จับเข่าคุยกันมาเนิ่นนานจนดึกดื่น เงื่อนงำที่ซ่อนเร้นมานานในที่สุดก็คลายลง ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถปล่อยวางได้เสียที แม้ในชีวิตนี้เื่ราวต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่มันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาแต่งงานกันแล้วเท่านั้น ทิศทางโดยรวมจึงยังคงเดิม
ตราบใดที่สามารถยืนยันได้ว่านักสะกดรอยมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับอ๋องฉางอันอย่างลับ ๆ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
หากว่าทั้งสองคนเมื่อตอนนั้นเป็องครักษ์ของอ๋องฉางอันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเสวีย นั้นหมายความว่าตระกูลเสวียมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการสมรู้ร่วมคิดที่พวกเขากำลังพยายามทำเพื่อก่อฏ เนื่องจากตระกูลเสวียมีส่วนเกี่ยวข้อง มันจึงเป็ไปไม่ได้ที่จวนถังจะถอยออกมา และด้วยเหตุนี้สิ่งที่คลุมเครือมาตลอดในชาติที่แล้วก็ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
ในชาติก่อนเหยียนิฮ่วนสามารถทำหน้าผยองได้ ส่วนหนึ่งเป็เพราะมีอ๋องฉางอันและตระกูลเสวียอยู่เื้ั ในชาตินี้ความทะเยอทะยานเหยียนิฮ่วนที่จะตระกูลเหยียนถูกพวกเขาขัดขวางเอาไว้ ทำให้อ๋องฉางอันและตระกูลเสวียต้องเปิดเผยตัวออกมาจากที่มืด
แต่ในยามนี้อ๋องฉางอันพ่ายแพ้ไป เช่นนั้นแล้วตระกูลเสวียกำลังอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ใดกันแน่? แท้จริงแล้วประโยชน์ที่จะได้รับคืออะไร?
ในชาติที่แล้วตระกูลเว่ยและตระกูลเหยียนต่างถูกทำลายล้างติดต่อกันโดยผ่านการวางแผนมาเป็อย่างดี สุดท้ายผู้ชนะคือผู้ที่สามารถควบคุมเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดได้ แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด... หลังจากที่เหยียนชิงเสียชีวิต เว่ยซูหานก็ท้อแท้และตัดสินใจออกห่างจากท้องพระโรง จากนั้นเป็ต้นมากระแสคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ[1]ภายในตำหนักกิเลนก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาอีก...
“มันเป็เื่ที่ค่อนข้างวุ่นวาย... ยิ่งรู้มากก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก...”
เหยียนชิงพูดกับตนเอง แล้วส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ หลายสิ่งหลายอย่างผุดขึ้นมาในใจ แม้ว่าจะมีความทรงจำจากชาติก่อน แต่พวกเขาไม่ค่อยรู้เื่ของตระกูลเสวียกับอ๋องฉางอันมากนัก... ในยามนี้เมื่อดึงสิ่งที่พัวพันกันจนสลับซับซ้อนออกมาได้แล้ว ก็ยังคงมีความสับสนอยู่อีกเล็กน้อย
นอกจากนี้ หากตระกูลเสวียเกี่ยวข้องกับอ๋องฉางอันจริง ๆ เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วความจริงที่ว่าพวกเขาพาซือเยี่ยกลับมาด้วยจะต้องถูกค้นพบด้วยเช่นกัน... จากลักษณะนิสัยของฮูหยินถังแล้วนางจะต้องนำเื่ของซือเยี่ยไปเล่าให้พี่ชายของตนฟังโดยมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เ้าอย่าคิดมาก คิดฟุ้งซ่านมากเกินไปจะไม่ดีต่อตนเอง” เว่ยซูหานยิ้มให้พร้อมกับสร้างความมั่นใจ
“ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ มันจะไม่เป็ไร ชิงเอ๋อร์ เ้าไม่ต้องกังวลข้าจะจัดการทุกอย่างเอง ข้าไม่เชื่อว่าทั้งข้าและเ้าที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊จะยังไม่สามารถต่อต้านกับเหล่าผู้ร้ายที่ทรยศได้ นอกจากนี้ ในยามนี้ยังมีอิ้งหลีคอยช่วยเหลือ หลายสิ่งหลายอย่างดีกว่าเมื่อชาติก่อนมากแล้ว และนี่เป็เื่ดีสำหรับเรา”
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็ผลมาจากการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พวกเขาได้เกิดใหม่ ในท้ายที่สุดเหยียนชิงก็ยังเป็ถึงท่านราชครูผู้มีความสามารถด้านการวางแผนเป็อย่างดี
“ข้ารู้” เหยียนชิงยิ้มออกมา “ข้าไม่ได้กังวลจนเกินไป เพียงแค่รู้สึกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งว่ามันมีบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน”
ความจริงของการสมรู้ร่วมคิดได้เริ่มปรากฏออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขากับเว่ยซูหานก็จะร่วมมือกันปกป้องตระกูลเหยียนเอาไว้ให้ได้ ในยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรมีความคิดริเริ่มที่จะโจมตี แค่ต้องคอยเฝ้ามองและรอคอยโอกาสเพียงเท่านั้น
ในยามนี้ที่เว่ยซูหานและเหยียนชิงสารภาพการเกิดใหม่ของพวกเขาทั้งสองอยู่ในจวนตระกูลเหยียนและได้ทำการวิเคราะห์เหตุผลและหารือถึงวิธีการรับมือกันอย่างรอบคอบแล้ว ในพื้นที่อันเงียบสงบที่สุดบนถนนนอกเมืองฝูซัง ในยามค่ำคืน มีรถม้าที่ดูไม่เด่นมากนักจอดอยู่ข้างทาง โดยมีเพียงไฟสองดวงที่ถูกจุดขึ้นตรงด้านหน้าและหลังรถม้าเท่านั้น รอบด้านถูกรายล้อมด้วยองครักษ์ที่พกดาบและกระบี่อย่างแ่า
แสงไฟสลัวและแสงจันทร์อันเยือกเย็นส่งผลให้เงาที่แลดูกระจัดกระจายนั้นราวกับเป็สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
รอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงของแมลง คนทั้งหมดล้วนกลั้นหายใจ ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
“เข้ามา นี่มันยามใดแล้ว?”
น้ำเสียงสง่างามของชายหนุ่มดังมาจากในรถม้าเบา ๆ ด้วยเขาจงใจลดระดับเสียงลง
“เรียนท่านอ๋อง ยามซวีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มีคนตอบกลับมาจากด้านนอกด้วยความเคารพ
คนในรถม้าตอบกลับด้วยแ่เบาและไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ องครักษ์ที่อยู่รอบ ๆ รถม้าต่างก็ยกกระบี่ขึ้น มองไปยังจุดหนึ่งในความมืดมิด เสียงลมหายใจของทั้งสองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และในไม่ช้าเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างแ่เบา มองดูจากชุดที่สวมใส่แล้วพวกเขาก็คือคนสองคนที่ก่อนหน้านี้ที่เข้าจู่โจมเว่ยซูหานในตรอกมืดของเมืองฝูซังนั่นเอง
ในยามที่เห็นพวกเขา เหล่าองครักษ์ที่เดิมทีเตรียมพร้อมเพื่อรอรับกับเหตุฉุกเฉินก็ผ่อนคลายลงในทันที ทั้งสองก้าวเข้าไปใกล้รถม้าก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ท่านอ๋อง กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเข้าไปในรถม้า ภายใต้แสงสลัว บนรถม้าอันกว้างขวางมีชายผู้หนึ่งสวมชุดงามสง่านั่งอยู่ภายใน เครื่องประดับผมสีทอง มีหนวดเคราสั้น ๆ ดวงตาคม ใบหน้าตั้งตรงเผยให้เห็นสง่าราศีที่มีมาโดยกำเนิด หากมีคนนอกมาพบเห็นจะต้องประหลาดใจเป็แน่ ที่อ๋องิชินท่านอ๋องลำดับที่หนึ่งแห่งราชวงศ์ปรากฏอยู่ในสถานที่เช่นนี้ในยามราตรี
“คารวะท่านอ๋อง”
หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้ว ทั้งสองก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะก้มหัวของพวกตนลงเพื่อแสดงความเคารพ
ดวงตาของอ๋องิชินกวาดมองอย่างช้า ๆ
“ลุกขึ้นมาพูดเถอะ... สถานการณ์เป็อย่างไรบ้าง?”
ทั้งสองลุกขึ้นนั่งด้วยความเคารพ หนึ่งในนั้นพยักหน้าแล้วตอบว่า
“วรยุทธ์ของเว่ยซูหานนั้นสูงส่งกว่าพวกเรามาก อีกทั้งเขายังสามารถตระหนักรู้ได้ภายในหนึ่งกระบวนท่าว่าวิชาที่พวกเราใช้คือวิชากระบี่คู่ พวกเราจึงไม่กล้าหยั่งเชิงเพิ่มเติม ทำได้เพียงถอยกลับมาเท่านั้น และเพื่อป้องกันการถูกสะกดรอย จึงจำต้องใช้เวลานานในการมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงจริงจัง แต่กลับเป็เสียงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น
อ๋องิชินขมวดคิ้วครุ่นคิด “...เมื่อยามที่ยังอยู่ในเมืองหนานฮั่นพวกเ้าเคยพบกับเว่ยซูหานหรือไม่?”
ทั้งสองส่ายหัว “ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องิชินสูดลมหายใจอย่างเ็า “อืม เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาเป็ผู้รอบรู้... แล้วการมีอยู่ของพวกเ้าเคยถูกผู้ที่ไม่ควรรู้จับได้บ้างหรือไม่?”
จากที่เขารู้มา มีคนที่ฝึกวิชากระบี่คู่อยู่น้อยมาก อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดที่อยู่รอบๆ ตัวเว่ยซูหานฝึกฝนวิชานี้ เขาสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายในระหว่างการประมือได้อย่างไร?
ทั้งสองส่ายหัวพร้อมกัน “ท่านอ๋องฉางอันไม่เคยให้พวกเราลงมือต่อหน้าคนจากภายนอกมาก่อน พวกเรามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรู้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋องิชินจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าลง
“...ช่างมันเถอะ อย่างไรเว่ยซูหานก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงได้ ปล่อยวางเื่นี้ไปก่อน จากเื่นี้พวกเ้าได้รับรู้อะไรมาบ้างไหม?”
คนที่เมื่อครู่เพิ่งตอบคำถามพยักหน้าลงอีกครั้งแล้วตอบต่อไปว่า
“มีพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายจู๋อ๋องเฮ่อเหลียนซึ่งพวกเราตามหามานาน ผู้มีข่าวว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วแต่กลับไม่พบศพผู้นั้น เขาถูกเหยียนลั่วและเว่ยซูหานพากลับมาด้วยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาเข้ามาเป็บ่าวรับใช้ของเหยียนลั่วในฐานะเด็กกำพร้าจากเขตโรคระบาด แล้วตั้งรกรากอยู่ในจวนตระกูลเหยียน แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนได้เกิดเื่บางอย่างขึ้นเหยียนลั่วจึงได้จัดให้เขาไปอยู่ที่อื่น แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เร่งรีบแต่เราก็ยังมีเวลาเพียงพอต่อการตรวจสอบ และด้วยข้อมูลจากคนในทำให้สามารถยืนยันได้ว่าเป็เฮ่อเหลียนซือเยี่ยไม่ผิดแน่ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ”
ยังดีที่ในยามนั้นพวกเขาไม่ได้ให้พวกคนป่าเถื่อน[2] ขุดหลุมฝังศพเพื่อให้ใครสักคนปลอมแปลงตัวในยามที่มีคนมาขอศพ
อ๋องิชินลูบเคราสั้น ๆ ที่คางของตน จากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า
“เฮ่อเหลียนซือเยี่ย ทายาทผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ของราชวงศ์เฮ่อเหลียน ว่าที่เ้าแผ่นดินผู้หนึ่ง... มีหลายคนที่้าตัวเขา แต่เขากลับเป็เชลยที่ไม่ยอมประนีประนอมแม้แต่น้อย อีกทั้งในยามนี้ยังเต็มใจที่จะเป็เพียงบ่าวรับใช้ของผู้อื่น ช่างน่าเสียดาย...”
ชายชุดดำอีกคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาว่า
“ท้ายที่สุดก็เป็ราชวงศ์ที่แสนโเี้ ภรรยาร่วม[3] กับของเล่นมันแตกต่างกันอย่างไร? แม้ว่าจะมีอำนาจเหนือคนนับหมื่น แต่กลับต้องยอมจำนนต่อความสุขของผู้อื่น ผู้ใดที่มีความกล้าหาญมากหน่อยก็ย่อมจะไม่ยอมจำนน”
ทั้งที่น้ำเสียงที่ใช้แ่เบาเหมือนกัน แต่ความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้นกลับน้อยลง เสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
เชิงอรรถ
[1] กระแสคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ (风起云涌) อธิบายถึงแนวโน้มที่ตระหง่านและน่าเกรงขามของบางสิ่งบางอย่าง และยังหมายถึงการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอะไรบางอย่าง
[2] คนป่าเถื่อน (野蛮人) หมายถึงคนที่ถือว่าไม่มีอารยธรรม ใช้เรียกสังคมชนเผ่า คนเร่ร่อน หรือโจร
[3] ภรรยาร่วม (共妻) เป็คำที่ใช้เรียกภรรยาที่แต่งงานกับครอบครัวที่มีการแบ่งปันภรรยา หรือใช้เรียกสัตว์ตัวเมียที่มีตัวผู้หลายตัว
