บทที่ 90 จดหมายจากลู่จิ่งซาน
อันฉินไม่ได้ไปทำงานหลายวันเพราะตาเหล่ เธอวิ่งไปวิ่งมาระหว่างบ้านกับสถานีอนามัยทุกวัน เพื่อขอให้คุณหมอจางซินเสิ่งที่มาจากเมืองหลวงช่วยหาทางแก้ไขให้เธอ
คุณหมอจางซินเสิ่งจะไปรู้อะไรเื่พวกนี้? เขาไม่ได้จบเฉพาะทางด้านจักษุสักหน่อย ในที่สุดอันฉินก็ต้องให้โจวเป่าเฉิงพาเธอไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ
วุ่นวายอยู่หลายวัน ในที่สุดก่อนวันแต่งงานของทั้งคู่ ดวงตาของเธอก็กลับเข้าที่ดังเดิม แต่คุณหมอก็ได้กำชับไว้ว่า
‘มีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง คราวหน้าต้องระมัดระวังให้ดี ห้ามจ้องหรือมองค้อนคนอื่นอีก’
เนื่องจากเื่หมั้นหมายครั้งก่อนจบลงด้วยความไม่น่าพอใจ คราวนี้คุณนายลู่จึงออกปากเองว่าจะจัดเลี้ยงที่เพิงข้างๆ
พอดีที่ลานบ้านด้านข้างมีขนาดใหญ่ พอตั้งเตาและเขียงสองใบก็ทำครัวทำอาหารได้สบายๆ ในลานบ้านก็ตั้งโต๊ะจัดที่นั่งได้หลายโต๊ะ
แน่นอนว่าเหอเสวี่ยฉินไม่อยากจัดงานเลี้ยงที่นั่น ในบ้านตระกูลลู่เธออยากจะเชิญทุกคนที่เธอรู้จักให้กลับมา แต่ถ้าจัดที่เพิงข้างๆ คงยาก
ในที่สุดลู่หวยเหรินก็กลับมาจากการเดินทาง เขามีความคิดที่กระตือรือร้นมากขึ้นหลังจากที่ได้ไปวิ่งเต้นข้างนอก จนถึงกับแสดงความตื่นเต้นออกมา
แม้ว่านโยบายจะยังไม่เปิดกว้าง แต่ในการเดินทางครั้งนี้เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมืองใหญ่ๆ ไม่ได้เข้มงวดมากนัก
ส่วนเื่ที่เหอเสวี่ยฉินพูดว่าจะจัดงานเลี้ยงที่นั่น ลู่หวยเหรินไม่ได้คิดอะไรมากก็ตอบเธอไปว่า “คุณแม่พูดก็มีเหตุผลของคุณแม่ เธอทำตามที่คุณแม่บอกเถอะ”
ก็แค่งานเลี้ยงเอง จะจัดที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ทำเอาเหอเสวี่ยฉินแทบคลั่ง
ทันใดนั้นเธอก็ซบลงบนตัวลู่หวยเหรินอย่างอ่อนหวาน เรียกเขาว่าพี่รอง น้ำเสียงของเธอทำให้ลู่หวยเหรินรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปทั้งตัว ไม่นานนักทั้งคู่ก็เกลือกกลิ้งลงไปบนเตียง
หลังจากที่ได้ปลดปล่อยความสุขแล้ว ลู่หวยเหรินก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้รับฟังคำพูดข้างหมอนเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไปหาหญิงชราความสดชื่น แต่พอเขาเริ่มพูดออกไป หญิงชราก็ใช้หมอนไม้ฟาดเขาออกมา
ไอ้คนไม่ได้เื่!
ไม่รู้ว่าต่อมาลู่หวยเหรินพูดอะไรกับเหอเสวี่ยฉิน แต่เหอเสวี่ยฉินก็ไม่ได้ก่อเื่อีก
ยังไงก็ตามในวันแต่งงาน สวี่จือจือก็เห็นอันฉินสวมนาฬิกาข้อมือผู้หญิง ถึงเธออยากจะมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวอันฉินก็ใช้มือที่ใส่นาฬิกาปัดผมหน้าม้า เดี๋ยวก็ดูเวลา
“โอ๊หยา” เมื่อเจอสวี่จือจือ อันฉินก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปถ้าจือจือไม่รู้เวลาก็มาถามฉันได้นะ”
สวี่จือจือกลอกตา เธอไม่สนใจอันฉินเลย
แต่อันฉินไม่ได้ปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ กระซิบด้วยเสียงที่คนสองคนเท่านั้นจะได้ยิน “ฉันได้ยินมาว่าพวกเธอจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ร่วมหอ? แย่จัง...นี่เธอแต่งงานไปก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่เป็หม้ายทั้งเป็หรอกเหรอ?”
“อันฉิน” สวี่จือจือยิ้มอย่างเ็า “หน้าของเธอโดนตบไปไม่เจ็บหรือไง ทำไมถึงไม่รู้จักจำเลยนะ?”
คนบางคนก็จำแต่เื่กิน ไม่จำเื่โดนตีจริงๆ นั่นแหละ!
“เธอ!” อันฉินสัญชาตญาณอยากจะจ้องสวี่จือจือ แต่เธอก็เห็นสวี่จือจือยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เธออย่าจ้องนะ เดี๋ยวตาเหล่แล้วเธอคิดว่าโจวเป่าเฉิงจะยอมเข้าหอกับเธอไหม?”
แน่นอนว่าไม่ ตอนที่เธอโดนสวี่จือจือทำให้ตาเหล่ครั้งก่อน โจวเป่าเฉิงไม่ได้มาที่ศูนย์อยู่หลายวัน
ถึงจะมา คำถามแรกที่เขาถามก็คือ ‘ตาของเธอจะหายดีไหม’
อันฉินคิดว่าถ้าตาของเธอไม่หายดี โจวเป่าเฉิงอาจจะไม่แต่งงานกับเธอก็ได้
สวี่จือจือหัวเราะเยาะ ขี่จักรยานแล้วเอาเท้าแตะพื้นเพื่อจอดรถ หันกลับไปมองเ้าสาวที่อารมณ์ไม่ดีแล้วยิ้มหวาน “ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หวังว่าคืนเข้าหอของเธอจะมีความสุขมากๆ นะ” พูดจบก็ขยิบตาแล้วไปอำเภออย่างอารมณ์ดี
เธอไม่กินเลี้ยงฉลองงานแต่ง เมื่อวานพวกเธอทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมา สวี่จือจือตั้งใจจะเอาไปให้หัวหน้าสถานีและหัวหน้าแผนกชิม
อีกอย่างเธอจะไปโทรศัพท์หาลู่จิ่งซานที่ไปรษณีย์ด้วย
“แม่หนูมีน้ำใจจริงๆ นะ” หัวหน้าสถานียิ้มแล้วพูด ไม่ได้ใส่ใจกับขนมมากนัก
ท้ายที่สุดขนมไหว้พระจันทร์ในยุคนี้ก็เป็แบบนั้นไม่ใช่เหรอ? แข็งๆ แล้วก็มีเส้นไหมสีแดงสีเขียวไม่อร่อยเลย
สวี่จือจือไม่ได้พูดอะไรมาก บอกลาทั้งสองแล้วก็ไปที่ไปรษณีย์
โทรศัพท์โทรติด แต่ก็เป็ไปตามที่สวี่จือจือคาดการณ์ไว้ ลู่จิ่งซานไม่อยู่ แล้วเขาไปไหนหรือทำอะไร เธอก็ถามไม่ได้
หลังจากจ่ายเงินแล้วเธอก็ออกจากไปรษณีย์โดยไม่สนใจสายตาของผู้หญิงแซ่หลิวที่กำลังมองมา
ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูก็มีคนเรียกไว้ “เธอคือสวี่จือจือจากหมู่บ้านผานสือใช่ไหม?”
สวี่จือจือพยักหน้า
เป็บุรุษไปรษณีย์ที่ส่งจดหมายให้กับหมู่บ้านต่างๆ
“พอดีที่นี่มีใบรับพัสดุของเธออยู่ ฉันดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็เธอ” บุรุษไปรษณีย์ยิ้มแล้วเผยให้เห็นฟันขาวเป็แถวอย่างเขินอาย
“ขอบคุณนะคะ” สวี่จือจือกล่าวขอบคุณ ไม่ต้องให้เธอเสียเวลาวิ่งมาอีกรอบ
“เสี่ยวจาง” พี่หลิวที่จ้องสวี่จือจืออยู่ตลอดเวลาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “พัสดุพวกนี้เป็ของสำคัญ นายไม่กลัวว่าจะส่งผิดคนหรือไง?”
สวี่จือจือยิ้มเล็กน้อยแล้วมองอีกฝ่าย “คุณอยากจะดูหนังสือรับรองของฉันอีกรอบไหม?”
อย่าคิดว่าเธอแค่มาโทรศัพท์เลยไม่ได้พกหนังสือรับรองมาด้วย
ั้แ่ได้รู้ฤทธิ์เดชของพี่หลิวคนนี้แล้ว ตอนนี้สวี่จือจือมาที่ไปรษณีย์แต่ละครั้งก็เตรียมเอกสารมาอย่างครบถ้วน
พี่หลิวนิ่งอึ้งไป
“หรือว่า” สวี่จือจือหยิบหนังสือรับรองของเธอออกมา “ให้หัวหน้าสถานีมาดูหนังสือรับรองของฉันก็ได้ ว่าเป็ของจริงหรือเปล่า?”
“ทำไมเธอถึงปากเก่งแบบนี้?” พี่หลิวยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูด “ฉันแค่กลัวว่าเสี่ยวจางจะทำผิดพลาดก็เลยระมัดระวังหน่อย”
สวี่จือจือกลอกตาอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาพี่หลิวแทบกระอักเื
นี่...ไม่มีใครกล้ามาทำตัวอวดดีที่ไปรษณีย์ของพวกเขาเลยจริงๆ ท้ายที่สุดพวกเขาก็กินเงินเดือนหลวง สวี่จือจือถือเป็คนแรก
“ขอบคุณนะคะ สหายจาง” สวี่จือจือยิ้มหวานแล้วถือใบรับพัสดุของเธอไปรับพัสดุ “คุณเป็สหายที่ดีที่รับใช้ประชาชนจริงๆ”
พี่หลิวรู้สึกว่าตัวเองถูกเหน็บแนมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ทำได้แค่ถ่มน้ำลายไปในทิศทางที่สวี่จือจือจากไป
“นังจิ้งจอก”
หน้าตาก็เหมือนจิ้งจอกเสน่ห์ ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดี
พัสดุถูกส่งมาจากลู่จิ่งซาน ข้างในไม่เพียงแต่มีหนังสือและข้อมูลที่สวี่จือจืออยากได้เท่านั้น แต่ยังมีเสื้อผ้าอีกสองชุด ดูจากแบบแล้วน่าจะเป็แบบที่กำลังฮิตในเมืองใหญ่ๆ และนอกจากพัสดุแล้วยังมีจดหมายอีกฉบับ
สวี่จือจือลูบเสื้อผ้าเบาๆ จินตนาการถึงภาพลู่จิ่งซานกำลังเลือกเสื้อผ้าให้เธอ หน้าตาเ็าขณะเลือกเสื้อผ้าผู้หญิง เธอก็หัวเราะออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกหวานชื่น
นี่เป็จดหมายฉบับแรกที่เธอได้รับจากลู่จิ่งซาน ลายมือของเขาเหมือนกับตัวตนของเขา แข็งแกร่งและมีพลัง มองแล้วรู้สึกสบายตา
ในจดหมายก็แค่บอกว่าเสื้อผ้าและหนังสือทั้งหมดเป็ของเธอ และมีที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ ถ้าเธออยากได้หนังสืออะไรอีกก็โทรไปเบอร์นี้ได้
เป็เซียวหัง เพื่อนของเขาในเมืองฉิน
สวี่จือจืออ่านจดหมายซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ดูวันที่บนจดหมาย เขาเขียนหลังจากที่เขาจากไปไม่นาน
เฮ้อ ยุคนี้อะไรๆ ก็ช้าไปหมด ถ้ามีโทรศัพท์มือถือก็คงจะดี สุดท้ายเธอก็เก็บจดหมายไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง
หลังจากเก็บของเสร็จเธอก็ขี่จักรยานกลับมาที่หมู่บ้าน เห็นผู้หญิงหลายคนกำลังล้อมวงคุยกันอยู่หน้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นสวี่จือจือมาก็ยิ้มทักทายเธอ “จือจือกลับมาแล้วเหรอ ไอ๊หยา พลาดฉากใหญ่ไปเลยนะ”
สวี่จือจืองุนงง
ผู้หญิงหลายคนก็เริ่มเล่าเื่ที่เรียกว่าฉากใหญ่ให้เธอฟังอย่างออกรสออกชาติ
สวี่จือจือเลิกคิ้ว
พลาดฉากใหญ่ไปจริงๆ ด้วย
.............................