ม่อเสียก้มหน้าลง เมื่อได้สำรวจร่างกายของตัวเองก็พบว่ามีเงาสีดำทาบทับอยู่บนร่าง ทำให้ม่อเสียใกลัวจนรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่าง
ม่อเสียใกลัวจนร่างกายแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัว เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ด้านหน้าและใช้กลิ่นอายกดข่มตัวเองอยู่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มองไม่เห็นเงาอะไรทั้งสิ้น
“เป็เขา” ดวงตาของหนานกงหลิงสว่างวูบ และเผยแววตาประหลาดใจออกมา เขาคาดไม่ถึงเลยว่า เ้าของเงาจะปรากฏตัวขึ้นมาตอนนี้
“ม่อเสีย กลับมา” ม่อช่างหลานกระซิบเบาๆ เนื่องจากเขาเป็ถึงผู้าุโใหญ่ของนิกายหยุนไห่ที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่า 60 ปี ดังนั้นเขาจึงมีความรู้กว้างขวาง ซึ่งเป็ธรรมดาที่เขาจะเข้าใจดีว่า เงาที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหน้ามันคืออะไร
นี่คือจิติญญาเงา เป็จิติญญาที่มีความลึกลับมากประเภทหนึ่ง ว่ากันว่าถ้าสามารถปลุกจิติญญาเงาได้ ผู้ที่จิติญญาเงาจะสามารถใช้หลอมรวมเข้าไปในเงาของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ทุกคนจะเห็นแค่เงาแต่จะไม่เห็นคน นอกจากนี้ยังสามารถปิดบังลมปราณได้อีกด้วย
จิติญญาประเภทนี้น่ากลัวมาก ถ้าหากว่าผู้ที่จิติญญาเงาอยากจะลอบสังหารใครสักคนในยามค่ำคืน ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครอยากลองดีกับผู้ที่มีจิติญญาเงา แม้กระทั่งม่อช่างหลาน
ม่อเสียค่อยๆ ขยับร่างกายที่แข็งทื่อของเขาด้วยสีหน้าซีดเซียว เขาก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ กระทั่งจะผายลมก็ไม่กล้า นี่คือความแข็งแกร่งที่สามารถสั่นะเืทุกคนในที่นี้ได้
“ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงส่งเป็ใคร สามารถปรากฏตัวได้หรือไม่” ม่อช่างหลานเอ่ยปากถามร่างเงาที่อยู่บนพื้นดิน ในเมื่อเงาอยู่ตรงนั้น เ้าของเงาก็ต้องอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
“ดูแลนิกายของเ้าให้ดีเถิด อย่าได้วิตกกังวลกับส่วนได้ส่วนเสียจนเกินไป มิเช่นนั้นหน้าตาของนิกายก็จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นสายลมก็พัดผ่าน พร้อมกับร่างเงาที่อยู่บนสนามประลองได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“น่ากลัวเหลือเกิน” ฝูงชนต่างพากันหวาดกลัวจนไม่รู้ตัวเลยว่า หัวใจของตัวเองเต้นแรงขนาดไหน และสูดลมหายใจเข้าไปลึกแค่ไหน นี่สิถึงจะเรียกว่าจิติญญาที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
“แล้วคนคนนี้เป็ใคร เท่าที่ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเขากำลังสนทนากับท่านประมุขอยู่นะ” ผู้คนต่างพูดถึงเื่คนเสียงแหบกันเงียบๆ
“เขาน่าจะเป็ผู้าุโระดับสูงของนิกายหยุนไห่ ตัวตนของเขาจะต้องลึกลับมากแน่ๆ กระทั่งผู้าุโใหญ่ก็ไม่รู้จักเขา ดูเหมือนว่าในนิกายหยุนไห่ของพวกเราจะมีเหล่าเสือซุ่มัซ่อนอยู่ด้วย”
หนานกงหลิงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา เกรงว่าในที่นี้จะมีแค่เขาเพียงคนเดียวที่รู้ว่า เ้าของร่างเงานั้นเป็ใคร
เมื่อลองนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำ หนานกงหลิงพลันรู้สึกละอายใจขึ้นมา เขามัวแต่นึกถึงผลประโยชน์ของนิกาย แต่กลับลืมเกียรติยศชื่อเสียงของนิกายไป เป็ดังที่คนคนนั้นพูดจริงๆ เขาวิตกกังวลกับส่วนได้ส่วนเสียจนเกินไป
“คุณชายต้าเผิง เื่ในวันนี้ก็ให้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ เชิญท่านกลับไปเถิด และฝากคำทักทายถึงประมุขฉู่ด้วย” หนานกงหลิงมองไปที่ฉู่จ่านเผิงขณะที่พูด
จบแล้ว? หลินเชียนชะงักไปชั่วครู่ หรือว่า้าให้พวกเราจากไป แล้วปล่อยหลินเฟิงอย่างนั้นหรือ
“ศิษย์พี่” หลินเชียนกระซิบขึ้นอย่างแ่เบา ทันใดนั้นฉู่จ่านเผิงก็เปลี่ยนสีหน้า หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “ท่านประมุขหนานกง ได้ยินมาว่านิกายหยุนไห่ปรากฏผู้มีพร์มากมาย ดังนั้นข้าน้อยจ่านเผิงจึงดั้นด้นมาเยือนที่นี่ ไม่ทราบว่าในบรรดาศิษย์ของนิกายหยุนไห่ มีศิษย์คนไหนยินยอมมาเป็คู่ต่อสู้ของข้าน้อยบ้างหรือไม่”
ถึงแม้ว่าฉู่จ่านเผิงจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่กลับแฝงความหมายว่า ้าศิษย์นิกายหยุนไห่คนไหนก็ได้มาประลองกับตัวเอง ในเมื่อเป้าหมายไม่สำเร็จก็เลยอยากจะหาเื่นิกายหยุนไห่ให้เสียหน้าสักหน่อย
หลินเฟิงมองสถานการณ์ออกั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ มิน่าล่ะ หลินเชียนถึงลากฉู่จ่านเผิงคนนั้นมาที่นิกายหยุนไห่ด้วย
“คุณชายต้าเผิงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วอาณาจักรเสวี่ยเยว่ เหล่าศิษย์ในนิกายหยุนไห่ยังต้องฝึกฝนกันอีกมาก ไว้โอกาสหน้าค่อยมาประลองกับคุณชายต้าเผิงเถิด” หนานกงหลิงส่ายหน้าพร้อมกล่าวขึ้นมา
“ท่านประมุขหนานกงหลิง”
“คนของนิกายเฮ่าเยว่ล้วนเป็เหมือนคุณชายต้าเผิงที่ไม่รู้จักเคารพผู้าุโกระนั้นหรือ?” ขณะที่ฉู่จ่านเผิงกำลังจะเอ่ยปากพูด หนานกงหลิงก็พูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่สีหน้าท่าทางกลับเคร่งขรึมเ็า ดวงตาอันแหลมคมจ้องมองไปที่ฉู่จ่านเผิง ในฐานะที่เขาเป็ถึงประมุขนิกายหยุนไห่ แถมยังยอมเอ่ยปากเชิญให้กลับอย่างมีมารยาทตั้งสองรอบ ก็นับได้ว่าให้เกียรติฉู่จ่านเผิงมามากพอแล้ว
เนื่องจากฉู่จ่านเผิงถือว่าตัวเองมีพร์ที่โดดเด่นเหนือใคร ดังนั้นจึงมีนิสัยเอาแต่ใจและหยิ่งยโส กระทั่งไม่ไว้หน้าประมุขนิกายหยุนไห่ ถึงแม้ว่านิกายเฮ่าเยว่จะแข็งแกร่งกว่านิกายหยุนไห่ แต่ทว่าฉู่จ่านเผิงก็ยังเด็กกว่าหนานกงหลิงตั้งรุ่นหนึ่ง หากยังดื้อดึงต่อไป เกรงว่าจะเป็ที่ครหาว่าไม่เคารพผู้าุโ
ฉู่จ่านเผิงสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มแบบมีมารยาทออกมาแล้วกล่าวอย่างเ็าว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าน้อยฉู่ต้องขอลา”
ฉู่จ่านเผิงเรียกปีกของจิติญญานกั์ออกมา ก่อนจะสยายปีกออกกว้างแล้วอุ้มหลินเชียนไว้แนบอก จากนั้นก็กระพือปีกอย่างบ้าคลั่งและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าศิษย์นิกายหยุนไห่ที่อยู่รอบๆ ก็พากันกระเด็นออกไป พายุที่รุนแรงนี้ได้พัดร่างของศิษย์นิกายหยุนไห่จนล้มระเนระนาดไปกับพื้น
“เหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้ ข้าน้อยจะจดจำไว้” เมื่อฉู่จ่านเผิงบินขึ้นฟ้า เหล่าฝูงชนก็เริ่มยืนอย่างมั่นคง พร้อมกับรู้สึกละอายใจเหมือนกับโดนดูถูกทางอ้อม
“หลินเฟิง งานชุมนุมประจำปีของตระกูล ข้าหวังว่าจะได้พบเ้า นอกเสียจากว่าเ้าจะกลัวจนมุดหัวอยู่แต่ในนิกาย” เสียงหลินเชียนะโไล่หลังขึ้นมา
เมื่อเห็นต้าเผิงบินจากไป หลินเฟิงก็หัวเราะขึ้นมาในใจ เขาจำเป็ต้องมุดหัวอยู่แต่ในนิกาย?
เมื่อหนานกงหลิงเห็นศิษย์ของนิกายตัวเองล้มลงบนพื้น สีหน้าของเขาก็พลันย่ำแย่ขึ้นมา ถึงแม้ว่าคุณชายต้าเผิงจะอวดดี แต่ความเป็จริงที่ว่าศิษย์ในนิกายของเขาไม่ว่าจะพลังหรือพร์ล้วนเทียบกับคุณชายต้าเผิงไม่ได้
“ภายใน 5 ปี ข้าหวังว่าในนิกายหยุนไห่จะปรากฏบุคคลที่สามารถต่อกรกับฉู่จ่านเผิงได้สักคน” หนานกงหลิงมีลางสังหรณ์อย่างนั้น ในแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ คุณชายต้าเผิงถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 6 ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะมายั่วยุนิกายหยุนไห่ ความจริงแล้วการกระทำของเขานับได้ว่าดูิ่นิกายหยุนไห่เป็อย่างมาก แค่อันดับ 6 ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าอีกเจ็ดคุณชายจะมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน
“เื่ในวันนี้เป็อันว่าสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ แยกย้าย” หนานกงหลิงโบกมือ ขณะที่พูดกับฝูงชน จากนั้นเขาก็เตรียมจะจากไป
ม่อเสียยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เอาแต่จ้องมองไปที่หลินเฟิง ตอนนี้เขาเกลียดหลินเฟิงจนอยากจะเข้าไปฆ่าให้ตาย แน่นอนว่าหลินเฟิงก็ไม่ชอบขี้หน้าผู้าุโม่อเสียเช่นกัน การกระทำอันน่ารังเกียจของเขา หลินเฟิงจะจำไว้
“ข้าบอกว่าเื่ในวันนี้เป็อันว่าสิ้นสุด” หนานกงหลิงกำชับอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง พร้อมมองไปยังม่อเสียที่กำลังจ้องมองหลินเฟิงอยู่ เสียงเข้มดุดันนั้นทำให้ม่อเสียตัวแข็งทื่อ และก้าวเท้าเดินตามหลังท่านประมุขหนานกงหลิงไป
“ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ข้าจะต้องระวังคนคนนี้ให้มาก” หลินเฟิงเตือนตัวเองในใจ วันนี้ความแข็งแกร่งของเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายมาก อีกทั้งสถานะก็ยังห่างชั้นจากผู้าุโม่อเสีย ดังนั้นเขาจะต้องเร่งบ่มเพาะพลังของตัวเองให้มากกว่านี้
ขณะที่จะก้าวเท้าไปจากที่นี่ หลินเฟิงก็ได้ยินเสียงกระซิบลอยเข้ามาที่ข้างหู
“ถ้าอยากได้รับความเคารพ เ้าจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งและพร์ที่ยอดเยี่ยม มิฉะนั้นคนอื่นๆ ก็จะพูดจาดูถูกเ้า เหยียดหยามเ้า แม้แต่สังหารเ้า”
หลินเฟิงลดฝีเท้าให้ช้าลง คำพูดนี้เป็คำพูดที่หนานกงหลิงพูดกับหลินเฟิงโดยตรง
“แน่นอนว่าข้าเข้าใจ” หลินเฟิงยิ้มในใจและก้าวเท้าเดินไปอย่างมั่นคง ราวกับว่าทุกย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยความมั่นคง คล้ายกับกำลังก้าวขึ้นไปบนบันไดสู่ความแข็งแกร่ง
…
ในถ้ำบนหน้าผาแห่งหนึ่ง หลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ ในอากาศเต็มไปด้วยหยวนชี่ฟ้าดินที่เปล่งแสงสว่างสีขาวระยิบระยับ พวกมันถูกดูดซึมเข้าไปในร่างของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลมปราณของหลินเฟิงเติบโต และกล้ามเนื้อของเขาก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น
ผู้บ่มเพาะในระดับขอบเขตนักรบลมปราณ ต้องฝึกฝนทั้งลมปราณและพลัง เพื่อทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง ชีพจรและเส้นเืขยายใหญ่ ทำให้พละกำลังมหาศาลขึ้น และกล้ามเนื้อกำยำแข็งแรง นอกจากนี้จุดกักเก็บลมปราณก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย
ขอบเขตนักรบลมปราณ เป็ขอบเขตพื้นฐานในการเริ่มต้นบ่มเพาะพลัง ถ้าวางพื้นฐานได้มั่นคง การบ่มเพาะพลังก็จะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
หลินเฟิงต้องบ่มเพาะพลังอย่างเร่งด่วน เขา้ากลายเป็ผู้ที่แข็งแกร่ง ยิ่งทะลวงผ่านขอบเขตได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เป็ผู้บ่มเพาะขอบเขตแห่งจิติญญา ก็สามารถกลายเป็ศิษย์สายในได้ และถือว่าเป็ศิษย์ของนิกายอย่างแท้จริง ทั้งยังได้รับความเคารพจากคนอื่น
ได้ยินมาว่าถ้าหากสามารถทะลวงผ่านไปยังขอบเขตแห่งจิติญญาได้ จะทำให้จิติญญาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
เหมือนกับจิติญญานกั์ของคุณชายต้าเผิง ที่หลังจากผ่านการตื่นขึ้นมาแล้ว ก็สามารถบินกลางอากาศได้ และถ้าจิติญญาเพลิงน้ำแข็งของหลินเชียนผ่านการตื่นขึ้นมา จิติญญาของนางก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ส่วนหลินเฟิงก็เชื่อมั่นว่า ถ้าหากจิติญญาแห่งความมืดของเขาได้ผ่านการตื่นขึ้นมาล่ะก็ มันจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่หลินเฟิงดูแลหานหมานจนหายดี เขาก็รีบปลีกตัวออกมาหาถ้ำเพื่อทำการบ่มเพาะ หลังจากที่บังเอิญพบถ้ำนี้ เขาก็บ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่ง หลินเฟิงหวังว่าตัวเองจะสามารถทะลวงผ่านไปยังขอบเขตแห่งจิติญญาในเร็ววัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้