน่นอน และมิอาจได้รับตอบ?
เพราะเหตุใด เมื่อสายลมพัดผ่าน ข้าจึงเฝ้าหวังว่ามันจะพัดพากลิ่นของเ้ามา?
เพราะเหตุใด สายตาข้ายังคงสอดส่องหารูปร่างเ้าท่ามกลางหมู่คน แม้รู้ดีว่า...
ลึกลงไปในห้วงแห่งใจเ้า ข้าอาจมิใช่สิ่งใดอื่น
นอกจากเพียงคนแปลกหน้า ที่ผ่านเลย?
นี่หรือคือรักที่มิได้รับตอบ?
ความเ็ปเงียบงันที่เบ่งบานอย่างงดงามในความโศกเศร้า...
ความโหยหาอันยืนยง แม้จะไร้ที่พึ่งพิง…
(นิยายเื่นี้จำลองขึ้นมา โดยได้แรงบันดาลใจมากจาก โชซอน- ยุคปลายรัชสมัยพระเ้าอินโจ (仁祖, ค.ศ. 1623–1649))
(โดยเปลี่ยนเป็ พระเ้าแทฮวา, ปี ชองจินที่ 4)
.............................................................................................................
แซ่ด แซ่ด !!
เสียงครึกครื้นในตลาดก้องกังวานพร้อมกับจังหวะฝีเท้าที่เร่งรีบ...หนักแน่น กระตือรือร้น และไม่ยอมลดละ ราวกับว่าทุกย่างก้าวแบกภาระมากมายที่โหยหาการปลดปล่อย ณ ปลายทาง ท่ามกลางทะเลแห่งเสียงพูดคุยและเสียงพ่อค้าแม่ค้าะโเรียกแขก ฝีเท้าเบาๆ อีกคู่หนึ่งพลิ้วไปข้างเคียง เสียงเบาราวกับลมหายใจ แทบกลืนไปในความวุ่นวายแห่งชีวิต
"เบียดกันหน่อย!"
เกิดแรงกระแทกเล็กน้อยทั้งสองฝั่งของลำตัว
"เฮ้! ระวังหน่อยสิ!"
ชายหนุ่มพูดพึมพำออกมา พลางใช้แขนรับน้ำหนักตะกร้าผักสดล้นจนแทบหล่นไปตามทุกก้าวย่าง
"เป็อะไรไหม?"
เสียงข้างกายนั้นหวานราวกับน้ำผึ้งลูบไล้ และเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ หญิงสาวหันมายิ้มตอบ มือวางเบาๆ บนอก และขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความกังวลอย่างละมุน
คูรัมถอนใจออกมา เสียงโอดครวญเจือความละครล้นออกมาเบาๆ
"เอาจริงเถอะ!...ทำไมข้าต้องมาทรมานแบกตะกร้าใหญ่ั์นี้ ในขณะที่ต้องเดินตามเ้าด้วยเล่า? เหมือนข้าถูกสาปมาั้แ่เกิดรึไง?"
ถ้อยคำของเขา แม้จะแฝงความหงุดหงิด แต่ก็ชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความหยอกล้อ อารมณ์ดราม่าที่ไม่ใช่เพราะขมขื่น แต่เพราะความรักอย่างจริงใจ
แต่คำตอบจากเธอกลับไม่ใช่ความเห็นใจ หากเป็รอยยิ้มละมุน อ่อนโยน ก่อนจะกลายเป็เสียงหัวเราะสดใส ...หวานเจือประกายระยิบระยับและเป็อิสระ
"ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า! ฮ่าฮ่า!"
คูรัมขมวดคิ้ว ครึ่งเขินครึ่งหวั่นไหว เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก
"ขำอะไรนักหนา? ข้าพูดจริงนะ!"
แสงแดดโอบล้อมใบหน้าหญิงสาวในขณะหัวเราะ เปล่งประกายทองบนเส้นผมนุ่มนวลที่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ รอยยิ้มเหมือนแสงแรกแห่งรุ่งอรุณหลังพายุ ฝ่ามือของนางอบอุ่นและแสนอ่อนโยน ดวงตาประกายใสสีน้ำตาล พรางความลับที่บรรยายไม่ถูกเป็เช่นนั้น ชั่วขณะ ตลาดที่วุ่นวายก็เหมือนเงียบสงัดด้วยความจำนนในบางอย่าง คูรัมหลบสายตา กระแอมไอเล็กน้อย
"เ้ายิ้มอะไรน่ะ?"
"เ้าต่างหากล่ะ คูรัม" นางตอบพร้อมเสียงเย้ยหยันน่ารัก "เ้าต่างหากที่ชอบแกล้งโง่ นี่...นี่...ให้ข้าช่วยเ้านะ"
ในจังหวะรวดเร็ว นางหยิบตะกร้าจากมือเขาและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสง่างามท่ามกลางฝูงชนเบื้องหน้า เสียงหัวเราะของนางลอยไปในอากาศรอบๆราวกลีบดอกไม้ปลิวไสวตามลม
เขายืนนิ่งอยู่สักครู่ ครุ่นคิด พลางถูกใจและอ่อนใจ ก่อนจะรีบวิ่งตามด้วยท่าทางหัวเสียปนไม่เต็มใจ และในชั่ววินาทีนั้น โลกที่ไม่ใช่แค่ตลาดหรือเส้นทางที่ต้องแบกภาระของชีวิตในแต่ละวัน กลับกลายเป็เสียงหัวเราะสนุกสนานของชาย-หญิง
"ไม่ๆ เดี๋ยวข้าทำเอง"
คูรัมดึงตะกร้าผักในมือของนางมาถือเอง ก่อนที่จะใจลอยไปที่อื่น เมื่อหันกลับมา เขาก็พบสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็น
ชายหนุ่มปริศนาเบื้องหน้า ในชุดฮันบกสีชมพู-ม่วง ยังคงยืนนิ่ง นิ้วมือแตะลอยในอากาศ ณ จุดที่มือนางเพิ่งผ่านไป กำไลหยกเส้นนั้น ตอนนี้หย่อนลงในมือเขาอย่างไร้ชีวิตชีวา รอบตัวเขา ตลาดกลับมาคึกคักวุ่นวายเช่นเดิม แต่เพียงชั่วลมหายใจ เสียงทั้งหมดกลับแ่เบา...เหมือนถูกกดทับด้วยสิ่งที่ยังไม่ได้พูดอออกไป
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี
"สาวน้อย เ้ารับไปสิ! ข้าให้"
ชายหนุ่มปริศนายื่นกำไลหยกสีมรกตให้โซราน โซรานได้แต่กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มแห้งๆออกมา
"ข้ารับมันมิได้หรอกเ้าค่ะ มันแพงเกินไป ข้าไม่คิดจะซื้อมันอยู่แล้ว"
โซรานยิ้มรับ ก่อนจะโน้มตัวคำนับความเมตตาของชายปริศนาเบื้องหน้าของนาง
"เอาอย่างนี้...รับไปเถิด ของสิ่งนี้ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับข้า ไม่ดีหรือไง ที่จะมีหนุ่มรูปงาม มีชาติตระกลู มาให้ของแพงๆกับเ้าอย่างไม่คิดราคา?"
เขาเริ่มเอียงคอ ยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดูนาง ก่อนจะบรรยายสรรพคุณของตน แต่โซรานก็ไม่ได้รับฟังอะไรต่อ สายตาของนางจดจ้องสองจิตสองใจกับทางเลือกตรงหน้า
คูรัมยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มือยังคงถือกระเช้าไว้แน่น สายตาที่จ้องมองไม่ได้ลุกโชนด้วยไฟริษยา หากแต่เป็เปลวเพลิงแห่งความยอมรับเจียมตัวอย่างไม่มีข้อกังขาใด ของผู้ที่คุ้นชินกับการเป็คนที่ถูกมองข้ามมาช้านาน
(ข้าไม่มีถ้อยคำหวานหู ไม่มีผ้าห่มไหมแพรแพรว ไม่มีเสน่ห์ชาญฉลาดของคนแปลกหน้าที่กล้าหาญพอจะมอบของขวัญให้ สิ่งที่ข้ามีคือเวลา...เวลายาวนานหลายปีที่เคยได้แบ่งปันเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตา ความทรงจำที่จารึกฝังลึกเหมือนรอยตัวอักษรบนเปลือกไม้)
แต่ทว่า ในยามเช่นนี้ เวลากลับดูเลือนลาง และไร้ค่าเกินเปรียบเทียบ
ความในใจของคูรัม
นางหันกลับมายังข้างกายด้วยก้าวกระฉับกระเฉง ริมฝีปากยังแดงระเรื่อ อมยิ้มมาตลอดทาง
“ข้าไม่ได้รับมันมา” นางกล่าวเสียงพร่าคล้ายปกป้องตัวเอง “ข้าไม่อยากได้มันด้วยซ้ำ!”
คูรัมพยักหน้าเบา ๆ ด้วยเสียงที่แทบจะเป็เพียงกระซิบ
“ข้ารู้ดี”
(แต่ข้ารู้จริงหรือ? นางรู้ไหมนะ? ...)
คูรัมถอนหายใจออกมากับตัวเอง ด้วยความน้อยใจในโชคชะตา
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอีกครั้ง แม้บางอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งในจังหวะของก้าวเดิน เหมือนบทเพลงที่ถูกขัดจังหวะกลางท่อน ทว่าไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเล่นต่ออย่างไร.... คูรัมเดินต่อไปกับโซรานที่ทำทีไม่รู้สึกรู้สาอะไร แม้ว่าคูรัมจะชำเลืองมองเขาเป็ระยะๆ
ตลาดยังคงครึกครื้นด้วยเสียงพ่อค้าเรียกขาย เด็กน้อยวิ่งเล่นท่ามกลางแผงลอยด้วยเสียงหัวเราะ กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วลอยอยู่ในอากาศรอบๆ ทว่าในสายตาคูรัม ทุกสิ่งล้วนผันผ่านไปราวกับหมอกจาง ไม่แน่นอน ไม่สามารถจับต้องได้ แล้วเหมือนจะทลายความเงียบ โซรานหันมาถามเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“เ้าคิดว่าเขาเป็ขุนนางชั้นสูงหรือเปล่าน้าา? ดูเหมือนคนจากวังชั้นใน? หรือพวกแบบบัณฑิตหน้าใหม่.... อะไรประมาณนั้นล่ะมั้งเนอะ”
“คงเป็เช่นนั้น” คูรัมตอบเสียงเรียบ ไม่กล้าสบตา
“มิใช่คนที่อยู่ได้นานในที่อย่างนี้..อีกอย่าง เ้านั่นเหมือนพวกชอบเต๊าะสาวไปเรื่อย!” คูรัมว่า น้ำเสียงหงุดหงิดปนเล็กๆ
โซรานหัวเราะอย่างนุ่มนวลกว่าเดิม “ถึงอย่างไร...ก็ถือว่าใจดีอยู่เหมือนกัน มิใช่หรือ?”
คูรัมบังคับยิ้มขึ้นมา เห็นฟันขาวเรียงกันสวยงาม
“ใช่! ใจดี..พวกชอบเต๊าะสาวๆใจดีกันทั้งน้านน..”
คูรัมลากเสียงยาวและสูง ราวกับประชดสิ่งที่โซรานได้กล่าวไปเมื่อครู่ แต่ในอกของเขา น้ำหนักของกระเช้านั้นกลับยิ่งทวีความหนักอึ้งขึ้นอีก
เมื่อแสงตะวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งแสงสีทองกระทบพื้นทางเดินหินและชายคาผ้าสีแดงสด ความทรงจำของหยกชิ้นนั้นยังคงทอดเงาระหว่างคูรัมและโซราน ถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในจิตใจของทั้งสอง และความแตกต่างที่ยากจะอธิบาย เขียวเย็นและเปราะบางเกินกว่าจะัั แต่เมื่อััไปแล้ว นั่นก็เป็เพียงหินเย็นๆสีเขียวที่สวยงาม
มือปริศนาของชายปริศนาที่เดินโดดเดี่ยวตามทางกลับเรือน มองดูตะวันลับฟ้าเบื้องหน้า ขณะที่กำลังกำกำไลหยกชิ้นงามในฝ่ามืออุ่น ได้ถูกซื้อมาแล้ว
คูรึมในฐานะเพื่อนสมัยเด็ก ยังคงเดินเคียงข้างไปในความเงียบงัน คำพูดที่อยากเอ่ยออกมา กลับติดขัดในลำคอ เขาเพียงมองตามโซรานไปในวันที่ยังเห็นนางอยู่รอบๆกายของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตุบ!
เสียงของตระกร้าผักสดที่ไม่มีผัก ตกลงสู่พื้น จากมืออันอ่อนแรกของคูรัม หน้าเรือนเล็กๆ ที่มีหญิงวันกลางคนในชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเก่าๆ นั่งร้องไห้อยู่ที่ชานหน้าเรือนหลังเล็ก
.......
คูรัมหยุดชะงักลง
เสียงคำว่า “นางถูกพาตัวไป...” ก้องกังวานอยู่ในโสตประสาท เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ มือที่เคยกำแน่นไว้ค่อย ๆ คลายออกช้า ๆ ราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“พา...ไปไหนกัน?”
เสียงเขาแตกพร่าเบาบาง แววตาเบิกโพรงสุดใ
“ไปยังเรือนของขุนนางท่านหนึ่ง...” ป้าของคูรัม หอบหายใจ พลางร้องไห้ ปากแทบไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็ถ้อยคำ
“เขาว่า...เขาว่า...นางต้องชดใช้หนี้สินนั้น นางเป็ของเขาแล้วในบัดนี้...!! ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลย ลมจะจับ..เห็นมาแต่เล็กๆ”
คูรัมถอยกรูดหนึ่งก้าว
“ไม่นะ...ไม่น่าเป็ไปได้ โซราน? โซราน นางนั้นรึ? นางยังไม่รู้จักชงน้ำชาให้ไม่หกเลย! ไม่มีทางนางจะอยู่ในบ้านขุนนางร่ำรวยได้ถึงสองนาทีแน่!”
นั่นคือคำพูดแห่งความหวาดกลัว แต่แม้แต่ป้า ซึ่งเป็ผู้ดูแลนางเฉกเช่นมารดาก็ไม่ปาน ก็ยังพอมีเสียงหัวเราะแ่เบา ท่ามกลางน้ำตาแห่งความโศกเศร้าเ่าั้
“นางดื้อ...อาจกัดเขาก็ได้!” คูรัมพึมพำเบา ๆ ราวพูดกับตัวเอง “หรือไม่ก็ขว้างกะหล่ำปลาที่หัวเขา...”
แต่เสียงของเขาก็สะดุดอีกครั้ง เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความเศร้า หากเขาบุกไปช่วยนางตอนนี้ เขาก็อาจจะตายได้ในทันที
เขาไม่อาจจินตนาการเห็นนางอยู่ในสถานที่นั้น ไม่ใช่โซรานจะเป็หญิงงามหวานช้อย แต่นางนั้นทั้งซุ่มซ่าม แม้จะเปี่ยมดวงตาเหมือนแสงอาทิตย์ มิใช่นางผู้เคยร่ำไห้นานสองชั่วโมงเพราะเสียกิ๊บติดผมไม่ได้ และสาบานจะเอาคืนไก่ที่จิกเท้านางหลายต่อหลายครั้ง แต่พอนึกถึงความทรงจำเ่าั้ มันกลับทำให้คูรึมเกิดแรงฮึดสู้บางอย่างอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าจะพานางกลับมา” คูรัมกล่าวขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น
ป้า หญิงวัยกลางคน สบสายตาด้วยความไม่เชื่อ ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น เพื่อจะห้ามการกระทำอันบู่มบ่ามของหลานตัวดี
“เ้าหรือ...? คูรัม อย่าเลย! เ้าอาจตายได้นะ! อย่าทำอะไรโง่ๆ”
“ข้าตัวช้ำไปแทบทุกวันอยู่แล้ว วันหนึ่งจะมากหรือน้อยจะเป็ไร?”
เขาสูดลมหายใจลึก แล้วหมุนตัวจะเดินจากไป...แต่ก็ชะงัก กับเสียงของป้าด้านหลัง และพลางจะนึกอะไรออกขึ้นมา
"คูรัม!"
“โอ๊ยย เดี๋ยวก่อน...เ้ายังมีกระบวยไม้ใบใหญ่ใบหนึ่งไหม? อันที่ใช้ทำอาหารตอนปีใหม่?”
ท่านป้าหลับตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย
“หมายถึงอันที่เหมือนใบพายเรือหรือ?”
“ใช่ อันนั้นแหละ ดีแล้ว ข้าอาจต้องใช้มัน!”
แล้วด้วยถ้อยคำนั้น เขารีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ป้าต้องกุมขมับ นั่งลงไปที่พื้นอีกครั้ง
"นี่เ้าโง่นั่น คิดจะใช้กระบวยไปฟาดลูกน้องของท่านคิมหรือนี่! โอ๊ยย ปวดหัวๆ ลมจะจับ โอ๊ยยย ใครก็ได้ช่วยข้าที"
เสียงบ่นและะโของนาง ทำให้นางลมจะจับ รีบกลับไปกำหนดลมหายใจเข้าออกฟึดฟัดอยู่คนเดียว
เรือนของขุนนางสูงตระหง่านราวภูผา ดุจท่วงท่าภาคภูมิพร้อมประตูไม้สูง คูรัมมิได้มีแผนใดที่ชัดเจนแต่อย่างใด หากแต่สิ่งที่มีกลับเป็ความสิ้นหวังที่ลุกโชนในอก และความกล้าบ้าบิ่นพอที่จะไม่แยแสสิ่งใด เขากำกระบวยั์ในมือจนแน่น เพราะไม่มีอาวุธอื่นใดที่พอจะดูไม่สะดุดผู้คนเช่นกระบวยอันนี้
เมื่อเขากำลังย่อตัวซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ใกล้ ๆ นั้น
"ฮัดเช่ย!"
มีทหารเฝ้าประตูจามเสียงดัง อันที่จริงพวกเขาไม่ได้มาเฝ้าประตูแต่อย่างใด แค่มีประชุมในเรือนท่านขุนนางเท่านั้น พวกเขาเดินออกมาราวสองถึงสามคนในชุดทหารวังหลวง พลางบ่นพึมพำๆเกี่ยวกับเื่ที่เพิ่งประชุมมา
คูรัมพร่ำพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ขอให้ข้ามีฝีมือขว้างกะหล่ำของโซรานในเวลานี้สักหน่อย...”
เขาแอบมองออกมารอบพุ่มไม้ รถเข็นผ้าลินินคันหนึ่งแล่นผ่าน มีกองผ้าขาวซ้อนกันสูง ชายวัยกลางคนพยาายมเข็นมาไว้หน้าประตูเรือนของใต้เท้าคิม เพื่อจะนำเข้าไปในเรือน ขณะที่พักเอาไว้ เพื่อเข้าไปพูดคุยกับบ่าวหน้าเรือน
“นี่แหละน่าจะใช้ได้!”
โครมม!!
"เฮ้ย! นั่นอะไรฟะ !? ไปดูเร็วเข้า!"
“อ....อะไรกันนั่น?!”
นายทหารนายหนึ่งในกลุ่มชี้โดยใช้ดาบในมือชี้ออกไป ยังเสียงปริศนาที่เกิดจากการโยนกระบวยั์ของคูรัม เพื่อดึงดูความสนใจ ขณะที่ทุกๆคนกำลังวุ่นตามเสียงปริศนา...
โดยไม่คิดไตร่ตรองมากไปกว่านั้น คูรัมกระโจนเข้าไปในรถเข็นทันที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะกลับเข้ามาประจำที่ เพื่อเข็นรถเข็นเข้าไปในเรือน
“ต้องรีบนำผ้าพวกนี้ไปเข้าไปก่อน โอยยย ทำไมมันหนักจังนาา..เมื่อครู่ยังไม่หนักเท่านี้เลย..”
"เฮ้! บ่นอะไรอยู่ รีบๆเข็นเข้าไป"
"ขอรับ ขอรับ! สงสัยข้าจะแก่แล้ว รู้สึกมันหนักไปหน่อย"
ชายวัยกลางคนรีบน้อมตัวรับ พลางเข็นรถเข็นเร่งเข้าไปในเรือน ภายในรถเข็น คูรัมแทบสำลักกลิ่นสบู่จางๆผสมกับความหยิ่งยโสของชนชั้นสูง
(ครั้งนี้ ข้าจะไม่เพียงแค่เดินเคียงข้างเ้า หากแต่จะต่อสู้เพื่อเ้า!) คูรัมเกิดแรงฮึดสู้ภายในผ้าลินิน
