ใกล้กับสำนักเชินมีวัดเทียนเหรินตั้งอยู่
วัดแห่งนี้เคร่งครัดยิ่ง ธูปเทียนก็ล้วนเลื่องชื่อจนสามารถเรียกได้ว่าเป็วัดอันดับหนึ่งของแคว้น
ราชวงศ์ยาม้าจะจัดงานพิธีกรรมก็ล้วนแต่มาจัดที่วัดเทียนเหรินแห่งนี้
ชนชั้นสูงก็เป็เช่นนี้
ทว่าไม่นานมานี้ใกล้วัดเทียนเหรินมีวัดเล็กๆ แห่งใหม่มาสร้างอยู่ใกล้กัน
ด้านในวัดแห่งนั้นเมื่อเข้าไปแล้วก็จะพบกับลานเล็กๆ และเรือนสองหลังขนาบข้างกัน
ถัดจากลานเล็กๆ จะเป็โถงใหญ่ที่ตรงกลางมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ทั้งยังมีธูปเทียนสำหรับใช้บูชาถูกจุดไว้
หน้าพระพุทธรูปยังมีเบาะกลมปูเรียงไว้อย่างเป็ระเบียบอีกสองแถว
ด้านหลังโถงใหญ่แห่งนี้คือเรือนของเหล่าภิกษุ
ข้างหน้าเรือนยังมีแปลกผักเล็กๆ อีกแปลงหนึ่ง
วัดแห่งนี้ถูกสร้างไว้ในตำแหน่งที่เรียกได้ว่า แสนจะเ้าเล่ห์
ตำแหน่งของที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ ที่ตรงกับวัดเทียนเหรินพอดิบพอดี
ตำแหน่งของเรือนที่เหล่าภิกษุอาศัยอยู่ก็ช่างบังเอิญนัก มีอยู่หลังหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างไว้นอกยอดเขา โดยใช้ไม้สร้างให้เรือนหลังนั้นยื่นออกมาด้านนอก
ดังนั้นวัดแห่งนี้ถึงแม้จะเล็ก แต่ก็ดูประณีตงดงาม
ทว่าธูปเทียนของที่นี่ค่อนข้างจะอ่อน ปกติแล้วจึงไม่ค่อยมีใครเดินทางมาเท่าใด
พระที่ประจำอยู่ที่วัดจึงมีเพียงภิกษุชราและศิษย์อีกสองคน
ภิกษุหนุ่มรับหน้าที่ตัดไม้ ต้มน้ำ ทำอาหาร และปลูกผัก
ส่วนเณรน้อยก็รับหน้าที่ช่วยงานภิกษุหนุ่ม
ทางภิกษุชรารับหน้าที่คอยกวาดพื้น
ยามที่ภิกษุชรากวาดลานวัดอยู่ ธูปเทียนของวัดเทียนเหรินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามก็พลอยมีควันลอยมาให้เห็น กระทั่งกลิ่นหอมของมันก็ยังได้กลิ่นชัดเจน
เมื่อภิกษุหนุ่มรำเพลงมวยจบไปรอบหนึ่ง ก็เริ่มลงมือผ่าฟืนเพื่อทำอาหาร
ส่วนเณรน้อยที่ยังงัวเงียอยู่ก็ลุกขึ้นมาจุดธูปจุดเทียน แล้วเริ่มสวดมนต์ไปพร้อมกับเคาะปลาไม้
กิจวัตรของเหล่าภิกษุทั้งสามในทุกๆ วันก็เป็เช่นนี้
เพราะไม่มีใครมาจุดธูปที่วัดแห่งนี้ เณรน้อยจึงไม่ชอบสวดมนต์หน้าพระพุทธรูป เขาชอบสวดมนต์ในเรือนที่ยื่นออกมามาจากยอดเขามากกว่า
ยามนั่งอยู่บนเบาะกลมเพื่อสวดมนต์แล้วเงยหน้าขึ้น ก็สามารถเห็นใบไม้ที่ลู่ตามกระแสลมได้
ทั้งยังมองเห็นูเาที่อยู่แสนไกล
บางคราก็มีเสียงนก เสียงแมลงร้องแว่วมา
หรือกระทั่งบางคราเสียงท่องตำราของเหล่าบัณฑิตในสำนักเชิน ก็แว่วดังมาถึงที่นี่เช่นกัน
เสียงท่องตำราสำหรับเขาแล้วน่าฟังกว่าเสียงสวดมนต์เป็ไหนๆ
บทสวดมนต์ในตำราเขาล้วนแต่ท่องจำได้หมดแล้ว บัดนี้ไม่จำเป็ต้องดูตำรา ก็สามารถท่องให้ฟังได้
เมื่อวานยามที่ลองแข่งกับท่านอาจารย์ ท่านยังกล่าวว่ายอมแพ้เขาแล้ว
ทว่าผลแพ้ชนะจริงๆ เป็อย่างไร ท่านอาจารย์กลับไม่ได้บอก
เณรน้อยที่นั่งขัดสมาธิสวดมนต์อยู่ อยู่ดีๆ ก็พลันรู้สึกเบื่อหน่าย
ูเาลูกนี้จริงๆ แล้วไม่ว่าอะไรก็ดีทุกอย่าง ยกเว้นแต่ว่าที่นี่ไม่มีน้ำใช้
จำเป็ต้องลงไปหาบน้ำเอง
สือชีคิดว่าท่านอาจารย์จงใจเลือกที่แห่งนี้
การหาบน้ำนับว่าเป็การฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นูเาลูกนี้ก็จะนับว่าสงบสุขเกินไป
เมื่อฉันอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
เณรน้อยจึงขออาสาไปหาบน้ำให้ทุกคน
ภิกษุชราไม่ได้คัดค้าน
ภิกษุหนุ่มอาปารู้ดีว่าศิษย์น้องแม้จะร่างกายผอมบาง ทว่าเรี่ยวแรงกลับมีมากอย่าบอกใคร เขาที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ยามงัดข้อกับศิษย์น้องก็ยังพ่ายแพ้อยู่เสมอ เช่นนั้นเขาจึงไม่คัดค้านน้ำใจของศิษย์น้องเช่นกัน
เณรน้อยเมื่อเห็นว่าทุกคนตกลงก็แบกถังออกเดินทางไปหาบน้ำ
ศีรษะล้านเกลี้ยง ไม้หาบ ถังไม้ และเส้นทางบนูเาที่แสนจะคดเคี้ยว รวมกันเป็ภาพของเณรน้อยที่ออกเดินอย่างมีความสุข
เณรน้อยะโผ่านโขดหิน ผ่านลำธารสายน้อย ยิ่งเดินไปก็ยิ่งเข้าใกล้ตาน้ำบนูเา ทว่าก็ยิ่งเข้าใกล้สำนักเชินด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงทางแยก เณรน้อยก็พลันรู้สึกลังเลขึ้นมา
หากเลี้ยวซ้ายจะเป็ตาน้ำ แต่หากเลี้ยวขวาก็จะเป็สำนักเชิน
ในใจของเณรน้อยพลันรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาจนต้องพึมพำ “อมิตาพุทธๆ” ก่อนขาข้างหนึ่งจะออกก้าวไปทางสำนักเชินโดยไม่รู้ตัว
ร่างน้อยสาวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า
เณรน้อยที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางป่าดูคล้ายกับวานรตัวหนึ่งที่กำลังแบกถังน้ำวิ่งออกมา
ทหารคุ้มกันของสำนักเชินเข้มงวดนัก แต่ทางที่เณรน้อยกำลังเดินอยู่เป็ทางด้านหลังูเา
ด้วยเพราะตาน้ำก็อยู่บริเวณด้านหลังสำนักเชินด้วยเช่นกัน
ไม่นานนักเณรน้อยก็เกือบจะเดินทะลุผืนป่าเขียวชอุ่มที่ขวางกั้นเอาไว้
เมื่อเดินไปจนพบกับหน้าผาตรงดิ่ง เณรน้อยก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ทว่าครู่ต่อมาดวงตากลมโตของเณรน้อยก็พลันจ้องเขม็ง บนหน้าผายังมีเถาวัลย์อยู่
เขาจึงวางถังไม้ที่แบกมาลง แล้วไต่ไปตามแนวเถาวัลย์
ไต่ไปก็สวดมนต์ที่ตนท่องจำได้ขึ้นใจไป
ไม่นานก็ไต่มาจนสุดหน้าผา
เสียงหัวเราะครื้นเครงแว่วดังขึ้น
เสียงเ่าั้เจือมาด้วยเสียงท่องตำรา
เณรน้อยนั่งลงข้างหน้าผาอย่างเคลิบเคลิ้ม
ที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน
เหมือนกับว่าจะสามารถมองเห็นวัดเล็กๆ ที่ตนอาศัยอยู่ เห็นอาปาที่กำลังผ่าฟืน และเห็นท่านอาจารย์ที่กำลังสวดมนต์อยู่
อีกทั้งบริเวณตาน้ำยังมีน้ำตก
สายน้ำโปร่งใสไหลลงจากที่สูงกระทบกับพื้นด้านล่างกลายเป็สีขาว
เมื่อกระทบกับแสงตะวันก็ปรากฏให้เห็นสีสันสดใส
ชายจีวรของเณรน้อยยามสายลมพัดผ่านก็ส่งเสียงพึ่บพั่บ
เมื่อยืนตากลมอยู่ครู่หนึ่ง เณรน้อยก็ตามหาห้องเรียนห้องหนึ่ง เช่นเดียวกับยามสวดมนต์ เขาค่อยๆ หย่อนร่างนั่งลงบนพงหญ้าท้ายห้องเรียน ฟังท่านอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ ฟังเหล่าบัณฑิตที่กำลังตอบคำถามอย่างเคลิบเคลิ้ม
่เวลานี้ที่ไม่มีอมิตาพุทธ ไม่มีท่านอาจารย์ ไม่มีวัด ไม่มีทุ่งหญ้า ไม่มีการฆ่าฟัน
เมื่อแสงแดดค่อยๆ สาดส่องลงบนยอดเขา
ท่านอาจารย์ก็ใช้ไม้เคาะสองสามที แล้วประกาศให้เลิกเรียน
เหล่าบัณฑิตก็พากันทำความเคารพ กล่าวลาท่านอาจารย์ของตน
เมื่อท่านอาจารย์จากไปแล้ว เหล่าบัณฑิตก็พากันคึกคัก
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงพลันดังขึ้น
พู่กันด้ามหนึ่งไม่รู้ลอยมาจากที่ใดหล่นลงบนศีรษะล้านเกลี้ยงของเณรน้อย
เขาจึงเพิ่งคิดได้ว่าตนยังต้องหาบน้ำ
ร่างน้อยพลันผุดลุกยืนขึ้น แล้วปีนแนวเถาวัลย์กลับไป เมื่อเจอถังไม้ของตนแล้วก็รีบวิ่งไปตักน้ำทันที
เด็กชายที่ออกมาเก็บพู่กันก็เห็นว่าพู่กันของเขาตกอยู่กลางพงหญ้ากองหนึ่ง พงหญ้าแบนราบไปกับพื้นดินราวกับมีตัวอะไรสักอย่างกดทับไว้
เณรน้อยเมื่อตักน้ำแล้ว ก็รีบวิ่งกลับไปยังวัดทันที
จีวรของเณรน้อยที่วิ่งอยู่กลางป่าพลิ้วสะบัดไปตามลม
……
นายท่านสามเดินทางมาถึงก่อนใคร เขาเดินทางรวดเร็วราวกับโบยบินเข้ามาในเมืองเพื่อจัดหาที่พักเอาไว้ก่อน
เรือนที่เขาเลือกนับว่าดีที่สุด
เมื่อดูจากพื้นที่ก็รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงนัก
บริเวณรอบวังหลวงล้วนแต่เป็จวนของเหล่าขุนนาง และคนในราชวงศ์
ราคาของเรือนเหล่านี้ย่อมแพงหูฉี่
นายท่านสามชอบสะสมเงินทอง ทั้งยังโลภเหลือเกิน เดิมทีเขาคิดว่าจะเลือกซื้อเรือนธรรมดาสักหลัง ถึงอย่างไรเื่หลักที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อส่งเด็กๆ เข้าเรียน
ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าใช้เงินมากถึงเพียงนี้ เพื่อซื้อเรือนหลังนี้
กระทั่งหลัวอู๋เลี่ยงก็ใไม่น้อย
ทำเลต่างกัน ราคาก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เรือนที่นายท่านสามเลือก เกรงว่าจะแพงกว่าเรือนที่อยู่ชานเมืองถึงสิบเท่า
ด้วยเพราะที่ดินแถวนี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็ที่ดินพระราชทาน ไม่อาจซื้อมาได้โดยง่าย
นายท่านสามยืนอยู่หน้าประตูมองแม่นางหลัวที่ลงมาจากรถม้าพร้อมใบหน้าตื่นตะลึง ในใจของเขาก็อดจะรู้สึกเบิกบานขึ้นมาไม่ได้
ทว่าในคราแรกที่เขาเลือกเรือนหลังนี้ ก็ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
เรือนหลังนี้แม้จะแพงหูฉี่ ทว่ากลับตั้งอยู่ตรงใจกลางทั้งยังเป็เรือนที่อยู่ใกล้วังหลวงที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้แล้ว หากพลาดโอกาสนี้ไปกว่าจะหาทำเลงามเช่นนี้ได้อีกคงจะยากเย็นแล้ว
ความจริงเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก เมื่อผ่านเื่ราวกันมาถึงขนาดนี้ เขาจึงได้รู้ว่าอู๋เลี่ยงมิใช่บุตรสาวของพ่อค้าอย่างแน่นอน กิริยาของนางดูสง่างามเสียยิ่งกว่าเหล่าสตรีในครอบครัวขุนนางที่ถูกเนรเทศมาเสียอีก
ยิ่งเขารู้จักนางมากเท่าใด เขาก็ยิ่งชอบนางมากเท่านั้น ทว่าก็ยิ่งพบว่าเขาช่างไม่คู่ควรกับนาง
ดังนั้นจึงหวังว่าตนจะสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นางได้
เช่นเดียวกันกับเรือนหลังนี้ที่เขาใช้นามของนางในการซื้อ
และเพื่อให้นางเบิกบานใจ ข้าวของที่ประดับตกแต่งด้านใน เขาล้วนแต่ตั้งใจสอบถามมาว่าชนชั้นสูงไม่ใคร่จะชอบของที่ใหม่เกินไปนัก มักจะชอบข้าวของที่ดูผ่านกาลเวลามาสักระยะหนึ่ง ดังนั้นข้าวของในเรือนจึงล้วนแต่เป็ของโบราณที่ราคาแพงเสียยิ่งกว่าของใหม่เสียอีก
นายท่านสามยามใช้เงินไม่มีแม้แต่ท่าทีอาวรณ์ ใช้จ่ายราวกับน้ำก็ว่าได้
ทั้งหมดก็เพื่อรอวันนี้ วันที่จะได้เห็นใบหน้าตื่นใของอู๋เลี่ยง
หลัวอู๋เลี่ยงยืนอยู่หน้าเรือน เมื่อเห็นป้ายใหญ่โตที่มีตัวอักษรเขียนไว้้าว่าจวนหลัว สีหน้าของนางพลันแปลกประหลาด เพราะสุดถนนสายนี้ก็มีจวนหลังหนึ่งที่เขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้หน้าประตูว่าจวนหลัวเช่นกัน
