โชคดีที่หลิวเต้าเซียงมีเงินมากกว่าสองร้อยตำลึง อีกทั้งที่นาห้าไร่ตอนนี้ ต่อไปนางเพียงแค่นำไก่กับไข่ที่เกินมาส่งมอบให้สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็พอ
ด้วยเหตุนี้นางจึงเอาของในห้วงมิติไปแลกเป็รำข้าวกับข้าวร่วน เมื่อเลี้ยงไก่กับหมูที่บ้านและขายไป ก็จะมีเงินเข้าออกอย่างไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เสียที
เช่นนี้ก็ไม่เลว
เมื่อหลิวเต้าเซียงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็เริ่มอารมณ์ดีอีกครั้ง
เกาจิ่วที่อยู่ตรงข้ามเข้าใจว่านางดีใจเพราะคิดถึงเื่ที่หาเงินได้พันตำลึงต่อปี
“นายท่านจิ่ว ไม่ทราบว่าราคาไก่ทั้งปีเป็เช่นไร? แล้วก็ราคาหมูด้วย!”
เกาจิ่วแอบคิดว่าสาวน้อยคนนี้คือผู้ช่วยชีวิตนายน้อยของตน ย่อมไม่อาจกดราคาต่ำเกินไป จึงเอ่ย “หากเป็ไก่ คิดให้เ้ายี่สิบอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ถึงอย่างไรการจ้างคนเชือดก็ต้องจ่ายเงิน แล้วอีกอย่างข้าจะขอเหมาไข่ไก่ของเ้าด้วย ทว่าจะไม่สามารถขายตามราคาหนึ่งอีแปะครึ่งต่อหนึ่งใบ เราจะอิงตามน้ำหนัก สิบสองอีแปะต่อหนึ่งชั่ง”
สิบสองอีแปะต่อหนึ่งชั่ง หนึ่งชั่งมีราวเก้าถึงสิบใบ เช่นนี้ก็เท่ากับหนึ่งอีแปะสองเหรียญหนึ่งใบ แม้ว่าราคานี้จะต่ำไปหน่อย แต่ดีที่มีปริมาณ หากปริมาณมาก เงินที่จะได้ก็มากตาม
“ราคานี้เป็ที่ยอมรับได้ แต่ข้า้าซื้อเนินเขาทางด้านซ้ายของบ้านข้า หากเป็เช่นนี้ ข้าคงไม่เลี้ยงแค่สองพันตัว เราเองก็เป็คนคุ้นเคยกันดี หรือไม่ ท่านก็รับซื้อในจำนวนมากกว่านี้ ข้าจะลดราคาให้ท่านอีกหน่อย ดีหรือไม่?”
สิ้นเสียงของหลิวเต้าเซียง เกาจิ่วก็หรี่ตาพริ้ม
มองนางด้วยสายตาที่ชื่นชม “เ้าหลักแหลมยิ่งนัก เนินเขาของเ้ากว้างเท่าใด สามารถเลี้ยงได้เท่าไร?”
หลิวเต้าเซียงยิ้มหวาน “เนินเขาเล็กๆ นั้นมีพื้นที่ประมาณสามสิบไร่ เลี้ยงห้าถึงหกพันตัวย่อมไม่มีปัญหา เพียงแต่ข้าเกรงว่านายท่านจิ่วจะลำบากใจ ข้าจึงจะเลี้ยงลดลงสักหนึ่งพันตัว เลี้ยงเพียงห้าพันตัว เป็อย่างไร?”
“เ้าอยากเลี้ยงไก่ห้าพันตัวหรือ? เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่า การเลี้ยงไก่จำนวนมากอาจจะป่วยได้ง่าย”
หากมีโรคระบาดในไก่และทำให้ไก่ของหลิวเต้าเซียงตายหมด เดาว่านายน้อยของเขาคงจับเขายัดกลับเข้าท้องแม่เป็แน่
เกาจิ่วมองลงมาที่หลิวเต้าเซียงที่ยิ้มหวานขึ้นเรื่อยๆ พลันตัวเย็นและขนลุกซู่
“ไก่ไม่ได้เลี้ยงง่าย ไก่ปริมาณมากเช่นนั้น อาจจะป่วยได้ง่ายดาย อีกทั้งโรคระบาดเกิดขึ้นเร็ว หมอก็คงช่วยรักษาไม่ได้”
เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่โอนอ่อน เพราะกลัวว่าหลิวเต้าเซียงฟังแล้วจะอารมณ์ไม่ดี
หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้งแล้วเอ่ย “เื่นี้ นายท่านจิ่วไม่ต้องกังวลไป ที่ผ่านมาข้าก็เลี้ยงไก่ อีกอย่าง ท่านแม่ข้าก็เป็นักเลี้ยงไก่ตัวยง เราไม่กลัว ในเมื่อทำการค้าขายก็ต้องมีกำไรขาดทุนกันบ้าง แต่ต้องรบกวนนายท่านจิ่วช่วยค้นหาตำราเหล่านี้ให้ข้าสักหน่อย แม้ว่าในบ้านจะมีตำราเกษตร แต่ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง กลับไม่ค่อยมีเื่การเลี้ยงไก่และหมูเท่าใดนัก”
เกาจิ่วสับสนเล็กน้อย มีตำราการเกษตรอยู่ที่บ้าน? เ้านายของเขา้าทําสิ่งใดกันแน่?
แล้วจะให้สาวน้อยเลี้ยงไก่ห้าพันตัวดีหรือไม่?
ถ้าไม่ หากว่านางสามารถเลี้ยงไก่สองพันตัวได้อย่างดี ก็เท่ากับเป็การตบหน้าไม่ใช่หรือ?
ถ้าเขาปล่อยให้นางเลี้ยง แล้วเกิดไก่ตายหมด เขาคงต้องถูกนายตนเองเล่นงานแน่นอน
จะซ้ายหรือขวาก็โดนเล่นงาน เกาจิ่วจึงตัดสินใจเลือกข้อแรก
“ห้าพันไม่ใช่จํานวนเล็กน้อย นอกจากนี้ธัญพืชที่กินอาจค่อนข้างมาก ดังนั้นเ้าต้องเตรียมการให้พร้อม”
“นายท่านจิ่ววางใจได้ ข้ามีแผนการในใจ ไม่มีทางปล่อยให้ไก่กับหมูของข้าหิวแน่นอน” หลิวเต้าเซียงขอเพียงเกาจิ่วพยักหน้า ต่อให้ห้าหมื่นตัวนางก็จะกัดฟันเลี้ยงให้ได้
แน่นอนว่าเมื่อมีห้วงมิติอยู่ในมือ ก็สามารถก้าวเดินได้อย่างกว้างไกล!
แม้ว่าห้วงมิตินี้จะต่างจากปกติ แต่อย่างน้อยห้วงมิติก็คือห้วงมิติ!
หากไม่มีมัน หลิวเต้าเซียงคงไม่กล้าใจแข็งขนาดนี้ เพราะไก่และหมูกินจุเกินไป!
หลังจากเื่ราวเสร็จสิ้น หลิวเต้าเซียงก็บอกเล่าเื่ที่ครอบครัวของตนกำลังจะย้ายบ้านให้ฟัง เกาจิ่วเอ่ยอย่างขบขัน “เห็นทีหนึ่งปีหลังจากนี้ บ้านเ้าคงต้องสร้างบ้านหลังใหม่ โอ๊ย นี่คงไม่คุ้มแน่ เด็กสาวตัวน้อย เ้ากำลังเล็งกระเป๋าเงินของข้าเช่นนี้เอง”
พ่อครัวจางก็มีความสุขเช่นกัน “ดูเหมือนว่าข้าต้องเตรียมของขวัญขึ้นบ้านใหม่สองชิ้นเสียแล้ว”
หลิวเต้าเซียงและทั้งสองคุ้นเคยกันมาก จึงไม่ได้สนใจเื่ตลกระหว่างทั้งสอง นางจึงยิ้มและตอบ “ใครใช้ให้พวกท่านมีเงินมาก หากไม่เชิญท่านทั้งสอง แล้วจะเชิญใครอีก?”
“ตกลง เมื่อได้ฤกษ์วันขึ้นบ้านใหม่ อย่าลืมบอกกล่าวข้าด้วย”
เกาจิ่วพูดจบก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากไป
หลิวเต้าเซียงเก็บสัญญาเข้าไว้ในอกอย่างระมัดระวัง ความเป็จริงคือเก็บเข้าไปในห้วงมิติ
นางเห็นว่าเวลานั้นสายมากแล้ว จึงกล่าวลาพร้อมกับเกาจิ่ว
แล้วแบกตะกร้านำอาหารกลับบ้าน
ที่ลานบ้านเงียบสงบ หลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลันไม่ได้อยู่ที่บ้านในเวลานี้
หลิวเต้าเซียงเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งผ่อนคลาย นางแบกตะกร้าไม้ไผ่เดินเข้าบ้านตนเอง
หลังจากเก็บบ้านเรียบร้อย ก็เลือกเอาไส้หมูกับปอดหมูออกมาหนึ่งชุด แล้วเอาไส้หมูอีกหนึ่งชิ้นกับปอดหมูอีกสองชิ้นหมักเกลือไว้เรียบร้อย
จากนั้นก็หิ้วของเดินไปหาจางกุ้ยฮัว
“ท่านแม่ ข้ามาแล้ว!” ทันทีที่หลิวเต้าเซียงคิดถึงชีวิตของครอบครัวที่กำลังจะรุ่งโรจน์ ฝีเท้าของเด็กน้อยก็ก้าวไวขึ้น
จางกุ้ยฮัวกําลังจะนําถั่วแห้งไปแช่ เมื่อนางเห็นบุตรสาวคนรองมาถึง ก็ฉีกยิ้มไม่หุบแล้วเอ่ย “ลูกรัก เ้าไปตำบลมาหรือ?”
“แล้วพี่สาวข้าเล่า?”
“พาชุนเซียงไปเที่ยวหาชุ่ยฮัวแล้ว เ้าหิ้วอะไรมา?”
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าสิ่งที่นางถืออยู่ดูเหมือนจะหนักไปหน่อย จึงเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วไปรับตะกร้าจากมือของนาง เมื่อก้มดูจึงเอ่ยเสียงค่อย “ลูกรัก ที่บ้านเตรียมอาหารไว้แล้ว ไม่มีทางต้อนรับเพื่อนบ้านไม่ดีหรอกน่า”
“ท่านแม่ อาหารเ่าั้ไม่ได้ผลหรอก ก็แค่เนื้อหมูเค็มสองท่อน ใช้เนื้อหมูเค็มนึ่งกับถั่วแห้งเถิด กลางวันก็ทำปอดหมูหม่าล่า ท่านแม่ ท่านทำอาหารนี้ได้อร่อยที่สุด ข้าอยากกิน”
หลิวเต้าเซียงกล่าวขณะที่กอดขาของจางกุ้ยฮัวและขอร้องอ้อนวอน
ดวงตากลมโตเป็ประกาย ริมฝีปากกลีบดอกท้อ แก้มที่ชมพูเปล่งปลั่ง...
จางกุ้ยฮัวใจอ่อนยวบ เอื้อมมือมาลูบหน้าผากของบุตรสาว แล้วหยอกล้อพร้อมกับรอยยิ้ม “เ้าแมวหิวโหย!”
ป้าหลี่ดูอยู่ด้านข้างจึงยิ้มตาม “ลูกสาวน่ะ มีไว้เพื่อตามใจนั่นแล”
ต้องตามใจไว้สิดี!
จางกุ้ยฮัวยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี “พ่อนางตามใจพวกนางจนเคยตัว อยากกินอะไรก็ซื้อ แทบจะดึงดาวบนท้องฟ้ามาทำเครื่องประดับให้พวกนางเสียให้ได้”
“เห็นได้ชัดว่าเ้าเองก็รักใคร่ลูกๆ ด้วยนี่นา” ป้าหลี่ไม่ได้ช่วยนางเลย
“ท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่พวกข้าเหมือนกัน!” ตอนที่หลิวเต้าเซียงตอบ ดวงตามีแต่ฟองแห่งความสุขลอยออกมา
เมื่อนึกถึงชีวิตในโลกที่ผ่านมา พ่อแม่ของนางหย่าร้างกันเร็ว แม้ว่านางจะไม่ถูกทารุณ และยังมีเงินให้ใช้ตลอดเมื่อจำเป็ แต่นางก็เติบโตขึ้นมากับย่า ในท้ายที่สุดนางก็อิจฉาครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข
แม้ว่าพ่อแม่ของนางจะรู้ดีและมาหาทุกอาทิตย์ แต่ในใจของหลิวเต้าเซียงก็เหมือนมีบางสิ่งที่ขาดหายไปอยู่ดี
ในชาตินี้นางโชคดีที่มีบิดามารดาที่แสนดี มือน้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดไว้แน่น จะต้องทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ไร้กังวลให้ได้
“ตกลง เอาของมาให้แม่ เ้าไปเล่นกับพี่สาวเ้าเถิด!”
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือออกไปและตบก้นเล็กๆ ของนางเบาๆ สองครั้ง ในชนบทเวลาผู้ใหญ่แสดงความรักต่อเด็กก็เป็เช่นนี้
เพียงแต่...
เนื้อแท้ภายในของหลิวเต้าเซียงเป็ผู้ใหญ่ ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าทันใด!
“ท่านแม่ ท่านตีก้นข้าได้อย่างไร!”
นางเอื้อมมือออกไปปิดก้นเล็กๆ ของตัวเองไว้ มีเื่น่าอายกว่านี้อีกหรือไม่!
ป้าหลี่หัวเราะจนหายใจไม่ทัน “เอาเถิด กุ้ยฮัว เต้าเซียงของเราคงถึงวัยที่เขินอายแล้ว”
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าพวกนางยังคงหัวเราะ จึงกระทืบเท้าเล็กๆ แล้วหันหลังกลับและวิ่งหนีออกไป
นางไม่ได้ไปหาหลิวชิวเซียง แต่เดินไปด้านหลังเพื่อตามหาหลิวซานกุ้ยที่กําลังวัดพื้นที่อยู่
นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ด้วย บอกกล่าวเื่ที่ไปคุยกับเกาจิ่ว
“หา? เลี้ยงห้าพันตัว?”
หลิวซานกุ้ยจินตนาการถึงกลิ่นมูลไก่ที่อบอวลอยู่ในสมอง!
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ดังนั้นพวกเราต้องซื้อที่ดินบนเนินเขาไว้ด้วย!”
หลิวเต้าเซียงคํานวณไว้ว่า ซื้อเพื่อเลี้ยงไก่ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้สิ้นเปลือง อืม นางจึงตั้งใจว่าจะหาต้นกล้าสูงศักดิ์ อย่างเช่นต้นแพร์เหลือง ต้นไม้จันทน์แดงและอื่นๆ
ต้นไม้ที่มีอายุนับร้อยปีล้วนเป็ยอดไม้ ชาตินี้นางคงไม่ทันได้เห็น แต่ก็ปลูกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้
อีกเหตุผลหนึ่งคือการปลูกต้นไม้เหล่านี้ โดยทั่วไปไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป
เพราะมันเติบโตของมันเอง!
“ท่านพ่อ ข้าทำสัญญาไปแล้ว ไก่ห้าพันตัว หมูสองร้อยตัว ต่อไปเราต้องไปหาซื้อที่หมู่บ้านละแวกนี้ด้วย”
หลิวซานกุ้ยรับสัญญาที่หลิวเต้าเซียงมอบให้ สมองของเขายังรับไม่ทัน
ครอบครัวของเขากําลังจะรุ่งเรืองแล้ว? จะรุ่งเรืองแล้ว?
“ไก่ห้าพันตัว หมูสองร้อยตัวหรือ? ข้าเกรงว่าคงต้องใช้อาหารสัตว์ไม่น้อย บ้านเรามีที่นาแค่สองไร่”
หลิวซานกุ้ยคิดเื่การเลี้ยงไก่และหมูจํานวนมาก เื่อื่นไม่เท่าไร แต่หลักๆ คืออาหารการกินของพวกมัน
หากไก่และหมูไม่ได้รับอาหารที่อิ่มมากพอ ก็จะเติบโตช้าและขายได้ขาดทุน หากว่าเวลาเนิ่นนานไป เนื้อก็แก่ เคี้ยวไม่อร่อย
“ลูกรัก เหตุใดเ้าไม่คุยกับพ่อก่อนว่าจะเลี้ยงมากมายเช่นนี้?”
ก่อนหน้านี้หลิวเต้าเซียงก็เคยบอก แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงถึงห้าพันตัว
เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด ในบ้านเลี้ยงไก่ห้าพันตัว นั่นเท่ากับเป็ภัยพิบัติทีเดียว
“ท่านพ่อ เื่อาหารไก่ท่านวางใจได้ ข้ามีวิธี ถึงตอนนั้นรอดูว่าจะรวบรวมจากละแวกนี้ได้เท่าไร แล้วก็อาหารหมู ท่านพ่อ เราเลี้ยงเยอะหน่อย สักสองร้อยสิบตัวเถิด จะได้เก็บไว้เชือดกินเองด้วย”
คําพูดของหลิวเต้าเซียงทําให้อาการเ็ปภายในของหลิวซานกุ้ยได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง เขายื่นนิ้วชี้ออกมาพึมพำ “ลูกรัก เดิมทีพ่อควรส่งเสริมเ้า แต่ว่าบ้านเราตอนนี้ขาดแคลนสิ่งนี้ที่สุด”
“ท่านพ่อวางใจเถิด ข้าคิดไว้แต่แรกแล้ว ท่านลืมไปหรือว่าก่อนหน้านี้ข้าทำอะไรมา? ในมือข้าพอมีเงิน อีกทั้งค่าเช่าบ้านหลังนั้น เพียงพอสำหรับซื้อที่กับซื้อเสบียงได้ส่วนหนึ่ง”
ในเมื่อนางไม่ต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซมบ้าน เพียงแค่ซื้อที่ดินรกร้างกับเนินเขา นางจึงเหมาซื้อได้สบายอยู่แล้ว
ไม่ใช่ว่าหลิวเต้าเซียงไม่เต็มใจที่จะเอาเงินออกมา เพียงแต่การเอาเงินออกมามากเกินไป จะหาข้ออ้างไม่ได้
ถึงเวลานั้น อาจจะกลายเป็สะกิดให้สองสามีภรรยาเกิดความสงสัยว่านางคือตัวปลอม เช่นนั้นย่อมไม่ดีแน่ๆ
“แต่ครอบครัวเรายังต้องซื้อลูกไก่กับลูกหมูอีกนะ!” แม้ว่าหลิวซานกุ้ยจะพูดเช่นนี้ แต่ความเป็จริงในใจเขากำลังคิดว่า จะอาศัย่ที่อากาศไม่ค่อยดีนักและไม่สามารถซ่อมแซมบ้านได้เพื่อไปจับปลา
ตอนนี้อากาศยังคงหนาวเย็น ปลาที่จับมาคงขายได้ราคาดี
“ท่านพ่อ วางใจได้ เงินในมือท่านแม่เอาไว้ใช้ซ่อมบ้านให้ดี ในเมื่อจะซื้อเนินเขาด้วย ก็ควรต่อเติมบ้านให้ใหญ่หน่อย แล้วจัดการล้อมเนินเขาให้หมด ท่านพ่อ อย่าได้กังวลไป ในมือข้ายังพอมีเงินอยู่ ค่าเช่าบ้านสิบห้าตำลึง รวมกับเงินที่เคยช่วยคุณชายน้อยท่านนั้นขายของป่า แล้วก็เงินที่ข้าค้าขายเล็กน้อย คงมีเจ็ดสิบกว่าตำลึง”
-----
