เด็กหยางเจี้ยนคนนั้นแม้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ทำให้เทพสนใจได้แต่กลับทำได้กระทั่งเลือกอาจารย์ เื่นี้ทำให้สถานะของเด็กคนนั้นดูสูงส่งขึ้นในทันทีจนทำให้บรรพชนบางท่านสนใจในตัวเขา
ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็มองไปทางหลัวเลี่ยด้วยความสงสัย
ทำไมเด็กหยางเจี้ยนถึงได้เลือกหลัวเลี่ย แม้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะยังไม่ได้กราบหลัวเลี่ยเป็อาจารย์ แต่ในใจของเขาก็เลือกให้หลัวเลี่ยเป็ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวแล้ว โดยที่เขาไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นไม่ว่าจะเป็บรรพชนหรือเทพองค์ใดก็ตาม เหตุใดหลัวเลี่ยถึงได้มีคุณสมบัติในการเป็อาจารย์ของเขากันนะ
“เด็กหยางเจี้ยนพูดอะไรถึงสามารถทำให้ท่านบรรพชนอวี้ติงเจินเหรินยอมเขาได้” หลัวเลี่ยอยากรู้จริงๆ
หลี่จิ้งถอนหายใจและพูดว่า “เขาบอกว่า ตัวเขา้าหาอาจารย์ที่เป็วีรบุรุษ”
“อาจารย์ที่เป็วีรบุรุษ?” หลัวเลี่ยตกตะลึง
คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงงเช่นกัน
สำหรับดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้ ผู้ที่อ่อนแอคือเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง หากใครประมาทแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกทำร้ายได้ จนบางครั้งคำว่าวีรบุรุษก็ถูกมองอย่างดูถูก เพราะพวกเขามองว่าคนอะไรกันถึงต่อสู้เพื่อคนอื่นช่างเสแสร้ง ซึ่งบางคนก็อาจไม่ได้พูดออกมาแต่คิดอยู่ในใจ และที่มากไปกว่านั้นคือมักจะมีคนที่คิดถึงแต่ตัวเองและคิดถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้จากผู้อื่น
“ประวัติของหยางเจี้ยนไม่ธรรมดา ตอนที่เขาเกิดได้ไม่ถึงเดือนมีใครบางคนปลดผนึกของเขา อย่าได้เผลอมองว่าเขาเป็เพียงเด็กที่มีอายุห้าถึงหกขวบเชียว ความจริงแล้วประสบการณ์ของเขาอาจไม่ด้อยกว่าเ้าด้วยซ้ำหรือแม้กระทั่งเมื่อเทียบกับผู้คนในดินแดนแห่งนี้เขาก็คงมีประสบการณ์มากกว่าใครหลายๆ คน แต่ว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังเป็เพียงเด็กที่มีอายุไม่กี่ขวบ ดังนั้นท่าทีที่เขาแสดงออกมาจึงไม่เป็อย่างผู้ใหญ่เหมือนพวกเรา แต่ว่าอวี้ติงเจินเหรินผู้ที่อยากรับเขาเป็ศิษย์กลับเข้าใจเื่นี้ดี” หลี่จิ้งอธิบาย “เขา้าอาจารย์ที่เป็วีรบุรุษ”
หลัวเลี่ยนิ่งเงียบ
คนบางคนที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมมองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความขบขัน ในสายตาของพวกเขาคำว่า “วีรบุรุษ” เป็คำที่เสื่อมเสียและน่าเยาะเย้ย
และบางคนก็มองไปที่หลัวเลี่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง ในที่สุด พวกเขาก็เข้าใจว่าที่หลัวเลี่ยสังหารไก้อู๋ซวงก็เพราะคำว่าวีรบุรุษ และพวกเขาก็คิดว่าหลัวเลี่ยช่างดูไม่ใช่ลูกผู้ชายเอาเสียเลย
แน่นอนว่าเมื่อมีบางคนมองหลัวเลี่ยอย่างเฉยเมยก็มีบางคนที่แสดงความสนใจในเื่นี้อย่างชัดเจนเช่นกัน
มีเพียงหลัวเลี่ยเท่านั้นที่รู้สึกลึกซึ้งมากขึ้น
หลัวเลี่ยมาถึงดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้นานแล้ว และจากประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอมา เขาคิดว่าผู้คนในดินแดนแห่งนี้เ็ากันเกินไป ทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นเขาจึงอยากคิดแบบบริสุทธิ์บ้าง และเมื่อเป็เช่นนี้เขาจึงมีความคิดที่อยากจะทดแทนบุญคุณ
“น่าสนใจ”
หลัวเลี่ยหัวเราะเบาๆ สองครั้ง
“องค์ชายผู้นี้ก็คิดว่าน่าสนใจ จะกลัวก็แต่ว่าคนที่คิดจะเป็วีรบุรุษจะกลายเป็หมาแทน” เสียงนี้ดังมาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาจเป็องค์ชายแห่งอาณาจักรชางหรืออาณาจักรโจวซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หลัวเลี่ยที่มีชายวัยกลางคนและหนุ่มสาวนั่งอยู่ด้วย
หลัวเลี่ยกลอกตาและมองไปทางองค์ชาย เขาไม่อยากตอบโต้และมีเื่
ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวหลัวเลี่ยเองยังรับไม่ได้ที่จะถูกเรียกว่าวีรบุรุษเพราะเขาแค่ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องเท่านั้น เขาคิดว่าตนเองไม่คู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษ
“ขอบคุณผู้าุโหลี่มากที่กรุณาบอกให้ข้ารู้เื่มากมาย” หลัวเลี่ยกล่าว
เมื่อเห็นว่าหลัวเลี่ยไม่สนใจ สีหน้าขององค์ชายก็มืดครึ้มลง แต่เขาก็ยังยั้งตัวเองไว้เมื่อหันไปมองทางหลี่จิ้ง
หลี่จิ้งยิ้ม “ข้าแค่พูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น” เขาหยุดและถามต่อ “ข้าเห็นว่าเ้ารีบขึ้นมา้าและจ้องไปที่เสี้ยวเสีย เขามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
ชายหนุ่มผู้แขวนกระดิ่งไว้ที่เอวอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ “ข้าหรือ?”
หลัวเลี่ยพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา “ข้ากำลังตามหาเสี้ยวเสียอยู่”
“เสี้ยงเสีย มีเื่อะไร เ้าก็มาคุยกับนายน้อยหลัวเสีย” หลี่จิ้งพูด “คนผู้นั้นก็คือศิษย์ของข้า เขามีนามว่าหยางเสี้ยวเสีย”
หยางเสี้ยวเสียถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายหลัวมีเื่อะไรกับข้าหรือ”
หลัวเลี่ยชี้ไปที่เอวของเขา “สหายหยาง ข้าขอดูระฆังของเ้าสักนิดได้หรือไม่”
“ย่อมได้”
หยางเสี้ยวเสียถอดระฆังขนาดเล็กที่ผูกตรงเอวออกแล้วยื่นให้หลัวเลี่ย
“ขอบคุณมาก”
หลัวเลี่ยหยิบระฆังเล็กๆ ขึ้นมาตรวจสอบ
ก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่ได้ััมัน เขารู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งว่าระฆังใบนี้คือหนึ่งในระฆังจักรพรรดิประจิม มันมีพลังที่คล้ายคลึงกับระฆังจันทราของเขา แต่เมื่อเขาได้ััมันแล้ว เขากลับไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ อีก ระฆังใบเล็กนี่แตกต่างจากระฆังจันทราของเขามากเกินไป มันไม่มีกลิ่นอายโบราณแบบระฆังจักกรพรรดิประจิม แต่กลับมีความเป็สิ่งของสมัยใหม่มากกว่า
และมันก็บังเอิญมากที่ระฆังใบนี้มีความรู้สึกคล้ายกันกับระฆังจันทราและสามารถตอบสนองซึ่งกันและกันได้
เื่นี้ทำให้หลัวเลี่ยข้องใจ
“สหายหยาง ท่านได้ของสิ่งนี้มาจากไหนหรือ” หลัวเลี่ยถาม
หยางเสี้ยวเสียยิ้มและพูดว่า “เป็ของที่ปู่ของข้าทำขึ้นมาเองขอรับ ข้าพกมันมาั้แ่สมัยเด็กแล้วขอรับ”
มันไม่ใช่หนึ่งในเก้าของระฆังจักรพรรดิประจิมจริงๆ ด้วย
แต่ทำไมมันถึงได้ตอบสนองต่อระฆังจันทราของเขาเล่า และแม้แต่เขาก็ยังรู้สึกได้เช่นนั้น
“มันเคยมีอะไรแปลกไปบ้างหรือไม่ ข้าหมายความว่าั้แ่ที่เ้าพกมันมาเ้าเคยรู้สึกไหมว่ามันเปลี่ยนไป” หลัวเลี่ยยังคงอดไม่ได้ที่จะถาม
หยางเสี้ยวเสียคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าพูดถึงความเปลี่ยนแปลงก็เหมือนจะมีนะขอรับ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่ไก้อู๋ซวงกำเนิดขึ้น ข้าก็บังเอิญอยู่ที่จัตุรัสเหยียนหลงด้วย ตอนที่นางได้กำเนิดขึ้นมา สมบัติลึกลับรูปัก็เหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย หลังจากนั้นพลังสายหนึ่งก็ตกลงบนระฆังใบนี้”
“หา?”
หัวใจของหลัวเลี่ยสั่นไหว เขามองไปยังสมบัติรูปัซึ่งอยู่เหนือจตุรัสเหยียนหลงโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้นเองหลี่จิ้งก็พูดแทรกขึ้น “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ของข้าพูดไว้ว่าสมบัติรูปัไม่ใช่ของธรรมดา มันอาจมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมพระองค์แรกก็เป็ได้ แม้ว่าข้าจะไม่รู้รายละเอียดนอกเหนือจากนี้แต่ข้าก็รู้ว่ามันสามารถเปลี่ยนสิ่งของธรรมดาให้กลายเป็สมบัติที่ไม่ธรรมดาได้”
หลัวเลี่ยมองไปยังระฆังใบเล็กในมือของเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่สมบัติรูปับนท้องฟ้าและคิดถึงความจริงที่ว่าเคยมีตระกูลอูซึ่งเป็สายเืของจักรพรรดิแดนประจิมถูกกวาดล้างไปแล้ว นอกจากนี้ในมือของเขายังมีระฆังจันทราซึ่งเป็หนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิแดนประจิมที่ไก้อู๋ซวงตามหาอีกด้วย บางทีการมีอยู่ของไก้อู๋ซวงก็อาจเกี่ยวพันกับสมบัติรูปั
เมื่อทุกอย่างเกี่ยวโยงกัน เขาก็เข้าใจอย่างคลุมเครือ
บางทีเื่ราวความลึกลับของระฆังจักรพรรดิประจิม ก็อาจอยู่ที่สมบัติรูปัและไก้อู๋ซวง
“ขอบคุณผู้าุโสำหรับคำแนะนำ ขอบคุณสหายหยาง” หลัวเลี่ยส่งระฆังใบเล็กกลับไปให้ “ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว”
หลายคนที่มองเหตุการณ์อยู่รู้สึกสับสนกับพฤติกรรมของหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยไม่ใส่ใจที่จะอธิบาย เขาบอกลาหลี่จิ้ง หยางเสี้ยวเสีย และคนอื่นๆ ทันที
ตอนนี้หลัวเลี่ยรู้แล้วว่าความลึกลับของระฆังจักรพรรดิประจิมนั้นเกี่ยวข้องกับสมบัติรูปัด้วย และมันก็ทำให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากว่าสุดท้ายปริศนาก็อยู่ที่ไก้อู๋ซวง
หลี่จิ้งขอให้หลัวเลี่ยอยู่ต่อ แต่หลัวเลี่ยยังคง้าบอกลา เขารู้ว่าตัวตนของเขาละเอียดอ่อนเกินไปและเขาไม่เหมาะที่จะมีการติดต่อใกล้ชิดกับกองกำลังขนาดใหญ่อื่นๆ ในเวลานี้ ซึ่งเื่นี้จะนำไปสู่ความสงสัยและอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างง่ายดาย
ในขณะที่หลัวเลี่ยกำลังจะเดินลงบันได ชายผู้สูงศักดิ์ที่อายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น
“ก่อนที่คุณชายหลัวจะจากไป ท่านช่วยตอบคำถามของข้าหน่อยได้หรือไม่” ชายผู้สูงศักดิ์กล่าว
หลัวเลี่ยหยุดเดิน “คำถามอะไร แล้วท่านเป็ใคร”
ชายผู้สูงศักดิ์ยิ้ม “ข้าคือโอรสของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโจว มีนามว่าเหลยเจิ้นจื่อ”
“ที่แท้ก็เป็องค์ชาย” หลัวเลี่ยพูด “พระองค์มีคำถามอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เหลยเจิ้นจื่อพูดว่า “เ้าจะตายหรือไม่”
เป็คำถามที่ทำให้หลายคนรู้สึกสับสัน เพราะแม้จะดูตลก แต่เมื่อคิดทบทวนให้ดีแล้ว พวกเขากลับรู้สึกว่าคำถามนี้ตรงประเด็นมากที่สุด