“แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดข้าจึงไม่รู้เื่?”
อู๋หู่กระซิบถามเสียงต่ำ
“วันนี้มีคนของเราถูกทุบตีกลับมาขอรับ พวกเขาบอกว่าอีกฝ่าย้าให้ท่านไปขอโทษด้วยตัวเอง นายท่านเป้าทราบเื่เข้าจึงโกรธมากและพาคนของเราออกไปหาเื่อีกฝ่าย บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจจะเป็คนตระกูลมู่ขอรับ”
ลูกน้องผู้นั้นกระซิบตอบ
“ให้ตายเถอะ เ้ารองก็ทำตัวหุนหันพลันแล่น มุทะลุเกินไปแล้ว”
อู๋หู่โกรธมากเมื่อได้ยินดังนั้น แต่เขายังคงหันไปยิ้มให้กับมู่ไห่ “ผู้นำตระกูลมู่ คือว่าเื่ทั้งหมดล้วนเป็การเข้าใจผิด วันนี้คนของข้ามีตาหามีแววไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนตระกูลมู่ของท่าน วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งตัวพวกเขาไปยังจวนตระกูลมู่ให้พวกท่านได้ตัดสินโทษอย่างแน่นอน”
“ไม่จำเป็ คนพวกนั้นกลายเป็ศพไปหมดแล้ว”
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ก้าวออกมา เขาจ้องมองไปยังอู๋หู่ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
อู๋หู่มองไปทางมู่เฟิงด้วยความสงสัย
“ท่านนี้คือ…”
“เ้าเด็กนี่ เป็เ้า!”
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งในกลุ่มพยัคฆ์เหลืองก็จ้องไปที่มู่เฟิงและร้องโวยวายออกมา
มู่เฟิงหันไปตามเสียงก่อนจะพบกับเ้าของของเสียงเมื่อครู่ เพียงแต่เขาไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับคนผู้นี้อยู่เลยแม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นรีบกล่าวกับอู๋หู่ทันทีว่า “ข้ารู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ ครั้งก่อนข้าและหวังลิ่วผิงขึ้นไปยังเทือกเขาอันหนาน การตายของหวังลิ่วผิงก็เป็เ้าเด็กนี่ที่ลงมือสังหาร!”
ปรากฎว่าชายผู้นี้คือหนึ่งในสองคนที่หลบหนีออกมาจากเทือกเขาอันหนานในวันนั้น
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าของอู๋หู่ก็พลันมืดครึ้มลง เขามองไปทางมู่เฟิง จากนั้นก็หันมากล่าวกับมู่ไห่ว่า “ผู้นำตระกูลมู่ ในเมื่อคุณชายท่านนี้ได้จัดการลงทัณฑ์คนกลุ่มนั้นไปแล้ว เื่นี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่”
“เื่นี้ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ เสี่ยวเฟิง เ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
มู่ไห่หันไปถามมู่เฟิง การกระทำนั้นทำให้อู๋หู่เกิดความสงสัยในตัวตนของมู่เฟิงขึ้นมาทันที
มู่เฟิงจ้องมองไปทางอู๋หู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “ในฤดูหนาวที่อากาศเย็นเช่นนี้ เ้าจะให้เรายืนคุยกันตรงนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋หู่ก็หัวเราะออกมาและรีบกล่าวเชื้อเชิญอีกฝ่ายในทันที “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เรียนเชิญทุกท่านเข้าไปด้านในก่อนเถิด”
มู่เฟิงเดินนำกลุ่มคนตระกูลมู่เข้าไปในอาณาเขตของกลุ่มพยัคฆ์เหลือง กระทั่งมาถึงโถงรับรองขนาดใหญ่ มู่เฟิงเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่อยู่ในตำแหน่งประธาน จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงนั่งในทันที
เมื่อเห็นดังนั้นมุมปากของอู๋หู่ก็กระตุกเล็กน้อย นั่นเป็ตำแหน่งของผู้เป็นายของที่นี่อย่างเขา ทว่าเขาก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้
ส่วนผู้าุโระดับสูงคนอื่นๆ ของตระกูลมู่ต่างก็กระจายกันไปยืนอยู่สองข้างฝั่ง ทำให้อู๋หู่ถูกผลักมาอยู่ตรงกลาง
อู๋หู๋รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจอีกด้วย แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม เขามองไปที่มู่เฟิง ก่อนจะกำหมัดและกล่าวขึ้นว่า “คุณชาย ไม่ทราบว่าท่านคือ...?”
การที่อีกฝ่ายได้รับความเคารพจากผู้นำตระกูลมู่อย่างมู่ไห่ หากใครยังคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็เพียงศิษย์ธรรมดาในตระกูลมู่ เกรงว่าคงเป็สุนัขแล้ว
เื้ัตระกูลมู่นั้นยังมีตระกูลหลักที่ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลัง บางทีเด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะเป็คนจากตระกูลหลักก็เป็ได้
มู่เฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พยัคฆ์กำลังเคาะนิ้วลงบนที่พักแขนขณะหรี่ตามองอู๋หู่ โดยไม่สนใจจะตอบคำถามของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
การถูกเด็กหนุ่มผู้หนึ่งจ้องมองเช่นนี้ แม้แต่อู๋หู่ที่เคยผ่านโลกของผู้ฝึกยุทธ์มานานหลายสิบปีก็ยังรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองขึ้นมาชั่วขณะ เหมือนว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีออร่าบางอย่างที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปไม่มี
ซึ่งออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวของเด็กหนุ่มนั้นดูราวกับออร่าของแม่ทัพในกองทัพขนาดใหญ่
เมื่อได้พิจารณามองอู๋หู่อย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รูปลักษณ์ของคนผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับคนที่เขาลงมือสังหารในตรอกเป็อย่างมาก บางทีพวกเขาอาจจะเป็พี่น้องร่วมสายเืกัน
หากเป็เช่นนั้นก็คงไม่สามารถปล่อยคนผู้นี้ไปได้
“เ้ามีพี่น้องร่วมสายเือยู่ใช่หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยปากถามขึ้นมาทันที
อู๋หู่พยักหน้า ก่อนจะตอบว่า “ถูกต้องแล้ว ข้ามีน้องชายคนหนึ่ง อันที่จริงเป็น้องชายของข้าเองที่พากำลังคนไปสร้างปัญหาให้คนของพวกท่าน ก่อนอื่นข้าต้องขออภัยสำหรับเื่นี้ด้วย ว่าแต่ขอเรียนถามคุณชาย ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้น้องชายของข้าอยู่ที่ใดแล้ว?”
“แท้จริงแล้วชายผู้นั้นก็เป็น้องชายของเ้า เขาสบายดี แต่เขาทำร้ายศิษย์ตระกูลมู่ของข้า ตอนนี้ตระกูลมู่ของเราจึงเชิญเขาไปเป็แขกชั่วคราว ไม่ต้องเป็กังวล”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินดังนั้น อู๋หู่ก็นึกขุ่นเคืองในความหุนหันพลันแล่นของผู้เป็น้องชาย แต่ในส่วนลึกเขาก็แอบรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากเป็ตามที่อีกฝ่ายกล่าวมา แสดงว่าเวลานี้อู๋เป้าเพียงถูกควบคุมตัวเอาไว้ในจวนตระกูลมู่เท่านั้น และคงไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากว่าเขายอมจ่ายทรัพย์สินออกไปเสียหน่อย เมื่อทำให้อีกฝ่ายพอใจได้แล้วน้องชายของเขาก็คงจะถูกปล่อยตัวกลับมา
“น้องชายของข้ามักจะกระทำการบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเช่นนี้เสมอ ขอร้องคุณชายโปรดอย่าตำหนิเขา ของสิ่งนี้ข้าตั้งใจมอบให้ท่าน หวังว่าคุณชายจะรับมันเอาไว้ด้วย”
อู๋หู่นำแผ่นทองคำออกมา พลางกล่าวด้วยความเคารพ เขาขอให้ศิษย์ของตระกูลมู่คนหนึ่งนำมันไปมอบให้กับมู่เฟิง
หลังจากมู่เฟิงรับมันมา เด็กหนุ่มก็อมยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ช่างเป็คนที่เข้าใจอะไรง่ายเสียจริง”
เมื่อเห็นว่ามู่เฟิงยอมรับแผ่นทองคำเอาไว้แต่โดยดี อู๋หู่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย มู่เฟิงเดินลงมาหาเขา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือว่าเป็เื่เข้าใจผิดแล้วกัน ข้าจะปล่อยผ่านมันไปสักครั้ง”
อู๋หู่รู้สึกยินดีเป็อย่างมากหลังได้ยินคำกล่าวนั้น จึงรีบกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายในทันที
“อีกเดี๋ยวเ้าส่งคนไปที่จวนตระกูลมู่ เพื่อรับน้องชายของเ้ากลับมาเถอะ”
มู่เฟิงตบลงบนไหล่ของอู๋หู่ขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณคุณชายมากขอรับ!”
อู๋หู่กำหมัดคำนับอีกฝ่าย
ฟ่อ!
แต่ทันใดนั้นสิ่งชีวิตสีขาวตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวพุ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อของมู่เฟิง มันกระโจนเข้าไปกัดแก้มของอู๋หู่อย่างแรง
ชั่วพริบตานั้นมู่เฟิงก็ถอยกลับมาในทันที
“อ๊าก…!”
อู๋หู่กรีดร้องออกมาด้วยความเ็ป หลังจากที่เสี่ยวเทียนกัดเข้าที่แก้มของเขา มันยังฉีดพิษเข้าไปเป็จำนวนมากด้วย ทันใดนั้นร่างของเสี่ยวเทียนก็พลันขยายใหญ่ขึ้นจนความยาวสามฟุตกลายเป็ความยาวเจ็ดถึงแปดเมตรในทันที มันพุ่งตัวเข้าไปกอดรัดร่างของอู๋หู่เอาไว้อย่างรวดเร็วและหนาแน่น
แม้ว่าอู๋หู่จะ้าใช้วรยุทธ์ระดับหนิงกังของตนเพื่อสลัดเสี่ยวเทียนออกไป แต่พิษของมันก็ได้ไหลเข้าสู่สมองของเขาก่อนแล้ว ทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมาชั่วขณะ และไม่สามารถใช้พละกำลังของตนออกมาได้อีก
ร่างของเสี่ยวเทียนโอบรัดร่างของอู๋หู่แน่นขึ้นเรื่อยๆ แรงมหาศาลของมันทำให้กระดูกของอู๋หู่เริ่มปริร้าวและแตกหัก
คนอื่นต่างก็ตกตะลึงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้ มีหลายคน้าจะพุ่งตัวเข้าไปช่วยอู๋หู่ แต่พวกเขากลับถูกมู่จงและเหล่าผู้าุโระดับสูงสังหารทิ้งในทันที
“ทะ ทำไม อ๊าก...!”
อู๋หู่ที่กำลังถูกเสี่ยวเทียนโอบรัดอย่างหนาแน่นเอ่ยถามขึ้นด้วยความโกรธ
“ข้าต้องขอโทษด้วย น้องชายของเ้าได้ตายไปแล้ว ข้ามาลองคิดดูแล้ว เ้าเองก็คงอยากจะตามเขาไปด้วยเช่นกัน”
มู่เฟิงเหลือบมองอู๋หู่ที่ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างหนาแน่น ขณะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็ฟันดาบลงไปในทันที
ศีรษะของอู๋หู่กลิ้งตกลงไปตามพื้น ปลดปล่อยเขาออกจากความเ็ปที่กำลังเผชิญ
เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของทุกคนก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา พวกเขาต่างก็คิดว่าวิธีการของมู่เฟิงนั้นโเี้เกินไป แต่ในทางกลับกันพวกเขาก็ยังรู้สึกชื่นชมในความเด็ดขาดนี้ของเด็กหนุ่ม
สำหรับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์นั้น หากไม่โเี้ก็ไม่อาจยืนหยัดขึ้นมาได้ และคนที่ใจอ่อนนั้นก็มักจะตายเร็ว
มู่เฟิงมองศีรษะของอู๋หู่ที่กลิ้งไปตามพื้นก่อนจะทอดถอนใจออกมา อู๋หู่ผู้นี้ยังไม่สมควรตาย
แต่เขาไม่มีทางเลือก น้องชายของอีกฝ่ายถูกเขาสังหารไปแล้ว หากเขาไม่ชิงสังหารอีกฝ่ายก่อน หลังจากที่อีกฝ่ายทราบความจริง อู๋หู่จะต้องกลายเป็ศัตรูกับมู่เฟิงอย่างแน่นอน
แม้มู่เฟิงจะอายุยังน้อย แต่เขาไม่ใช่พวกหน้าซื่อใจคด เขามีคุณธรรมมากพอที่จะปล่อยศัตรูไปได้ เพียงแต่ต้องดูก่อนว่าศัตรูผู้นั้นเป็ใครและมีสถานะใด
สำหรับพวกที่มีจิตใจอาฆาตแค้นทั้งยังเป็ยอดฝีมือ หากเขาไม่สังหารอีกฝ่ายทิ้งไปเสียในอนาคตอีกฝ่ายจะต้องย้อนกลับมาสังหารเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นการปล่อยคนเช่นนี้ไป ถือเป็การไร้ความรับผิดชอบต่อมิตรสหายและผู้คนที่อยู่ข้างกาย
บนเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเต็มไปด้วยการนองเื และไม่อาจแยกแยะดีเลวจากการกระทำของพวกเขาได้
มู่เฟิงไม่เคยคิดจะเป็คนดี เขาเพียง้าปกป้องตัวเองและคนรอบข้างเท่านั้น
การตายของบิดาและกองทัพทหารตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายจากแผนชั่วในครั้งนั้น ทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มด้านชาไปนานแล้ว
“แม้จะต้องตกนรก ข้าก็จะใช้ดาบในมือปกป้องตัวเองและคนที่รักเอาไว้ให้ได้ ข้ายินดีจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็อสูรกายกระหายเืที่ไร้ความปรานี”
มู่เฟิงเช็ดเืบนดาบขณะพึมพำกับตัวเอง
วีรบุรุษนั้นมักจะตายก่อนเวลาอันควร ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์นี้มีเพียงแต่ต้องอยู่อย่างไร้ความรู้สึก เยือกเย็น ทะเยอทะยานและโเี้เท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตได้อย่างยืนยาว...