“หมากกระดานนี้ยังไม่สิ้นสุด เร็วเกินไปหรือไม่ หากมาพูดถึงเื่แพ้ชนะ!” หลี่หรงเต๋อตอบโต้ ทว่าในใจกลับหวั่นไหว เขาลอบเสียใจ รู้แต่แรกเขาจะไม่งัดข้อกับเฟิ่งชัง สิ่งของเดิมพันคือสุราดีหมักร้อยปีที่หาได้ยากเชียวหนา! ลำพังแค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกเปรี้ยวปาก
องค์ไท่จื่อน้อยมองกระดานหมาก นิ้วมือทั้งสิบประสานกันแน่นด้วยความร้อนใจ
ไฉนเสด็จแม่จึงยังไม่เดินหมากนะ หากเสด็จแม่แพ้ นางจะต้องไปจากวังหลวง แต่เขาไม่อยากให้เสด็จแม่จากไป...
เขาขบฟันลงบนริมฝีปากสีชมพูอ่อนแล้วหันไปมองเซวียนหยวนเช่อ “เสด็จพ่อ หมากขาวจะแพ้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อไม่ได้ตอบเขา สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนกระดานหมากเขม็ง ในใจพลันเกิดคลื่นลมครู่หนึ่ง
คนอื่นอาจจะไม่กระจ่างแจ้ง แต่ตัวเขารู้ว่าค่ายกลบนกระดานหมากคืออะไร และรู้ลึกซึ้งไปถึงอานุภาพของค่ายกลนี้!
เพียงแต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เพื่อเอาชนะแล้วศิษย์น้องถึงกับงัดเอาค่ายกลสามชนิดที่เก็บไว้ก้นหีบออกมาใช้
ศิษย์น้องเป็อัจฉริยะในเื่การเดินหมากล้อม เขาได้คิดค้นค่ายกลที่ซับซ้อนที่สุดและยากแก่การทำลายออกมาด้วยกันสามค่ายกล ค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็หนึ่งในสามกล ชื่อ ค่ายกล “หน้าผาสูงชันพันหน้า”!
ความร้ายกาจก็เหมือนกับชื่อของมัน ค่ายกลชนิดนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ยากแก่การทำลาย คนธรรมดาไม่มีทางทำลายลงได้!
ศิษย์น้องโยนค่ายกลยุ่งยากซับซ้อนยากแก่การทำลายออกมา จุดประสงค์ชัดเจนกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เขาคิดจะหยั่งเชิง หยั่งเชิงความสัมพันธ์ระหว่างเฟิ่งเฉี่ยนและเขา
เพราะ ศิษย์น้องมองออกว่าเขาได้ถ่ายทอดวิธีการเดินหมากของตนให้กับเฟิ่งเฉี่ยน ดังนั้นเขา้าหยั่งเชิงขั้นต่อไป
ศิษย์น้องหนอศิษย์น้อง เหตุใดเ้าจึงได้เ้าทิฐิเช่นนี้ จะต้องพบเจิ้นให้ได้ใช่หรือไม่
ได้ยินเสียงไท่จื่อน้อยะโเสียงดังอีกครั้ง “เสด็จพ่อ หมากขาวจะแพ้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อได้สติ เขาหันกลับมามองบุตรชายปราดหนึ่ง ในแววตาปรากฏให้เห็นความอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว เขาพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาเปี่ยมไปด้วยความรัก “เื่สำคัญที่สุดในการเดินหมากมิใช่แพ้หรือชนะ แต่เป็ความกล้าหาญเมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบาก!”
“แต่ หากหมากขาวแพ้...” คิ้วเล็กๆ ของไท่จื่อน้อยขมวดแน่น หากหมากขาวแพ้ เสด็จแม่ก็ต้องไปจากวังหลวง เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรดี
เซวียนหยวนเช่ออ่านความในใจของเขาออก จึงพูดชี้ทางสว่างแก่เขา “วางใจ เื่ที่เ้าเป็กังวลจะไม่เกิดขึ้น!”
ไท่จื่อน้อยตะลึงงัน ขนตาหนาดกนั้นกระพริบถี่ๆ ไม่แน่ใจว่าเสด็จพ่อหมายถึงเื่ใดกันแน่
เสด็จแม่จะไม่แพ้การเดินหมาก หรือเสด็จแม่จะไม่ไปจากวังหลวง
กำลังจะเอ่ยปากถามอีก ลั่วหยิ่งเดินเข้ามาในท้องพระโรงไปหยุดอยู่ข้างกายเซวียนหยวนเช่อ เขาโน้มศีรษะลงกระซิบความครู่หนึ่ง สีหน้าของเซวียนหยวนเช่อไม่เปลี่ยน ทว่าแววตาของเขากลับไหววูบ
“ถึงกับมีเื่เช่นนี้”
เมื่อสักครู่ลั่วหยิ่งรายงานว่า มีข่าวมาจากชุมนุมหมากล้อม ไม่รู้ฮองเฮาเป็อะไรจึงถูกเทพเ้าแห่งความโชคร้ายตามตัว ระหว่างทางที่เดินทางไปชุมนุมเดินหมากโชคร้ายไม่หยุด เข้าไปในห้องพิเศษแล้วถึงกับมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น นาทีนี้กำลังนั่งเดินหมากท่ามกลางสายฝน!
เื่นี้เหลือเชื่อเกินไป!
ไท่จื่อน้อยอยู่ใกล้ เขาได้ยินรางๆ ว่าลั่วหยิ่งเอ่ยถึงเสด็จแม่ เขารีบเงี่ยหูฟัง
เซวียนหยวนเช่อขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วพูดกับลั่วหยิ่ง “เ้าไปดูที่ชุมนุมหมากล้อมด้วยตนเอง ดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่”
จากนั้นเขาเสริมอีกประโยคหนึ่ง “นำเสื้อคลุมกันลมของเจิ้นไปด้วย”
ลั่วหยิ่งน้อมรับบัญชา “พ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
เขาหมุนตัวจะจากไป ไท่จื่อน้อยรีบร้องเรียกเขาเอาไว้ “ท่านอาลั่วหยิ่ง ท่านจะไปชุมนุมหมากล้อมใช่หรือไม่ ข้าฝากสุราผลไม้กานี้ให้กับเสด็จ...ให้กับพี่สาวเฟิงได้หรือไม่ บอกนางว่า ข้าเอาใจช่วยนางเสมอ!”
ลั่วหยิ่งมองกาสุราผลไม้ที่เขายื่นมาให้ จึงรีบก้าวเข้าไปรับมา เขาโน้มกายลงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไท่จื่อโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะนำความไปบอกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งชังลอบสังเกตท่าทีของฮ่องเต้และไท่จื่อน้อย ในใจพลันตึงเครียด แม่นางเฟิงคนนี้เป็ใครกันแน่ ไม่เพียงแต่ฝ่าาที่ให้ความสำคัญกับนาง กระทั่งไท่จื่อน้อยก็ยังมีใจเอนเอียงไปทางนาง นี่มันผิดปกติเกินไป!
หลังจากรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาคิดถึงบุตรสาวผู้ไม่เอาไหนของตนขึ้นมา วันนี้เป็วันสำคัญ นางมัวไปแต่ไปทำอะไรที่ไหน เหตุใดจึงไม่มาร่วมชมการเดินหมากล้อมที่ตำหนักหงเหวินด้วยกัน
ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะได้มีโอกาสปรนนิบัติคืนหนึ่ง หากไม่รีบคว้าโอกาสเอาไว้ หัวใจของฮ่องเต้ย่อมต้องไปตกอยู่กับสตรีอื่นได้ตลอดเวลา ถึงเวลานั้นนางร่ำไห้ก็สายเกินไปแล้ว!
ทว่า พูดไปแล้วแม่นางเฟิงท่านนี้กลับมีดวงชะตาสมพงศ์กับบุตรสาวของเขามาก คนทั้งสองมีแซ่คล้ายกันทว่าไม่เหมือนกัน ทว่ากลับมีชื่อเป็อักษรเดียวกันเปี๊ยบ ล้วนเป็ อักษร เฉี่ยน คำเดียว
ประหลาด ประหลาดจริงๆ!
เขาส่ายหน้าด้วยความประหลาดใจ ทว่ากลับมิได้นำคนทั้งสองคนไปคิดว่าอาจเป็คนเดียวกันได้ ไม่มีเหตุผลอย่างอื่น บุตรสาวของตนไม่มีพร์ในการร่ำเรียน บุคลิกลักษณะหน้าอกใหญ่ไร้สมองนั้นได้สลักลึกลงไปในแกนสมองของเขาเนิ่นนานแล้ว ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าสตรีที่เป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อมที่กำลังประลองการเดินหมากกับเซียนหมากล้อมคนนั้น ที่จริงแล้วเป็เฟิ่งเฉี่ยนผู้เป็บุตรสาวของเขาเอง!
ลั่วหยิ่งรับบัญชาจึงมาชุมนุมหมากล้อมเพื่อตรวจสอบ ส่วนโจวหมัวมัวนั้นล่วงหน้ามาก่อนเขา และกำลังเร่งเดินทางไปชุมนุมหมากล้อมเพื่อตรวจสอบฐานะของเฟิงเฉี่ยนเช่นกัน
เมื่อโจวหมัวมัวไปถึงชุมนุมหมากล้อม ในชุมนุมหมากล้อมคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์
“แย่แล้ว! เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว หมากขาวยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ เกรงว่าแม่นางเฟิงคงจะต้านไม่ไหวแล้ว!”
“แม่นางเฟิงพ่ายแพ้ นั้นเป็เื่ธรรมดา! บนโลกนี้ไม่มีใครเอาชนะการเดินหมากองค์ชายสามของพวกเราได้!”
“นั่นเป็เพราะแม่นางเฟิงถูกเทพเ้าแห่งความโชคร้ายตามตัว ส่งผลต่อการเดินหมาก หากนางสามารถเดินหมากได้เช่นยามปกติ จะต้องทำได้ดีกว่าตอนนี้แน่นอน!”
“ไม่ไหวก็คือไม่ไหว! หาข้ออ้างอันใดกัน ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ได้มีเทพเ้าแห่งความโชคร้ายตามตัวเลยก็ได้ แต่เป็เพราะนางเสแสร้งแกล้งทำ เสแสร้งให้ทุกคนเห็น เพื่อขอความเห็นอกเห็นใจจากทุกคน!”
“เ้าพูดจาเลอะเลือนอะไร แม่นางเฟิงไม่มีทางทำเื่ต่ำช้าเช่นนี้หรอก!”
“...”
ผู้ชมของแคว้นเป่ยเยียนและแคว้นหนานเยียนเริ่มโต้เถียงกัน
โจวหมัวมัวเงยหน้าขึ้นมองห้องพิเศษ ตี้ ที่อยู่บนชั้นสอง เห็นเพียงหน้าต่างของห้องพิเศษเปิดอยู่ มีน้ำไหลพ่นออกมาจากท่อน้ำที่อยู่ด้านในหน้าต่างเป็พักๆ แล้วไหลลงมาใส่โอ่งใบใหญ่ที่อยู่ชั้นล่าง น้ำในโอ่งมีปริมาณเกินกว่าครึ่งตามเวลาที่ผ่านไป
นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น ดูท่าแล้วเป็ได้มากว่าคนที่อยู่ในห้องพิเศษนี้จะเป็ แม่นางเฟิง นางต้องเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าคนข้างในเป็ใครกันแน่
ดังนั้นนางจึงเดินเบียดเสียดคนเข้าไป ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงนั้นนางก็เดินไปถึงบันได ฉวยโอกาสที่ทุกคนไม่ทันสังเกตเดินขึ้นชั้นบนไป
นางคิดว่าไม่มีใครรู้เห็น ทว่านางไม่รู้ว่าทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเฟิ่งเทียนรุ่ย เขาลุกขึ้นตามไปติดๆ
ณ ห้องพิเศษ ตี้ เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกศีรษะพองโต วิงเวียนไปหมด ตัวร้อนราวกับไฟ กระดานหมากเบื้องหน้านางกลายเป็ภาพซ้อน นางมองเห็นทุกอย่างเลือนรางไปหมด
เด็กเดินหมากที่อยู่อีกด้านหนึ่งมองแล้วกังวล “แม่นางเฟิง ท่านยังเดินหมากต่อไปไหวหรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่ตอบแต่ถามกลับไปว่า “อีกนานแค่ไหนจึงจะถึงยามอู่”
เด็กเดินหมากตอบ “ราวๆ หนึ่งก้านธูป”
“หนึ่งก้านธูป...” เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากแล้วพูดกับเด็กเดินหมากว่า “รบกวนเ้าจุดธูปดอกหนึ่ง!”
นาง้าดูให้เห็นกับตาตนเองว่าเมื่อครบเวลาหนึ่งก้านธูป เวลานั้น เทพเ้าแห่งความโชคร้ายที่ตามตัวนางจะหมดฤทธิ์
นางจะต้องอดทนจนถึงเวลานั้นให้ได้!
เสียง เคร้ง ดังขึ้น กระทะหรูอี้ร่วงลงบนพื้น แขนของนางไม่มีแรงแล้ว
ไม่มีกระทะหรูอี้ช่วยบดบังศีรษะ น้ำจึงรินรดใส่ร่างของนางเต็มๆ ั้แ่ศีรษะไหลงลงมา ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ ซวยที่สุด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้