“เ้าหุบปาก” ซูเจินะโต่อว่าซูเจียว ในขณะที่ประคองร่างของพี่เลี้ยงเอาไว้ในอ้อมอก หากฉีกชิ้นเนื้อของซูเจียวได้นางจะทำโดยไม่ไตร่ตรองแม้แต่น้อย
“เสด็จพ่อ บันทึกฉบับนั้น พี่ลี่เซียนไม่ได้เป็คนยื่นให้ข้า หากแต่มันตกอยู่เพียงเพราะพลังเวทย์ที่ผลึกมันไว้เสื่อมเท่านั้น หาใช่อย่างที่พี่ซูเจียวกล่าวหาแม้แต่น้อย”
“ท่านพ่ออย่าเชื่อลมปากนาง ข้าเห็นกับตาว่าลี่เซียนยื่นบันทึกนั้นให้นางอ่าน เพียงเพราะตามใจที่นางอยากรู้อยากเห็น” ซูเจินร้องไห้ส่ายศีรษะไปมาเป็การปฏิเสธ ในเวลานี้คำพูดของซูเจียวมีน้ำหนักมาก ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ ใส่ความมากเท่าไหร่ พระาาก็เชื่อคำของนางมากขึ้นเท่านั้น
“ลี่เซียน เ้าตอบข้ามา ซูเจินได้อ่านบันทึกฉบับนั้นแล้วฤาไม่” พระาาเดินเข้าไปใกล้แล้วกดเสียงต่ำเป็การกดดันให้นางพูดความจริง ลี่เซียนรู้ชะตาชีวิตตัวเองในวินาทีนั้น ก่อนเลื่อนสายตามองตรงมายังราชธิดาซูเจิน ที่นางรักดังดวงใจ มือบางค่อยๆ ยกขึ้นลูบใบหน้านวลเป็ครั้งสุดท้ายด้วยความเ็ป
“ดูแลตัวเองด้วยนะเพคะ ไม่มีลี่เซียนแล้ว อย่าทรงดื้อจนลืมทานอาหารเหมือนที่ผ่านมา” ลี่เซียนรวบรวมกำลังทั้งหมด เพื่อฝากฝังคำพูดสุดท้ายให้กับราชธิดาอันเป็ที่รัก
“ไม่ ทำไมพี่ลี่เซียนชอบพูดแบบนี้ ข้าไม่ชอบให้ท่านพูดแบบนี้” ลี่เซียนทำให้ซูเจินควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนหันไปหาพระราชบิดาแล้วใช้ไม้ตายครั้งสุดท้าย
“หากท่านพ่อจะทำร้ายนางก็ข้ามศพข้าไป” สิ้นเสียงของซูเจิน พระาาใช้พลังเวทย์ปัดตัวนางออก แล้วใช้พลังเวทย์อัดไปที่ตัวของลี่เซียนทันที หลังจากทุกอย่างจบสิ้น มีเพียงความสงบและร่างอันไร้ิญญาของลี่เซียนที่นอนแน่นิ่งอยู่
“พี่ลี่เซียน” เสียงกรีดร้องของราชธิดาดังก้องกังวานออกไปไกล แสดงถึงความเ็ปจากการสูญเสียครั้งนี้ ซูเจินหันไปคว้าดาบจากทหารองค์รักษ์ แล้วมาทาบวางไว้ที่คอของตัวเอง ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความสูญเสีย มองตรงมายังทั้งสามด้วยความคับแค้นใจเหลือคณานับ
“พวกท่านรู้ ว่าที่ข้ามีลมหายใจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้มาจากนาง แล้วพรากนางจากข้าไปทำไม ใช่! บันทึกฉบับนั้นข้าเป็คนอ่าน และตอนนี้ก็จำมันได้อย่างขึ้นใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่เช่นนาง”
“ซูเจิน” พระราชมารดากล่าวห้าม ในขณะที่พระาาใช้พลังเวทย์ดึงดาบออกจากมือของซูเจินกระเด็นออกไปไกล โดยที่คมดาบยังไม่ทันได้ดื่มเื
“หึ หึ หึ” ซูเจินเห็นดังนั้นได้แต่หัวเราะในลำคอ
“พวกท่านจะให้ข้าอยู่ได้อย่างไร อยู่เพื่ออะไร เฉกเช่นทุกวันข้ามีนางอยู่ข้างกาย ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น นางตามรับใช้ อยู่เคียงข้างมิเคยห่าง เพราะทุกคนล้วนมีเวลาให้เพียงแค่พี่ซูเจียวคนเดียว ข้ายังจำได้มิเคยลืม เมื่อยามเด็กข้าหิวนมมากเดินไปหาท่านแม่ คำพูดหนึ่งคือท่านไล่ข้ากลับไปหาพี่ลี่เซียน แม้ยามข้าป่วยข้าเดินไปหาท่านพ่อ คำพูดหนึ่งคือไล่ข้ากลับไปหาพี่ลี่เซียน ไม่ว่ายามเด็กหรือยามนี้พวกท่านไม่รู้จริงๆ เช่นนั้นเหรอ ว่าข้ามีลมหายใจอยู่ได้เพราะนาง” ร่างบางพูดระบายความอัดอั้น พร้อมกับน้ำตาไหลอาบสองแก้ม คล้ายคนเสียสติ ดวงตาเลื่อนลอยไม่มีจุดหมาย ทำให้พระราชมารดารู้สึกสำนึกค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาลูกสาว
“ท่านหยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงตวาดอันขาดสติของซูเจิน ดังแผดขึ้นอย่างเ็ป
“วันนี้เป็วันแรกที่ท่านแม่ก้าวเท้ามาหาข้า ข้าควรดีใจฤาไม่” นางหัวเราะทั้งน้ำตา หัวใจแตกสลายแล้วยากหาสิ่งใดเยียวยา
“มันยังทันอยู่ฤาไม่ ทำไมข้าไม่ดีใจเลยล่ะ” นางพูดจบ จึงหันหน้าเดินเข้าไปประคองร่างอันไร้ิญญาของลี่เซียนด้วยความรัก แล้วหันตัวเดินออกจากวังในคืนนั้น โดยหอบความเ็ปมาพร้อมกับร่างของลี่เซียน นางเดินร้องเพลงกล่อมเช่นเดียวกับที่ลี่เซียนเคยทำ เสียงหวานดังลอดฝ่าความมืดมิดไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย เสียงร้องเพลงผสมกับเสียงร้องไห้สลับกันไปจนเกือบสว่าง ร่างอันอ่อนล้าของราชธิดาเริ่มหมดแรงค่อยๆ ล้มพับลงใกล้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ
“ท่านพี่ จะปล่อยลูกไปเช่นนั้นจริงๆ เหรอเพคะ” ซูลี่เดินวนอยู่ให้ตำหนักด้วยความเป็ห่วง
“ปล่อยนางไป ลูกไม่รักดี ไม่เอาไหนสักอย่าง เ้าจงตัดใจเสีย” พระาาพูดพลางตรวจงานราชการ โดยไม่รู้สึกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านพ่อข้ามาแล้วเพคะ” ซูเจียวเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับขลุ่ยในมือ และหนังสืออีกหนึ่งหอบใหญ่
“คนที่เ้าควรใส่ใจยืนอยู่ตรงนี้ เหตุใดยังนึกถึงนางผู้ไม่เอาไหนอีก” พระาากล่าวทิ้งท้ายให้ชายาทราบ พลางวางมือจากงานราชการ แล้วลุกขึ้นเดินไปหาซูเจียวลูกสาวคนโปรด
“ดีมากลูก พ่อจะพาเ้าไปฝึกดนตรี” ทั้งสองพากันเดินลับหายไปนอกตำหนัก โดยไม่พูดถึงซูเจินแม้แต่น้อย นางหาได้มีความสำคัญกับแคว้นจ้านหลิวไม่ มีเพียงความรู้สึกของราชมารดาเท่านั้นที่พอมีความหมายอยู่บ้าง
เสียงสายลมกระทบสายน้ำ และแสงอ่อนจากริมขอบฟ้าเริ่มปรากฏ ซูเจินลืมตาตื่นจากความอ่อนล้า สายตากลมเลื่อนมองร่างอันไร้ิญญาของลี่เซียน ที่นอนอยู่ด้านข้าง มือบางเอื้อมไปเช็ดขอบปากที่ยังคงมีเืซึมออกมา เป็ภาพแห่งความเ็ป และมันไม่ใช่ความฝัน
“พี่ลี่เซียนหนาวไหม รอข้าหน่อยนะ” ว่าแล้ว ร่างบางจึงออกเดินหากิ่งไม้ขนาดใหญ่ ที่พอใช้เป็เครื่องมือขุดดินได้ นางเดินหาอยู่นานจึงเจอชิ้นที่เหมาะมือ และลงมือขุดไปได้เพียงสองครั้งน้ำตาแห่งความเ็ปก็หลั่งไหลออกมา
“พี่ลี่เซียน ที่ตรงนี้ท่านชอบไหม อยู่ใต้ต้นไม้จะไม่ร้อน มีสายน้ำให้ท่านได้เฝ้ามอง ถ้าเหงาก็มีนกมีสัตว์ตัวน้อยเป็เพื่อน พี่ลี่เซียนว่าดีหรือไม่” ซูเจินพูดกับร่างอันไร้ิญญา พร้อมเร่งใช้แรงขุดดินออกมากองใหญ่ พอที่จะใส่ร่างของพี่เลี้ยงลงไปได้
“พี่ลี่เซียน ข้าไม่มีพลังเวท ที่จะเสกให้บ้านสุดท้ายของท่านสวยงามได้ แต่ข้าอยากให้พี่ลี่เซียนรู้ไว้ว่า นับจากนี้ไปข้าจะเป็เด็กดี ไม่เกเรเอาแต่ใจอีก หลับให้สบายแล้วเฝ้ามองดูข้าเติบโตในภายหน้า ข้าจะทำให้พี่ลี่เซียนภูมิใจในตัวข้า” หลังจากบอกลาเป็ครั้งสุดท้าย มือน้อยๆ ค่อยๆ โกยดินกลบร่างของลี่เซียนจนเสร็จ
นางนั่งหมดแรงมองหลุมนั้นอยู่นานหลายชั่วยาม แล้วตัดใจเดินทางต่ออย่างไร้จุดหมาย ราชธิดาแห่งแคว้นจ้านหลิวที่ยิ่งใหญ่ ปกครองราษฎรนับหมื่น ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตกันอย่างเรียบง่าย หญิงสาวตัวเล็กใบหน้าซีดเซียวในชุดสีฟ้าครามผิวขาวผุดผ่องยังคงมุ่งตรงไปเรื่อยๆ หลายชั่วยามมิได้หยุดหย่อน นางหอบเอาความเ็ป หวังหลีกหนีไปให้ไกลสุดล่าฟ้าเขียว
“ท้ายที่สุดแล้ว การได้ออกมาสู่โลกกว้าง จะมีความหมายอะไร ในเมื่อขาดพี่ลี่เซียน” นางหยุดเดิน แล้วหันมองธารน้ำที่กำลังไหลเป็สาย ครู่หนึ่งความจำในบันทึกโบราณ ที่กล่าวว่าแคว้นทั้งสี่ถูกแบ่งด้วยแม่น้ำแต่ละสายขั้นกลาง ก็ผุดเข้ามาในสมอง พร้อมกับดวงตาเล็กฉายแววประกายผุดผ่อง
“หากเดินตามลำธารไป อาจจะพบกับแม่น้ำแล้วพาข้าออกจากแคว้นนี้ได้” เมื่อนึกได้ดังนั้น ซูเจินเดินตรงไปยังลำธารแล้วมองตามสายน้ำไปจนสุด ความหวังอันน้อยนิดเริ่มเห็นทางสว่าง ทว่าอุปสรรคจากความหิวโหยกำลังเข้าเล่นงานอย่างหนัก สองมือน้อยลูบวนท้องตัวเองอย่างท้อใจ ก่อนวักน้ำจากลำธารมาดื่มประทังชีวิต