ผู้ไร้เทียมทาน ไก้อู๋ซวง!
หญิงสาวคนนี้ที่เกิดจากไข่ัทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างมาก
นางมีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้
พลังวรยุทธ์ของนางก็ไม่มีใครเทียบได้เช่นกัน
นางเอื้อมมือไปคว้าเปลือกไข่ัที่แตกและร่วงลงมาดั่งดวงดาวเ่าั้ ทำให้เปลือกไข่ที่แตกเ่าั้หยุดอยู่ที่เดิม จากนั้นเปลือกไข่ก็กลายเป็ริ้วแสงดาว และลอยขึ้นไปเหนือศีรษะของไก้อู๋ซวง นางลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่นางเคลื่อนไหวร่างกาย เศษเปลือกไข่เ่าั้ก็กลายเป็ถุงมือตาข่ายสีแดงคู่หนึ่ง
เมื่อไก้อู๋ซวงยื่นมือออกมา ถุงมือสีแดงก็ลอยเข้าไปที่มือของนาง
“สมบัติวิเศษ!” หลัวเลี่ยพูดเสียงเบา
ใช่แล้ว ถุงมือสีแดงที่ทำจากเปลือกไข่นี้เป็สมบัติวิเศษ มีพลังอยู่ในระดับเดียวกับธนูซวนิของหลัวเลี่ย ซึ่งถุงมือสีแดงนี้เป็อาวุธวิเศษที่ช่วยเสริมพลังในการต่อสู้ของไก้อู๋ซวง
ข่งเยวี่ยเจินอ้าปากค้าง นางอดไม่ได้ที่จะมองไปยังไก้อู๋ซวงด้วยความอิจฉา
ถุงมือคู่นั้นคล้ายกับถูกร่ายเวทจนทำให้มันรวมตัวกลายเป็ถุงมือได้
แต่ในสายตาของหลัวเลี่ย มันดูเหมือนจะไม่ใช่ถุงมือที่มาจากการร่ายเวท แต่เป็สมบัติที่มาพร้อมกับไก้อู๋ซวง ดังนั้นแน่นอนว่าสมบัติดังกล่าวย่อมมีศักยภาพในการพัฒนาต่อไปได้ และอาจกลายเป็อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต
“คู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับข้าปรากฏกายขึ้นแล้ว” หลัวเลี่ยมองไปยังไก้อู๋ซวงด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะต่อสู้
ก่อนหน้านี้คู่ต่อสู้เพียงคนเดียวที่เขาพบว่ามีความสามารถเทียบเท่าเขาคือเมิ่งชิงหลง และตอนนี้ไก้อู๋ซวงก็คือคนที่สองแล้ว
“คู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับเ้า?” ข่งเยวี่ยเจินเอียงศีรษะและมองไปที่หลัวเลี่ย จากนั้นนางก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “เ้าคงไม่ได้อยากจะเอาชนะนาง เพื่อให้นางมาอยู่ใต้อาณัติของเ้าหรอกนะ”
หลัวเลี่ยกลอกตาและพูดว่า “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น”
ข่งเยวี่ยเจินเม้มริมฝีปากและพูดว่า “ชิ! เ้าคงกำลังสร้างภาพอยู่ละสิ เ้ามองดูรอบๆ นี่สิ”
ข่งเยวี่ยเจินชี้ไปรอบๆ
หลัวเลี่ยมองไปตามปลายนิ้วของนาง แล้วเขาก็พบว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดใจ พวกเขาส่วนใหญ่มองความงามของไก้อู๋ซวงแล้วถึงกับน้ำลายไหล
“ก็เป็ผู้ชายนี่นะ” ข่งเยวี่ยเจินคล้ายดูถูกเหยียดหยาม
หลัวเลี่ยไม่ได้พยายามอธิบาย เพราะเขาคิดว่าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์
หลังไก้อู๋ซวงสวมถุงมือสีแดงแล้ว นางก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง “ข้า ไก้อู๋ซวง ถือกำเนิดมาจากฟ้าดิน และได้รับพลังมาจากแก่นแท้แห่งธรรมชาติ จนตอนนี้พลังของข้าได้เข้าสู่ระดับหยินหยางแล้ว แม้ว่าข้าจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ข้าก็ยัง้าคนมาชี้แนะ ดังนั้นเมื่อวันนี้ข้าได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว ข้าก็อยากจะเลือกอาจารย์สักคนหนึ่งมาให้คำปรึกษาข้า”
เกิดความโกลาหลไปทั่ว
ไก้อู๋ซวง้าเลือกอาจารย์!
ด้วยตัวตน ภูมิหลัง และการแสดงความสามารถของนาง ทำให้นางมีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็เทพได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะมีกองกำลังใดไม่้ามีศิษย์ที่มีพลังเช่นนี้
นั่นเป็เหตุผลที่หลายคนใ
หลัวเลี่ยขมวดคิ้ว “บ้าจริงๆ”
“นี่เป็มากกว่าความบ้าคลั่ง มันคือความท้าทาย นางอ้างว่ามีศักยภาพและมีความแข็งแกร่ง แต่ตรงจุดนี้ก็ยังมี ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ที่ได้รับการยกย่องจากเทพ และพี่หลัวเลี่ยที่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนิได้ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งล้วนเป็สิ่งที่นางอาจทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” ข่งเยวี่ยเจินพูดอย่างโกรธจัด
และมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นเดียวกับนาง
นางดูหยิ่งยโส และมั่นใจในตนเองเกินไป จนผู้คนรู้สึกว่านางช่างบ้าคลั่ง
ไก้อู๋ซวงเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์ที่อยู่รอบตัวนาง และปฏิบัติราวกับผู้อื่นเป็อากาศ นางพูดขึ้นอีกครั้ง “อาจารย์ของข้าต้องเป็ผู้ที่มีพลังระดับบรรพชน หากไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับบรรพชน ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็อาจารย์ของข้าได้ ดังนั้นใต้หล้านี้ คนที่จะมาเป็อาจารย์ของข้าได้จึงมีเพียงสี่คนเท่านั้น”
“คนแรกคือบรรพชนลำดับที่หนึ่ง ข่งเซวียน!”
“คนที่สองคือผู้ลึกลับ บรรพชนลู่ยา!”
“คนที่สามคือผู้ที่มีความละเอียดอ่อน บรรพชนตัวเป่า!”
“คนที่สี่คือบรรพชนแห่งา บรรพชนอูอวิ๋นเซียน!”
“บรรพชนทั้งสี่ถือได้ว่าเป็บรรพชนที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าบรรพชนคนอื่น และคนที่ข้าเลือกเป็อาจารย์ก็คือบรรพชนอูอวิ๋นเซียน เพราะในไม่ช้าต้องมีสักวันที่บรรพชนอูอวิ๋นเซียนจะเหนือกว่าบรรพชนอีกสามคนนั้นได้อย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นบรรพชนอูอวิ๋นเซียนก็จะกลายเป็บรรพชนลำดับหนึ่งที่จะขึ้นเป็เทพในอนาคตได้”
ผู้คนทั้งหลายต่างตกอยู่ในความโกลาหลและมีอารมณ์เดือดพล่าน
บางคนะโใส่ไก้อู๋ซวงอย่างโกรธเกรี้ยว
บางคนเยาะเย้ยเพราะคิดว่าไก้อู๋ซวงมั่นใจเกินไป
และบางคนก็แสดงออกว่าหลงเสน่ห์ของไก้อู๋ซวง
บางคนถึงกับไม่พอใจที่ไก้อู๋ซวงจัดอันดับบรรพชนด้วยความคิดของตนเอง สิ่งนี้ทำให้คนจำนวนมากทนไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียบรรพชนอูอวิ๋นเซียนก็เคยพ่ายแพ้ให้กับข่งเซวียน ส่วนบรรพชนลู่ยาและบรรพชนตัวเป่าก็ลึกลับเกินไป ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน และแน่นอนว่าศิษย์ของพวกเขาย่อมไม่้าที่จะอยู่ในอันดับรั้งท้าย
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงต่างก็เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด
“พวกเ้าไม่จำเป็ต้องตื่นเต้น” ไก้อู๋ซวงมองลงไปที่ผู้คนทั้งหมด “หากมีใครไม่ยอมรับ ก็สามารถมาท้าประลองกับข้าได้ และก่อนข้าจะอายุยี่สิบปี ข้าจะกวาดล้างพวกเ้าทั้งหมดเอง และเมื่อข้าอายุสามสิบ ข้าก็จะไปถึงระดับบรรพชนให้ได้!”
ประโยคนี้ของนางคล้ายกับมีมนตร์วิเศษ
เพราะทันทีที่นางพูดประโยคนี้จบ เสียงที่ดังเ่าั้ก็เงียบลงทันที
“ข้า บรรพชนอูอวิ๋นเซียน ยอมรับไก้อู๋ซวงเป็ศิษย์อย่างเป็ทางการ”
พรึ่บ!
ทันใดนั้นผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงก็เงียบทันที
ไม่มีใครคาดคิดว่าบรรพชนอูอวิ๋นเซียนจะปรากฏตัว และประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขาจะรับไก้อู๋ซวงเป็ศิษย์ของเขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไก้อู๋ซวงก็ยังคงลอยอยู่ในอากาศต่อไป
ศิษย์จำนวนไม่น้อยที่เป็คนของตระกูลอูอวิ๋น ซึ่งบางคนก็เป็ปรมาจารย์ที่มีพลังอยู่ในระดับกายทองคำ ต่างพากันก้าวออกมาทีละคน แล้วโค้งคำนับไก้อู๋ซวงเพื่อแสดงถึงความเคารพ
“คำนับบรรพจารย์อา!”
ไก้อู๋ซวงพยักหน้า จากนั้นนางก็หันไปยังสถานที่ที่บรรพชนอูอวิ๋นเซียนยืนอยู่ และแสดงความเคารพ “ศิษย์ไก้อู๋ซวงคำนับท่านอาจารย์”
จากนั้นเสียงของอูอวิ๋นเซียนก็ดังขึ้น “แม้ว่าเ้าจะถูกสร้างขึ้นมาจากพลังแห่งธรรมชาติ ทว่าเ้าก็กำเนิดมาจากการชำระเืเนื้อของแคว้นเหยียนหลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นฮ่องเต้แห่งแคว้นเหยียนหลงก็นับได้ว่าเป็บิดาของเ้า ข้าให้เวลาเ้าสามเดือน จงสานสัมพันธ์กับบิดาของเ้าเสีย แล้วจากนั้นจึงค่อยมาฝึกฝนกับข้าในภายหลัง”
“เ้าค่ะ!”
แม้ว่าไก้อู๋ซวงจะหยิ่งยโส แต่เมื่อนางได้รับคำสั่งจากอาจารย์แล้ว นางก็ย่อมต้องปฏิบัติตาม เพื่อแสดงถึงความเคารพในตัวอาจารย์ของนาง
หลังจากพลังที่ก่อตัวเป็ร่างของบรรพชนอูอวิ๋นเซียนสลายไป ไก้อู๋ซวงก็ลอยลงมาจากท้องฟ้า และลอยลงไปในวังหลวง
ด้วยความตื่นเต้น ฮ่องเต้แห่งแคว้นเหยียนหลงจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งถือเป็การเรียกขวัญและกำลังใจให้แก่ชาวแคว้นเหยียนหลง
หลัวเลี่ย ข่งเยวี่ยเจิน และคนอื่นๆ ค่อยๆ ลอยลงมาสู่พื้นดิน
“ฮ่องเต้แห่งแคว้นเหยียนหลงดูจะมีความสุขเกินไปแล้ว หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งและเ้าเล่ห์เช่นนี้ แม้ว่านางจะมีบรรพชนอูอวิ๋นเซียนคอยสั่งสอนอยู่ แต่ข้าก็เกรงว่านางอาจจะนำมาซึ่งหายนะมากมาย” หลัวเลี่ยกล่าว
“เหอะ! ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว ถ้าข้ามีโอกาส ข้าสัญญาว่าจะต้องสั่งสอนนางอย่างแน่นอน และบอกให้นางรู้ว่ายังมีคนที่เหนือกว่านางอีกมามาย” ข่งเยวี่ยเจินกำหมัดแน่น นางค่อนข้างไม่พอใจในตัวไก้อู๋ซวง
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า “เ้าอย่ายั่วโมโหนางจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเ้า แต่เป็เพราะว่าไก้อู๋ซวงได้รับการยอมรับเป็ศิษย์ของบรรพชนอูอวิ๋นเซียน ดังนั้นการจะจัดการกับนางย่อมไม่ใช่เื่ง่าย”
ข่งเยวี่ยเจินระงับคำพูดของนางทันที เพราะภายในใจของนางก็รู้เช่นกันว่านางไม่อาจดูถูกไก้อู๋ซวงได้
ในเวลานี้พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว ข่งเยวี่ยเจินที่ไม่มีความสุขและไม่อยากฝึกฝนต่อ จึงออกไปเดินเลือกซื้อของกับสาวใช้ของนางเพื่อเป็การพักผ่อนแทน
หลัวเลี่ยแยกตัวกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อฝึกฝนต่อ เมื่อเขาได้เห็นไก้อู๋ซวง เขาก็รู้สึกกดดันมากขึ้น นางย่อมเป็คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างแน่นอน นอกจากนี้นางยังนำหน้าเขาอยู่หนึ่งก้าว ตอนนี้นางมีพลังอยู่ในระดับหยินหยางแล้ว แต่เขากลับมีพลังอยู่เพียงระดับผู้ฝึกตนระดับที่สิบ ดังนั้นเขาต้องรีบฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเองให้เร็วที่สุด
หลัวเลี่ยฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็เวลาเจ็ดถึงแปดวัน เขาฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่ได้ออกจากห้องเลย แม้แต่ข่งเยวี่ยเจินก็ไม่ได้เข้ามารบกวนเขา แต่เื่นี้ก็ทำให้เขากังวลมาก
การฝึกฝนที่ตึงเครียดนี้เห็นผลได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขาสามารถไปถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบ ซึ่งถือได้ว่าห่างจากระดับหยินหยางเพียงน้อยนิดเท่านั้น และเื่นี้คงต้องเพิ่งเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
แต่หลัวเลี่ยก็ยังไม่ได้รับข่าวสารใดๆ จากข่งไท่โต้ว ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่ภพจิตัเพื่อรอฟังข่าวจากเย่เิหลง ซึ่งเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะได้เห็นเย่เิหลงรออยู่ที่นี่ทันทีที่เขามาถึงเรือนพเนจร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้