“ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายา” หลังจากซูชิงเฟิงพบอวี้ฉู่จาวและหลินหร่าน เขาพับพัดลงแล้วประสานมือโค้งคำนับ
“หมอซูลุกขึ้นเถิด” อวี้ฉู่จาวยื่นมือไปประคองซูชิงเฟิงพลางเอ่ยถาม “การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดีหรือไม่”
ที่ซูชิงเฟิงออกเดินทางในครั้งนี้ เนื่องจากเขาได้ทราบข่าวว่าบ้านเกิดของตนเองเกิดเหตุร้าย จึงได้รีบกลับไปรักษาผู้คนที่บ้านเกิด
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเป็ห่วง การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดีพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวพยักหน้ารับ ก่อนมองไปทางนักดาบชุดดำผู้นั้นแล้วเอ่ยถาม “คนผู้นี้คือ?”
สายตาของซูชิงเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คนผู้นี้คือศิษย์น้องของกระหม่อม มีนามว่าจวินเชียนโม่ ครั้งนี้ได้ร่วมเดินทางกลับมาเมืองหลวงกับกระหม่อม”
“ถวายบังคมท่านอ๋อง” จวินเชียนโม่เพียงยกมือถวายความเคารพ จากนั้นหันกลับไปพิงเสาอีกครั้ง สายตาเอาแต่จับจ้องไปทางซูชิงเฟิงดังเดิม
ซูชิงเฟิงหันไปจ้องคนผู้นั้นเขม็ง จวินเชียนโม่เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และคิดว่าสายตาคู่นั้นของซูชิงเฟิงมิได้ส่งผลอะไรกับตนเลยสักนิด
เขายืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว และตอนที่อวี้ฉู่จาวบอกให้ทั้งคู่นั่ง เขาก็รีบนั่งลงข้างกายซูชิงเฟิง
อวี้ฉู่จาวรู้ดีว่าผู้คนของเจียงหูมักเป็เช่นนี้ แบ่งแยกตนเองจากผู้คนในราชสำนัก ถึงอย่างนั้น ก็มิใช่ว่าพวกเขาดูถูกคนในราชสำนักหรือราชวงศ์
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก หลังจากพยักหน้ารับก็นั่งลงเช่นกัน
“ชิงเฟิง” จวินเชียนโม่นั่งลงข้างกายซูชิงเฟิงแล้วยกยิ้ม ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งไปจับที่ฝ่ามืออีกฝ่าย แล้วถึงใช้มืออีกข้างหนึ่งโอบไหล่เขาไว้
แต่ก็ถูกซูชิงเฟิงสะบัดตัวออก “อย่ามาแตะข้า!”
ซูชิงเฟิงแสดงท่าทีไม่ชอบใจพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จวินเชียนโม่ไม่มีความรำคาญใจแม้แต่น้อย ยังคงระบายยิ้มและมองซูชิงเฟิงไม่วางตา
การกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาของอวี้ฉู่จาวทั้งหมด
หลินหร่านหันไปมองอวี้ฉู่จาว ถามเป็นัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าท่านอ๋องกลับทำเพียงส่งยิ้มบาง
แน่นอนว่าอวี้ฉู่จาวรู้ว่าระหว่างทั้งคู่ต้องมีอะไรอย่างแน่นอน แต่หลินหร่านไม่เข้าใจ
หลินหร่านเพียงแค่คิดว่า ช่างเป็เื่แปลกไม่น้อยที่จะมีใครสักคนทำให้ซูชิงเฟิงผู้มีท่าทีสงบและสง่างามอารมณ์เสียเช่นนี้ได้
หลินหร่านคิดอยู่เสมอว่าซูชิงเฟิงงดงามราวกับเทพบุตรที่ล่องลอยอยู่บนนภา มีลักษณะโดดเด่น ไม่ว่ายามใดก็มักจะมีท่าทีสงบนิ่งและใจเย็นเสมอ
“ท่านอ๋อง ตอนที่กระหม่อมไปยังจั๋วโจว กระหม่อมพบกับปัญหาบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ” ภายหลังซูชิงเฟิงนั่งลง เขาเริ่มเอ่ยเข้าเื่ทันที
“อ่อ เื่อันใดหรือ”
หลินหร่านที่อยู่ข้างกายอวี้ฉู่จาวก็ยกหูขึ้นฟังอย่างตั้งใจ
“การแพร่ระบาดของโรคในเขตผิงเมืองจั๋วโจว แต่เนื่องด้วยเขตผิงนั้นเป็เพียงพื้นที่เล็กๆ อีกทั้งผู้คนอาจคิดว่าโรคระบาดนั้นไม่ร้ายแรง ดังนั้น เ้าเมืองของจั๋วโจวจึงไม่รายงานเื่การแพร่ระบาดของโรคนี้ต่อราชสำนัก ซึ่งเมื่อกระหม่อมไปถึง กระหม่อมถึงได้ทราบว่านี่ไม่ใช่เพียงโรคระบาดธรรมดา เกือบทั้งเขตถูกปกคลุมไปด้วยโรค แม้กระทั่งมหาเสนาบดีของเขตผิงก็ได้พาขุนนางจำนวนหนึ่งหนีออกนอกเมืองไปแล้ว ่ที่กระหม่อมไปถึง ภายในเขตผิงก็เกือบจะกลายเป็เมืองที่มีแต่ผู้คนล้มตาย ประตูเมืองถูกปิด ข้างนอกถูกปิดตาย คนด้านในออกมาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็เช่นนี้ได้อย่างไรกัน” อวี้ฉู่จาวขมวดคิ้วถาม
ซูชิงเฟิงกล่าวต่อ “ในตอนนั้นมีเพียงกระหม่อมผู้เดียว จึงไม่ได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียด เพียงแค่หาทางเข้าไปในเมืองเท่านั้น และกระหม่อมก็ได้ทำการวินิจฉัยและรักษาโรคให้แก่ผู้รอดชีวิต ทว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตผิงค่อนข้างพิเศษ กระหม่อมได้นำตัวอย่างไปตรวจสอบ แต่เขาถูกลอบสังหารเสียก่อนที่จะตรวจพบ โชคดีที่ศิษย์น้องของกระหม่อมมาหาและช่วยกระหม่อมไว้ได้ทัน”
“ลอบสังหาร? เ้ามีศัตรูที่ใดหรือไม่?” หลินหร่านรีบถามขึ้นมาด้วยความใ
“ชิงเฟิงจะมีศัตรูที่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะรับใช้ท่านอ๋องก็คงจะไม่ดึงดูดความเกลียดชังของผู้คนเข้ามาถึงตนเองหรอก” จวินเชียนโม่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาที่แสดงออกเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้” ซูชิงเฟิงอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่จวินเชียนโม่ บอกเป็นัยให้อีกฝ่ายสงบปากสงบคำ
เมื่อจวินเชียนโม่ถูกตำหนิ เขาก็มองซูชิงเฟิงแล้วมุ่ยปากอีกครั้ง ก่อนจะไม่เอ่ยอะไร
“ท่านอ๋องอย่าตำหนิเขาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ศิษย์น้องของข้าผู้นี้เป็คนปากไม่ค่อยดีนัก”
“ไม่เป็ไร” ในชาติก่อนอวี้ฉู่จาวเป็หนี้ชีวิตของพวกเขา จะตำหนิได้อย่างไรกัน
“กระหม่อมไม่มีศัตรูที่ไหน แต่เื่นี้แปลกนัก ตอนที่กระหม่อมกลับไปที่จั๋วโจว ราชสำนักก็ได้ส่งคนไปตรวจโรคระบาด แต่พวกเขากลับเผาทั้งเขตผิง ไฟแผดเผาอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน ผู้คนในหมู่บ้านต่างล้มตายกันหมดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง บ้านเกิดของซูชิงเฟิง เขตผิง เมืองจั๋วโจวอย่างนั้นหรือ?
ในชาติก่อน ฮ่องเต้ฉงเต๋อมิได้เลือกให้จางเหยียนไปปราบปรามชาวซยงหนู อวี้ฉู่จาวต่อต้านงานอภิเษกและได้นำทหารเข้าปราบปรามด้วยตนเอง ซูชิงเฟิงก็ได้ไปกับกองทัพด้วย
ฉะนั้น กว่าจะได้กลับมาก็ผ่านไปประมาณสามเดือนกว่า ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็มีข่าวลือว่าควบคุมโรคระบาดที่จั๋วโจวได้แล้ว ซูชิงเฟิงจึงไม่ได้ไป เป็เหตุให้พวกเขาไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อน
เมื่อมายังชาติภพนี้ อวี้ฉู่จาวถึงได้รับรู้ คนเ่าั้ใช้วิธีนี้ในการควบคุมโรคระบาดสินะ
“อ่า...เหตุใดถึงได้เป็เช่นนั้นกัน” หลินหร่านครุ่นคิดด้วยความหวาดกลัว
จุดไฟเผาผู้คน คนเป็คนตาย หรือแม้แต่ศพก็มอดไหม้ไม่มีเหลือ
เมื่ออวี้ฉู่จาวได้ยินน้ำเสียงที่ตกตะลึง เขาจึงได้โอบอีกคนไว้ในอ้อมแขน
อวิ๋นซีของเขาเป็คนขี้กลัว ไม่ควรจะต้องมารับรู้เื่ราวเหล่านี้
“ท่านอ๋อง เหตุใดราชสำนักถึงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านไม่เข้าใจจึงได้เงยหน้าถาม
“เื่นี้ไม่ง่ายเลย” อวี้ฉู่จาวเอ่ยได้เพียงเท่านี้
เื่นี้เป็มาอย่างไรคงต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าเื่โรคระบาดจะไม่ได้ถูกส่งมาถึงมือเสด็จพ่อ เื่นี้ไม่มีคนในราชสำนักสักคนที่รู้ และก็ยังไม่มีใครสนใจ”
“เช่นนั้นข้าหลวงที่ราชสำนักส่งไปล่ะพ่ะย่ะค่ะ เกิดเหตุอันใดขึ้น” ซูชิงเฟิงถามต่อ
“เนื่องจากถูกกดดันในเื่นี้ ราชสำนักจึงได้ส่งคนไปตรวจสอบ อย่างไรก็ต้องมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเื่นี้อยู่ แต่เหตุใดถึงต้องปกปิด…นั่นเป็สิ่งที่เราอาจต้องค้นหา”
“เื่นั้นมีส่วนที่เป็ไปได้มาก หากเป็เช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดีพ่ะย่ะค่ะ เื่นี้จะให้พูดง่ายๆ ก็คงเป็โรคระบาดที่กระจายไปทั่วเขต แต่ถ้าจะให้มองเป็เื่ใหญ่นี่อาจเป็การก่อการร้ายพ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงเฟิงกางพัดออกก่อนพยักหน้าเบาๆ เอ่ยความคิดเห็นออกมา
ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบและกำลังครุ่นคิด แต่แล้วจวินเชียนโม่กลับเอ่ยปากขึ้น “ยังมีอะไรให้ต้องคิดอีก หากจับกุมมหาเสนาบดีเ่าั้มาทรมานเพื่อเค้นเอาคำตอบก็รู้ได้แล้วมิใช่หรือ”
เวลานี้ ทุกคนต่างมองไปทางจวินเชียนโม่โดยพร้อมเพรียง
โดยเฉพาะซูชิงเฟิงที่จ้องจวินเชียนโม่เขม็ง แววตาของเขาแสดงความโกรธ ราวกับ้าพิพากษาอีกฝ่ายเขาอย่างไรอย่างนั้น
“เ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน ที่แห่งนี้มิอาจไปจับคนมาทรมานต่อหน้าสาธารณชนได้ตามใจชอบเช่นนั้น ที่นี่ไม่ใช่เจียงหู เ้าทำอย่างนั้นที่นี่ไม่ได้ หากจะจับกุมคนต้องมีหลักฐาน อย่างไรโทษของการฆ่าคนก็ต้องเป็ไปตามกฎหมาย เป็เช่นนี้ถึงจะสามารถเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะได้” ซูชิงเฟิงพยายามอธิบายเพราะเลี่ยงไม่ได้
ศิษย์น้องของเขามักมีความคิดเช่นนี้เสมอ ทำการใดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี คิดเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ดีแต่จะใช้ความรุนแรง
จวินเชียนโม่ขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็ครุ่นคิดก่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “อ๋อ ชิงเฟิงกล่าวได้ดีมาก”
ซูชิงเฟิงพลันรู้สึกจนปัญญากับท่าทีของอีกฝ่าย เขาส่ายหัวแล้วยกมือกุมหน้าผาก
“เื่นี้เปิ่นหวังจะให้หยางซานไปตรวจสอบดูก่อน รู้ชัดแล้วค่อยทำการลงมือ สุดท้ายความจริงจะถูกเปิดเผยและได้ทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวเมืองผิง”
“เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็ไร”
จวินเชียนโม่มองซูชิงเฟิงที่เอ่ยจบ เท่ากับตอนนี้เป็โอกาสของเขาแล้ว เขาจึงเอ่ยปาก “ชิงเฟิง พาข้าไปที่อยู่ของเ้าเถอะ”
“เ้าคนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ เรียกข้าว่าศิษย์พี่เสีย หากเ้ายังทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไม่พาเ้าไปที่บ้านของข้าแน่”แม้แต่หน้าซู ชิงเฟิงยังไม่คิดจะหันไปมอง
จวินเชียนโม่เบิกตากว้างพลางลุกขึ้นมอง ท่าทีมั่นใจก่อนหน้านี้ค่อยๆ เลือนหาย ตอนนี้เหลือไว้เพียงท่าทีราวกับเด็กที่เอาแต่จ้องซูชิงเฟิงเหมือนกำลังรู้สึกผิด
-------------------------------
