บรรยากาศในหอจุ้ยฮวนมีชีวิตชีวามาก เพราะได้มีการประกาศแล้วว่าพิธีประชันสาวงามจะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้ เหล่าหญิงสาวต่างแข่งขันกันเพื่อครองตำแหน่งคณิกาชั้นสูง ผู้ชนะจะได้รับการยกย่องว่าเป็สาวงามอันดับหนึ่ง หอจุ้ยฮวนวันนี้จึงมีชีวิตชีวามากกว่าปกติหลายเท่า
สำหรับเหล่าหญิงสาวที่ต้องแข่งขันกันตลอดเวลา สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดคือกลอุบาย
ณ ศาลาฉีอวิ๋น
อวิ๋นจื่อยังคงทำตัวสบายๆ
หงจินที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “คุณหนู เราต้องเตรียมการบางอย่างหรือไม่เ้าคะ? สาวๆ ในหอจุ้ยฮวนกำลังวุ่นวายกันยกใหญ่”
อวิ๋นจื่อใและถามว่า “เตรียมการอะไร? มีอะไรต้องทำหรือ?”
จากนั้นหงจินก็เริ่มอธิบาย ส่วนไป๋จื่อและหงหลิงยืนฟังเงียบๆ
นายบ่าวพูดคุยกันสักพัก เมื่อหงหลิงเติมชาให้อวิ๋นจื่อ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “คุณหนูอยากเป็คณิกาชั้นสูงหรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อยิ้มบางๆ และพยักหน้า
หงหลิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถ้วยชาในมือของนางตกลงบนพื้น อวิ๋นจื่อมองหงหลิงอย่างระมัดระวัง รอว่านางจะกล่าวอะไรต่อ
น้ำเสียงของหงหลิงค่อนข้างลังเล นางกล่าวว่า “คุณหนูไม่จำเป็ต้องเตรียมการใดๆ เลย ด้วยคุณสมบัติของคุณหนู ท่านย่อมครองตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย”
อวิ๋นจื่อคิดว่าคำพูดของหงหลิงฟังดูน่าขบขันเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้้าห้ามปราม แต่สุดท้ายสิ่งที่หงหลิงกล่าวออกมาก็ไม่ได้ตรงกับใจนัก
อวิ๋นจื่อไม่สนใจ นางกำลังครุ่นคิดว่าจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสีแดงดีหรือไม่ จากนั้นนางก็เปลี่ยนเื่และพูดคุยหยอกล้อกับเหล่าสาวใช้ของนาง พวกนางกำลังเดาว่าเย่เช่อจะมาถึงเมื่อไหร่
อวิ๋นจื่อสั่งให้สาวใช้สองสามคนแต่งองค์ทรงเครื่องให้นาง จากนั้นนางก็หยิบกระดาษออกมาและเขียนบางอย่างลงไป
เย่เช่อเดินเข้ามาเงียบๆ เขายังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำอันเป็เอกลักษณ์
เขาดูดีมากเวลาสวมเสื้อผ้าสีดำ
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นจื่อคิดว่าเขาดูดีกว่าเวลาสวมเสื้อผ้าสีขาว
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “เรากำลังพูดถึงคุณชายอยู่พอดี บังเอิญจริงๆ”
เย่เช่อยิ้ม “ช่างบังเอิญที่ใจเราตรงกัน”
อวิ๋นจื่อยื่นกระดาษให้เย่เช่อและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีบางอย่างต้องบอกท่าน”
เย่เช่อแตะจมูกของนางและกล่าวเบาๆ “เกี่ยวกับพิธีประชันสาวงามที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่? ไม่ต้องกังวล ข้าขอให้ซูเจินเตรียมพร้อมแล้ว เ้าไม่จำเป็ต้องทำอะไร แค่อยู่กับข้าก็พอ”
ทั้งสองใกล้ชิดกันมาก และหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
อวิ๋นจื่อก้าวถอยหลังเล็กน้อย “เย่เช่อ ท่านทำให้ข้านึกถึงคำกล่าวหนึ่ง”
เย่เช่อมองนางอย่างอ่อนโยนและถามว่า “คำกล่าวอะไรหรือ?”
อวิ๋นจื่อเหลือบมองเย่เช่ออย่างลังเลและกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า
“หญิงงามคือหายนะ”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวังครั้งนั้นไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อถูกล่อลวงจากหญิงงามมาเป็เวลาหลายปีหรือ? แม้จะมีฮองเฮาผู้สูงส่ง เพรียบพร้อม ทั้งธิดาก็น่ารัก แต่ยังไม่สามารถหักห้ามใจจากสตรีผู้มีใบหน้าเย้ายวนนั้นได้
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน อีกทั้งยังมีความเศร้าโศกผสมกับความเ็ป เขาอาจไม่เคยรู้ว่านางรู้สึกอย่างไรตอนที่นางหลบหนีออกจากวัง
เย่เช่อหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “ถ้าหญิงงามนั้นเป็เ้า ข้าเต็มใจ”
อวิ๋นจื่อรู้สึกโล่งใจ “ท่านพูดจริงหรือ?”
เย่เช่อกล่าวว่า “ย่อมจริงแน่นอน”
ดวงตาของเขาสดใสและชัดเจน มันสะท้อนถึงความอ่อนโยนราวกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิซึ่งสามารถละลายน้ำแข็งและหิมะในฤดูหนาวได้
แท้จริงแล้วเย่เช่อเป็คนที่อบอุ่นมาก
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าความสุขในใจของนางกำลังเอ่อล้น นางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเชื่อทุกสิ่งที่คุณชายพูด”
เย่เช่อตอบรับอย่างนุ่มนวล “ข้าจะไม่มีวันทำให้เ้าผิดหวัง”
ถึงแม้ฤดูใบไม้ผลิจะยังมาไม่ถึง แต่ในวันนี้ดอกไม้แย้มกลีบและเบ่งบาน บ่งบอกว่าฤดูใบไม้ผลิของศาลาฉีอวิ๋นมาถึงแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน และเย่เช่อก็ไม่เต็มใจที่จะจากไป
“ข้าอาจต้องกลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งอีกครั้ง” เย่เช่อกล่าวด้วยสายตาที่ร้อนแรง
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “ระยะทางจากหยงโจวไปอวิ๋นเมิ่งนับว่าไกลพอสมควร ดูแลตัวเองให้ดี ขอให้ท่านเดินทางอย่างปลอดภัย”
เย่เช่อกล่าวว่า “ความปลอดภัยของข้าไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยและความสุขของเ้า”
เขากล่าวด้วยความจริงใจจนอวิ๋นจื่อรู้สึกว่ากำแพงในใจของนางกำลังจะพังทลายลงด้วยคำพูดเดียวเท่านั้น
นางไม่กล่าวอะไรอีกแต่มอบรอยยิ้มแสนหวานให้เขาแทน
เย่เช่อมองนางอย่างเสน่หาก่อนจากไป
…
ณ จวนผู้ว่าการ
ซูเจินกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว เมื่อเย่เช่อเข้ามาเขาก็ไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งเย่เช่อหยิบจอกสุราออกจากมือเขา ซูเจินอุทานออกมาด้วยความโกรธว่า “เ้าจะทำอะไร? เ้าจะกลับไปที่อวิ๋นเมิ่งหรือ? อยากให้ข้าไปด้วยหรือไม่? แล้วฮั่วฉีอวี่หายหัวไปไหน?”
เย่เช่อแย่งจอกสุราและไหสุรามาจากซูเจินและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ซูเจิน เ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ สถานการณ์ของข้ายากลำบากเกินไป ตอนนี้น้องชายต่างมารดากำลังหาเื่ให้ข้าไม่เว้นวัน ข้าจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เ้า้าของหวานหรือไม่จะได้สร่างเมา?”
ดวงตาดอกท้อของซูเจินทอประกายงดงาม มุมปากของเขากระตุกเบาๆ ในขณะที่กล่าวว่า “เหตุใดเ้าถึงกระวนกระวายนัก? หากปี้เหยียนอยู่กับข้า นางย่อมไม่เป็อะไรแน่ หากเย่เหยียนกล้าปีนขึ้นมาบนศีรษะข้า เขาต่างหากที่จะเป็ฝ่ายเสียใจ เ้าก็รู้จักนิสัยของข้าดี ข้ามีเป็พันเป็หมื่นวิธีที่จะฆ่าเขา นอกจากนี้ ปี้เหยียนยังมีตระกูลมู่คอยหนุนหลัง เ้าไม่ต้องกังวล!”
เย่เช่อขมวดคิ้ว “ตระกูลมู่? ข้าจำได้ว่าตระกูลมู่เป็ตระกูลคหบดีไม่ใช่หรือ?”
ซูเจินกลอกตา “เ้าอยู่ที่ชายแดนมาหลายปี เ้าอาจไม่รู้ว่าตระกูลมู่นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ข้าได้ยินมาว่ามารดาของปี้เหยียนมีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขตระกูลมู่ ส่วนเื่อื่นข้าไม่พบความเกี่ยวข้องใดๆ ดังนั้นถ้าประมุขตระกูลมู่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา เย่เหยียนจะนับเป็อะไรได้”
เย่เช่อพยักหน้า “ข้ารู้ แต่อาจมีความเชื่อมโยงอื่นที่เรายังไม่รู้ แม้ว่าตระกูลมู่จะเป็ตระกูลคหบดีและไม่เคยเกี่ยวข้องกับราชสำนัก แต่เย่เหยียนนั้นรับมือได้ยากจริงๆ เอาเถอะ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอาจมีเบื้องลึกเื้ัอื่นอีก เ้าช่วยข้าตรวจสอบได้หรือไม่ว่ามีความเชื่อมโยงใดที่พอจะเป็ไปได้ระหว่างประมุขตระกูลมู่กับอ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อน?”
ซูเจินค่อยๆ จิบชาร้อนเพื่อให้สร่างเมาแล้วกล่าวว่า “ข้าตรวจสอบหลายรอบแล้ว พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน”
เย่เช่องุนงงมาก “จริงหรือ?”
ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฟังน้ำเสียงเ้าสิ พอกันที! คราวหน้าอย่ามาขอให้ข้าตรวจสอบอะไรให้อีก”
เย่เช่อรู้สึกแย่ เขาจึงรีบเปลี่ยนเื่ทันที “อันที่จริงข้ารู้สึกว่าปี้เหยียนเหมือนใครสักคนที่ข้าเคยพบในอวิ๋นเมิ่ง”
ดวงตาของซูเจินเป็ประกาย “ใครหรือ?”
เย่เช่อกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดจึงไม่ได้ตอบทันที
แต่ในหัวของซูเจินเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เขารู้สึกว่าเย่เช่อต้องค้นพบอะไรบางอย่างแน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้