ยามโหย่ว แขกทั้งหลายต่างเริ่มทยอยกันเดินผ่านเข้ามาในประตูจวนแล้ว บางส่วนเป็บรรดาคุณหนูคุณชายที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ แต่บางส่วนเป็เหล่าผู้มีเกียรติที่เพิ่งได้รับเทียบเชิญอย่างกะทันหันจากจวนอ๋อง จึงได้เร่งรีบเดินทางมาเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง
ในบรรดาคนเหล่านี้มีหลายคนที่เพิ่งมีโอกาสได้มาเยือนจวนอ๋องเป็ครั้งแรก สายตาของพวกเขาล้วนติดตรึงอยู่กับทิวทัศน์โดยรอบของจวนอ๋องตลอดระยะทางทุกฝีก้าว นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีได้กำชับสั่งให้บรรดาสาวใช้คอยอยู่ต้อนรับแขกคนสำคัญเหล่านี้ให้ดี ดังนั้น ขณะที่สาวใช้นำทางแเื่เข้ามา ทุกนางต่างต้องอธิบายการจัดแต่งจวนอ๋องั้แ่เรือนชั้นหนึ่งจนถึงเรือนชั้นสามให้ทุกท่านได้รับฟังไปด้วย
“หากสามารถมาที่นี่ในยามกลางวันได้ก็คงจะดีไม่น้อย ดูสิ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ทิวทัศน์ที่งดงามเพียงนี้ไม่อาจมองเห็นได้อีกแล้ว” ข้างกายของหลัวถงจือมีสาวน้อยรูปลักษณ์งดงามผู้หนึ่งติดตามมาด้วย นางพูดจาด้วยน้ำเสียงติดจะเสียดาย
“หากว่าคุณหนูหลัวชื่นชอบทิวทัศน์ของจวนอ๋องมากเพียงนี้ ในวันหน้าข้าจะส่งเทียบเชิญให้เ้าได้มาเยือนที่นี่ในตอนกลางวัน” อวิ๋นซีที่เพิ่งเดินออกมาจากเรือนชั้นสองบังเอิญได้ยินคำพูดของหลัวซืออวี่ผู้เป็บุตรสาวของหลัวถงจือเข้าพอดี
ในเมื่อนางเป็ชายาหานอ๋องแล้ว เช่นนั้นก็ควรต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับเขา เนื่องด้วยหลัวถงจือผู้นี้เพิ่งถูกส่งมาปฏิบัติภารกิจที่นี่เมื่อปีก่อน จวินเหยียนเคยพูดไว้ว่า บุรุษผู้นี้มิใช่คนขององค์ชายองค์ใด อีกทั้งยังเป็คนซื่อตรง และเพราะเหตุนี้เองที่เขาไม่ยินดีจะยืนข้างฝักฝ่ายใดถึงได้หลุดจากตำแหน่งเ้าเมือง และถูกส่งมายังหานโจวแห่งนี้
คนเช่นนี้แหละที่จวินเหยียนกำลัง้าพอดี แม้สุดท้ายเขาจะไม่เลือกอยู่ข้างใคร แต่ในใจจำต้องมีประชาชนหานโจวอยู่ ยิ่งกว่านั้น อวิ๋นซีเองยังเคยอ่านประวัติความเป็มาของใต้เท้าถงจือผู้นี้มาก่อน ไม่ว่าเขาจะไปยังแห่งหนใดก็ล้วนเป็ขุนนางดีที่ประชาชนในท้องที่ให้การสนับสนุน แต่กลับเป็ขุนนางซื่อสัตย์ที่เหล่าพ่อค้าพากันเคียดแค้น
หลัวซืออวี่หยุดฝีเท้าแล้วจ้องมองไปยังสตรีตรงหน้าที่สวมชุดตุ้ยจิ้นสีฟ้าอ่อนปักลายกล้วยไม้กับกระโปรงร้อยจีบ นางกะพริบดวงตากลมโต ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “พระองค์ก็คือ ชายาหานอ๋อง? ท่านจะส่งเทียบเชิญให้ข้า ให้ข้ามาเที่ยวเล่นที่นี่จริงหรือเพคะ? ”
เมื่อหลัวถงจือและฮูหยินหลัวเห็นอวิ๋นซีก็พากันก้าวออกมาด้านหน้าเพื่อคารวะ และตักเตือนบุตรสาวตนว่าอย่าไร้มารยาท
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ยิ้มพูด “ใต้เท้าหลัว อย่าทำให้เด็กน้อยใเลย” เมื่อพูดจบ นางก็มองไปยังหลัวซืออวี่ เด็กสาวตรงหน้าดูแล้วน่าจะอายุแปดเก้าขวบ รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายพิศแล้วก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง อีกทั้ง บริเวณคิ้วตาก็ยังสังเกตเห็นกระทั่งเงาของฮูหยินหลัวผู้เป็มารดาอยู่ในนั้น นางลูบๆ ศีรษะเด็กน้อยแล้วจึงพยักหน้าตอบ “อืม ไว้วันหน้าหากข้ามีเวลาจักต้องไม่ลืมส่งเทียบเชิญให้บรรดาคุณหนูและฮูหยินทั้งหลายเช่นพวกท่านมาเยือนจวนอ๋องอีกเป็แน่”
หลัวซืออวี่ยิ้ม ก่อนจะเงยหน้ามองบิดาตน “ท่านพ่อ ดูสิเ้าคะ จริงๆ แล้วพระชายาทรงเรียบง่าย เข้าถึงง่าย เป็ท่านต่างหากที่กลัวจนเกินไป”
เมื่อหลัวถงจือได้ยินคำยอกย้อนนั้นก็ได้แต่มองบุตรสาวด้วยสีหน้าปลงๆ “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะพระชายา เป็กระหม่อมเองที่ตามใจบุตรสาวมากเกินไป คนจึงไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย” พระชายาที่มีพื้นเพมาจากประชาชนธรรมดาผู้นี้ เขาเองก็เคยได้ยินมาก่อน ทว่า ในตอนงานมงคลของท่านอ๋องนั้น ตัวเขาไม่ได้อยู่ในหานโจวจึงยังไม่เคยได้พบหน้าอีกฝ่าย
“ไม่เป็ไร หากเป็เด็กก็ต้องสดใสร่าเริงหน่อยถึงจะดี” อวิ๋นซีอมยิ้มแล้วผายมือออกเพื่อเป็การเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายร่วมเดินไปด้วยกัน จากนั้นนางก็เดินไปพลางพูดคุยกับฮูหยินหลัวและหลัวซืออวี่ไปพลาง
หลัวถงจือมีหนึ่งบุตรชายหนึ่งบุตรสาว ซึ่งในวันนี้อวิ๋นซีได้พบเจอกับเด็กๆ ทั้งสองแล้ว หลัวเผิงเป็เด็กหนุ่มที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ส่วนแม่นางน้อยหลัวซืออวี่ผู้นี้ถึงจะดูไร้เดียงสา ตรงไปตรงมา ทว่า เมื่อได้พูดคุยกันเพียงสองสามประโยคก็พอจะดูได้ไม่ยากว่า แม้คนจะอายุยังน้อย แต่ก็มีความคิดเป็ของตนเองแล้ว
พ่อแม่ที่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้อย่างยอดเยี่ยมเพียงนี้ย่อมต้องมิใช่คนที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ด้วยเื่นี้เหมือนกับที่ตำราในห้องหนังสือของจวินเหยียนได้บรรยายเกี่ยวกับลักษณะของหลัวถงจือผู้นี้เอาไว้เลย
ตอนที่ไปถึงยังเรือนชั้นสาม อวิ๋นซีได้สั่งให้สาวใช้พาครอบครัวหลัวถงจือเดินชมให้ถ้วนทั่ว
ขณะเดียวกันเมื่อจวินเหยียนเห็นว่านางกลับมาแล้วก็ยิ้มบางๆ ให้พร้อมถามไถ่ “เป็อย่างไร”
“เป็อย่างไร? ท่านหมายถึงเื่ใดกัน” อวิ๋นซีขมวดคิ้วถามกลับ
เขาหัวหึหึ “มิใช่ว่าชายารักได้เจอกับหลัวถงจือแล้วหรือ เ้ารู้สึกอย่างไรต่อคนผู้นี้บ้าง? เขาสามารถรับงานสำคัญของข้าได้หรือไม่? ”
เมื่อได้ยินคำของเขา อวิ๋นซีก็เม้มมุมปากเป็รอยยิ้มบาง เื่ที่ตนเพิ่งออกไปทำมาเมื่อครู่คงจะตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด นางเม้มปากแล้วกล่าวตอบ “เพิ่งได้พบหน้า หากจะให้พูดเื่งานสำคัญในตอนนี้ยังนับว่าเร็วเกินไป ดูๆ ไปก่อนเถิด หากว่าคนมีความสามารถเก่งกาจจริงๆ ท่านอ๋องก็ไม่ควรกลบฝังต่อไป”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางมองนาง จากนั้นก็อืมไปเบาๆ “เช่นนั้นเปิ่นหวางคงต้องขอให้พระชายาช่วยเหลือให้มากกว่านี้หน่อย ช่วยเปิ่นหวางดูหน่อยว่า ใต้เท้าหลัวผู้นี้คุ้มค่าที่จะให้เปิ่นหวางเปลืองสมองด้วยหรือไม่”
เมื่ออวิ๋นซีฟังแล้วก็อดกลอกตาไม่ได้ “ข้ามิใช่พลทหารของท่าน เหตุใดจึงต้องให้ข้ามาทำเื่เหล่านี้ด้วย”
“เ้าเป็สตรีของข้า พวกเราย่อมต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน ด้วยเื่นี้เป็เ้าที่พูดเองนะ” เขายิ้ม จุมพิตโหนกแก้มนางเบาๆ จากนั้นก็ลูบไล้เรือนผมนางด้วยท่าทีรักใคร่ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ “เอาล่ะ ไปรับรองแขกก่อนเถิด มิใช่ว่าเ้าเป็ผู้บอกข้าเองหรอกหรือว่า คืนนี้จักต้องมีงิ้วเด็ดๆ ให้ได้รับชม นอกจากนี้ องครักษ์ลับยังได้มาแจ้งแก่ข้าว่า ยามนี้ลู่เหวินเจิ้นได้พาภรรยาและบุตรสาวเดินทางมายังจวนเราแล้ว ดังนั้น เ้าย่อมสามารถอาศัยโอกาสนี้ตรวจดูว่าลู่อวี้ฉิงตั้งครรภ์แล้วหรือยัง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินการย้ำเตือนนั้นก็ทำให้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า แท้จริงแล้วเื่ที่ตนอยากทำนั้นยังมีอีกมาก ประการแรกช่วยหยวนอวี่ให้สมดังปรารถนา ให้อีกฝ่ายได้ครองคู่อยู่กับท่านพี่สุดที่รัก ประการที่สอง ไม่รู้ว่ายามนี้น้องหญิงแซ่ลู่ผู้นั้นที่นางเคยวางแผนร้ายไว้จะตั้งครรภ์แล้วหรือยัง ดังนั้น ในวันนี้จะต้องหาทางตรวจดูเสียหน่อยแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็สามารถดึงสติตนให้กลับมาอย่างเต็มที่ และทำเป็มองไม่เห็นจุมพิตหน้าไม่อายของบุรุษผู้นี้ อย่างไรเสีย่หลังมานี้ตัวนางเองก็เคยชินกับการกระทำไร้ยางอายเป็ครั้งคราวของเขาไปเสียแล้ว
ตอนที่อวิ๋นซีเดินออกไปก็ได้เห็นลู่เหวินเจิ้นที่พาภรรยาและบุตรสาวเข้ามานั่งพอดี แคว้นหนานเย่าเป็โลกหล้าที่สร้างขึ้นบนหลังม้า ประเพณีส่วนใหญ่ค่อนข้างเปิดกว้าง ดังนั้น ขุนนาง องค์ชาย และสมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งรวมกันได้ ลู่เหวินเจิ้นเป็นายอำเภอ เป็ขุนนางใหญ่อันดับหนึ่งในหานโจว ที่นั่งของเขาจึงถูกจัดให้อยู่ทางฝั่งซ้ายของที่นั่งหลักในตำแหน่งที่สอง โดยตำแหน่งที่หนึ่งนั้นเป็ของโอวหยางเทียนหลานที่เป็ถึงองค์ชายแห่งแคว้น ส่วนตำแหน่งที่หนึ่งของทางฝั่งขวาเป็ของผิงหยางโหวซื่อจื่อ ชิวิ และฝั่งขวาในตำแหน่งที่สองเป็ของหยวนอวี่เสี้ยนจู่ นอกจากนี้ เก้าอี้ทางฝั่งซ้ายในตำแหน่งที่สองนั้นเป็ของคนในครอบครัวของลู่เหวินเจิ้นสามคน และตำแหน่งที่สามเป็ของครอบครัวถงจือผู้มารับตำแหน่งใหม่ นอกนั้นก็เป็ที่นั่งของบรรดาขุนนาง คนร่ำคนรวย และคุณชายคุณหนูทั้งหลาย
ส่วนตรงกลางนั้นเป็พื้นที่สำหรับการย่างเนื้อ เนื้อย่างของหานโจวนี้เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงมาก จวินเหยียนเองก็เป็คนเลือกกินมาโดยตลอด ดังนั้น พ่อครัวของจวนอ๋องจึงต้องเสาะแสวงหามาจากที่ต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็เป็พ่อครัวมือหนึ่งด้านการย่างเนื้อ
นอกจากเนื้อย่างแล้วยังมีอาหารจานอื่นๆ อีก และแน่นอนว่า อาหารในคืนนี้ล้วนใช้เนื้อย่างเป็วัตถุดิบหลัก ไม่ว่าจะเป็เนื้อกระต่ายป่า เนื้อไก่ป่า กระทั่งหัวหมูป่า กวางป่าก็ยังมี...
จวินเหยียนยกจอกสุราขึ้นแล้วจึงยิ้มกล่าว “วันนี้เปิ่นหวางดีใจที่ได้เห็นพวกท่านที่นี่ เพราะคงยากนักที่ทุกท่านจะได้มารวมตัวกันเช่นนี้ เปิ่นหวางดื่มคารวะพวกท่านหนึ่งจอก”
ทุกคนพากันยกจอกคารวะจวินเหยียนกลับ ส่วนอวิ๋นซีนั้นทำหน้าที่เป็พระชายาได้อย่างเหมาะสม นางนั่งอยู่ข้างกายเขาช่วยรินสุราให้ และตลอดงานภาพของสามีภรรยากระซิบพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้งก็ทำให้ทุกคนอิ่มเอมใจ ทั้งยังมิวายยิ้มชื่นชมและพูดไปว่าท่านอ๋องกับพระชายาดูรักใคร่กันดียิ่ง
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็หัวเระาฮ่าฮ่า ก่อนจะพูดต่อ “ก็นั่นน่ะสิ ชายารักของเปิ่นหวางผู้นี้ช่างน่าประทับใจเป็อย่างยิ่ง นับแต่ที่นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องนี้ก็ช่วยเปิ่นหวางจัดการดูแลจวนนี้ทั้งบนและล่าง ทั้งนอกและในได้เป็อย่างดี เสียอย่างเดียวก็คือ นางไม่ให้เปิ่นหวางดื่มสุราแล้ว”
“พระชายาทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ สิ่งนี้ถือเป็เื่ของบุรุษ พระชายาจะเข้ามาควบคุมมากเกินไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหวินเจิ้นพูดพลางมองไปทางพระชายาที่อยู่บนที่นั่งหลัก ท่านอ๋องไม่ดื่มสุรา? จะปล่อยให้เป็เช่นนั้นไปได้อย่างไร? เพราะสิ่งที่พวกเขา้ามากที่สุดก็คือหานอ๋องที่รักสุรายิ่งชีวิตนี่แหละ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้