“คุณหนู พวกเราจะเข้าไปก่อนหรือเ้าคะ?” โม่เยี่ยเห็นโม่เสวี่ยถงยกชายกระโปรงขึ้น เดินขึ้นหน้าเข้าไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ก็มองไปทางรถม้าด้านหลัง ก่อนเอ่ยถามอย่างฉงนฉงาย
“พวกเราเข้าไปก่อนแหละดีแล้ว น้องสี่กับซื่อจื่อยังมีเื่ต้องคุยกันอยู่” สายตาของโม่เสวี่ยถงวาดผ่านประตูรถอย่างไม่แยแส ซ่อนแววยิ้มหยันไว้ที่หางตา ฤทธิ์ยาสลบผสมผสานกับผงหอมกระตุ้นราคะของน้องสี่ได้เปิดหูเปิดตาให้นางเห็นโลกกว้างแล้ว ชั้นเชิงอุบายมิได้ด้อยไปกว่าโม่เสวี่ยิ่สักเท่าไรเลย
แม้ว่าปริมาณผงหอมกระตุ้นราคะจะไม่มากนัก แต่สำหรับในที่แคบและต้องอยู่เป็เวลานานนั้น จะไม่มีผลแม้แต่น้อยได้อย่างไร ยิ่งโม่เสวี่ยฉงตั้งใจจะยั่วยวนด้วยแล้ว ผู้ที่รักษาความถูกต้องดีงามเพียงเปลือกนอกอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋นจะห้ามใจไม่หาเศษหาเลยได้หรือ แม้ว่าข้าวสารจะไม่กลายเป็ข้าวสุก แต่ก็คงไปไหนไม่รอดอยู่พักใหญ่นั่นแหละ
โม่เสวี่ยิ่คิดวางอุบายกับนาง แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็การช่วยให้โม่เสวี่ยฉงได้สมดังใจไปได้ ไม่รู้ว่ายามที่นางพาคนมาดู จะแค้นใจจนกระอักเืไปเลยหรือไม่
นางจูงมือโม่เยี่ยหมุนตัวเดินเข้าไปด้านในโดยไม่นำพากับพวกเขาสองคนอีก เื่ราวในส่วนที่เหลือไม่ใช่สิ่งที่นางต้องวิตกกังวล หากโม่เสวี่ยิ่้าทำลายชื่อเสียงของนาง เมื่อพบว่าไม่มีใครลงมาจากรถม้า ถึงเวลาจะต้องพาพวกขึ้นไปจับผิด คนที่พูดไม่ออกอธิบายไม่ได้ก็ย่อมเป็พวกเขา และนี่คือผลลัพธ์ที่โม่เสวี่ยฉงปรารถนาเป็อย่างยิ่ง
เมื่ออารมณ์ดีก็ยิ่งรู้สึกว่าป่าเหมยที่รายล้อมอยู่โดยรอบยิ่งดูงดงามตระการตา ชวนให้อิ่มเอมใจ
ป่าเหมยมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้มาชมความงามย่อมมีไม่น้อย เห็นได้จากคุณหนู คุณชายสกุลใหญ่ที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่เป็พักๆ โดยมากจะมาเที่ยวเป็หมู่คณะ ไม่มีชายหญิงที่มาด้วยกันเพียงลำพัง ชายหญิงที่ยังไร้พันธะอยู่ด้วยกันสองต่อสองย่อมตกเป็ข่าวฉาวได้ง่าย หากวันนี้โม่เสวี่ยฉงไม่ตามมา ผู้ที่ต้องตกเป็ที่ครหา ชื่อเสียงพังย่อยยับย่อมเป็นางกับซือหม่าหลิงอวิ๋น
ในป่าเหมยลึกเข้าไป สายลมโชยพลิ้วกิ่งก้านสะบัดไหวไปตามแรงลม บุปผาสีชมพูกลางหิมะทิ้งกลีบร่วงกราวลงมาทาบร่างของดรุณีน้อยที่อยู่ใต้ต้น หากกล่าวว่ารูปโฉมงามปานล่มเมืองก็ไม่เกินไปนัก นวลเนื้อผุดผาดอมเืฝาดปลั่งเป็สีแดงระเรื่อดูเฉิดฉายเปล่งประกาย ผุดผ่องยิ่งกว่าหยกมันแพะชั้นเลิศ นุ่มละมุนชวนััยิ่งกว่ากลีบบุปผาที่งามเฉิดฉันที่สุดในใต้หล้า งดงามมีชีวิตชีวายิ่งกว่าระลอกคลื่นในธารน้ำใส
ท่วงท่าที่ทอดมองทิวทัศน์ไปโดยรอบ ให้ความรู้สึกสูงสง่าอย่างไม่อาจพรรณนา ดวงตาพราวระยับที่กลอกกลิ้งไปมาซ่อนความซุกซนและเฉลียวฉลาดไว้ไม่มิด แต่สิ่งที่งามล้ำที่สุดคือรอยยิ้มบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่เปื้อนธุลีแห่งแดนโลกีย์ อาภรณ์ขาวกระจ่างดั่งหิมะพลิ้วไสวไปตามแรงลม ดูประหนึ่งเทพธิดาจากเก้า์ชั้นฟ้าลงมาจุติในโลกมนุษย์ เมื่อยามรอยยิ้มผลิบานก็เปล่งประกายคล้ายพลุไฟที่งดงามเหนือสามัญ
สุดทางของป่าเหมยถูกกั้นด้วยกำแพงสูง นั่นเป็กำแพงที่ทางการสร้างขึ้นมาใหม่เป็พิเศษ เพื่อรักษาจวนเดิมของจิ้นอ๋องไว้มิให้ถูกทำลาย ป่าเหมยของจวนจิ้นอ๋องเก่าแม้จะถูกกั้นไว้นอกกำแพง แต่จวนจิ้นอ๋องกลับสงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าชมได้ ดังนั้นจึงมีหน่วยงานของทางการตั้งอยู่สุดเขตป่าเหมย และสร้างกำแพงใหม่ล้อมจวนไว้ แยกจวนจิ้นอ๋องออกจากป่าเหมยด้านนอก
เฟิงเจวี๋ยหร่านสีหน้าไร้แววกังวล นั่งเอนกายยกขาไขว่ห้างอยู่ในศาลาบนูเาจำลองซึ่งอยู่ชิดกับกำแพง บนโต๊ะด้านข้างวางถ้วยชา จานผลไม้ ตั้งฉากกั้นไว้ด้านหลังของศาลาเพื่อบังลมเหมันต์ที่พัดผ่านเข้ามา ตำแหน่งที่เขานั่งเอนกายอยู่นี้สามารถมองเห็นป่าท้อได้ทั้งหมด เป็จุดชมทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ว่าได้
ยามนี้ดวงตาของเขาหลุบลงไปยังโม่เสวี่ยถงที่กำลังยืนหลับตาสูดอากาศหายใจ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นท่าทางอารมณ์ดี ะโโลดเต้นวนอยู่ในป่าเหมยอย่างเริงร่า ริมฝีปากงามที่เดิมทีเม้มสนิทของชายหนุ่มหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เรียวคิ้วกระดกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเพิ่มความรู้สึกสนใจขึ้นหลายส่วน เพ่งมองความสดใสงดงามจากที่สูง นางในเวลานี้ไม่มีการระวังป้องกันตัวเหมือนปรกติ ดูราวกับเทพธิดาที่กำลังเริงระบำอยู่ในป่าเหมย
ใบหน้าพิสุทธิ์ไร้แป้งชาดแต่งแต้มแหงนขึ้นฟ้า อาภรณ์แบบธรรมดาเรียบง่ายกลับดูงามสง่าเมื่ออยู่ในป่าเหมย ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อไรก็ตามที่นางแมวป่าตัวน้อยเก็บเขี้ยวเล็บ ก็จะดูมีเสน่ห์งดงามเช่นนี้เอง
ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านเลื่อนจากโม่เสวี่ยถงไปข้างป่าเหมย แววตาพลันนิ่งขรึม หรี่ตาพิศมองไปด้านนั้น ประกายคมกล้าฉายวาบในดวงตาคู่งาม เมื่อเห็นเ้านายแผ่รังสีงดงามเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยไอพิฆาต องครักษ์เฟิงเยวี่ยก็ถอยห่างออกไปสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ มีเพียงคนสนิทข้างกายเท่านั้นที่ทราบว่า หากรอยยิ้มของเขายิ่งงดงามมากเท่าไร รังสีพิฆาตยิ่งรุนแรงเท่านั้น ยิ่งดวงตาทอประกายระยิบระยับก็แสดงว่าความขุ่นเคืองกำลังเดือดพล่านถึงขีดสุด
รถม้าคันนั้นไม่รู้ว่าเป็ของสกุลใด เฟิงเยวี่ยเห็นคุณหนูสามโม่ก้าวลงมาจากรถคันนั้น แต่ในรถน่าจะยังมีคนอยู่ ดูจากคนขับรถที่คอยเฝ้าระวังอยู่ โดยเดินออกห่างจากตัวรถสี่ห้าก้าวก็พอจะรู้ได้
สัญลักษณ์ของรถม้าคันนั้นหากเขามองไม่ผิดมิใช่ของจวนโม่ แต่เป็จวนเจิ้นกั๋วโหวกระมัง
บุรุษในอาภรณ์สีม่วงพลิ้วกายหายวับไปในพริบตา ภายในศาลาว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ เฟิงเยวี่ยมองตามไปในทิศทางที่สายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านทอดมองไปเมื่อครู่ ก็พบว่าภายใต้ต้นเหมย ชายหนุ่มรูปงามลงไปยืนจ้องหน้าสาวน้อยที่อยู่ในสีหน้าตื่นตะลึงเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
องค์ชายลงไปจริงๆ หรือนี่!
องค์ชายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตามไปด้วย ไม่อาจยืนชมป่าเหมยอยู่บนที่สูงต่อไปได้อีก ศาลาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครนึกจะไปจะมาตามใจได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีเพียงเ้านายของเขาพระองค์นี้ที่กล้ามา ไม่กลัวว่าจักรพรรดิจะทรงลงโทษเลยกระมัง แต่ยามนี้อยู่ต่อไม่ได้แล้ว
เฟิงเยวี่ยได้แต่ทอดถอนใจ แล้วพลิ้วกายออกไปจากศาลา หางตาพลันเห็นว่าที่รถของเจิ้นกั๋วโหวมีผู้คนรายล้อม เนื่องจากอยู่ไกล จึงไม่รู้ว่าพวกเขาส่งเสียงดังจ้อกแจ้กมีเื่อะไรกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมากับสายลม ดูเหมือนว่าจะเกิดเื่ขึ้น มีเื่ก็ดี อย่างน้อยหากองค์ชายอารมณ์เสีย จะได้ไม่ต้องใช้ให้ตนเองวิ่งไปทำเื่อะไรประหลาดๆ ที่ไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรมอีก!
“เฟิงเจวี๋ยหร่าน...” โม่เสวี่ยถงสีหน้าตะลึงลานเมื่อเห็นใบหน้าคมสันหล่อเหลาของเฟิงเจวี๋ยหร่านมาปราฏอยู่ตรงหน้า ได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่มีการตอบสนองไปชั่วขณะ แต่เพียงชั่วพริบตา เมื่อพบว่าเขาและนางอยู่ใกล้กันเกินไปก็ถอยห่างออกมาสองสามก้าวทันที แล้วค่อยย่อกายคำนับด้วยความเคารพแต่ให้ความรู้สึกห่างเหิน
“ถวายบังคมเซวียนอ๋อง”
เห็นนางถอยห่างออกไปเพื่อเว้นระยะระหว่างกันด้วยท่าทางระวังตัวยิ่ง เหมือนเห็นเขาเป็สัตว์ร้ายเยี่ยงนั้น ทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านรู้สึกโมโหโทโสจนแทบประคองรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าตนเองควบคุมอารมณ์ได้ดีมาโดยตลอดแล้วล่ะก็...
“เ้าลงมาจากรถจวนเจิ้นกั๋วโหวได้อย่างไร ไปใกล้ชิดกับพวกเขาขนาดนั้นั้แ่เมื่อไร ซือหม่าหลิงอวิ๋นผู้สุภาพอ่อนโยนผู้นั้นไม่เหมาะสมกับเ้า หากรู้ว่าเ้าคือผู้ที่ออกคำสั่งให้คนไปทุบตีเขาจนเกือบตายวันนั้น ไม่รู้ว่าจะยังใจกว้างมาตามเอาอกเอาใจเ้าอยู่อีกหรือไม่” ดวงตาสีนิลที่ดูลึกลับราวกับปีศาจฉายแววยิ้มเจิดจ้า ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูสว่างโชติ่
เฟิงเยวี่ยซึ่งติดตามอยู่ด้านหลังรู้จักกาลเทศะจึงถอยออกไป พลิ้วร่างขึ้นไปแฝงกายอยู่บนต้นไม้ พยายามปกปิดการมีตัวตนอย่างดีที่สุด
ยามนี้เหมือนเขาเริ่มจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดองค์ชายจึงมีท่าทางไม่สบอารมณ์เยี่ยงนั้น...
โม่เสวี่ยถงไม่เข้าใจความหมาย ขนตายาวงามงอนกะพริบปริบๆ มองเขาอย่างฉงนฉงาย แม้แต่ริมฝีปากเล็กจ้อยราวกับผลอิงเถายังตะลึงจนเผยอน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว นางมิได้ตกตะลึงเพราะเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่าน แต่เป็เพราะยังงุนงงกับคำพูดของเขา ชั่วขณะนั้นยังคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดเฟิงเจวี๋ยหร่านต้องแล่นมาระบายอารมณ์กับนาง
นางไปทำให้เขาอารมณ์เสียด้วยเื่อะไรหรือ?
สัญชาตญาณบอกให้นางถอยห่างออกไปสองก้าว เพื่อเว้นระยะห่างกับเฟิงเจวี๋ยหร่าน คนผู้นี้เป็คนชอบทำอะไรตามใจตน แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้คนรังแกเช่นกัน ชอบคิดว่านางเป็ลูกพลับนุ่มกันเสียจริง ใครอยากจะบีบก็บีบได้ จะหล่อพระพุทธรูปยังต้องออมแรงไฟไว้สามส่วน นับประสาอะไรกับคนเล่า ดวงตาประกายหยดน้ำกะพริบปริบๆ หลังจากรู้สึกตัวกลับมาเป็ปรกติก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห กว่าโทสะจะคลายไปก็ใช้เวลาอยู่นาน
พยายามบอกตนเองว่าผู้ที่นางประจันหน้าอยู่คือผู้ใด เขาคือเซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่าน พระโอรสคนโปรดของจักรพรรดิจงเหวินตี้ แม้ไม่อาจให้เขาเป็ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่ก็ตามใจทุกสิ่งทุกอย่าง นางไม่อาจล่วงเกินบุรุษผู้นี้ได้
“ว่าอย่างไร ไม่มีอะไรจะพูดหรือ? ยังมาจ้องหน้าข้าอีก หากชายหนุ่มหน้าหยกอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋นมาเห็นเ้าในท่าทางแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะทอดถอนใจที่ตนเองมองคนผิด จนไม่ย่างเข้าจวนโม่อีกเลยหรือไม่” เห็นนางถอยห่างออกไปอีก เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ่งกล่าวประชดประชัน
“แม้จะเป็เช่นนั้น ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับองค์ชายเลยนะเพคะ” แม้จะย้ำเตือนตนเองในใจแล้วว่าอย่าโมโห แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาทั้งสองของนางก็เริ่มกรุ่นโกรธ รอยยิ้มอ่อนหวานที่พยายามฝืนเค้นสุดกำลังพลันแข็งค้าง ใบหน้าบูดบึ้งในชั่วพริบตา เอ่ยวาจาสวนกลับไปทันที
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร เปิ่นหวางกำลังชมทิวทัศน์อยู่บนหอสูง แต่กลับถูกเ้ากับซือหม่าหลิงอวิ๋นมาทำให้บรรยากาศดีงามเสียหายหมด อารมณ์ก็ย่อมไม่ดีเป็ธรรมดา โม่เสวี่ยถง เ้ามีความผิดไม่พอ ยังมาจ้องหน้าข้าอีก คิดว่าข้าเอาผิดพวกเ้าไม่ได้จริงๆ หรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเอื้อมมือมากักตัวนางไว้มิให้ขยับหนีอีก ทำราวกับว่าในเมื่อนางทำให้เขาไม่มีความสุข ก็ต้องมารับผิดชอบความเสียหายให้เขาด้วย
นี่มันเื่บ้าบออะไรกัน!
นางมาเที่ยวชมทิวทัศน์ ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับการชมทิวทัศน์ของเขาตรงไหน คนผู้นี้ไร้เหตุผลสิ้นดี แม้ว่าเขาจะเป็องค์ชายผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปเช่นนี้ได้ โม่เสวี่ยถงพยายามข่มโทสะไว้ในใจ นางยังไม่กล้าฉีกหน้าเขาจริงๆ
ซือหม่าหลิงอวิ๋นกับนางสองคน? ตาข้างไหนของเขาที่เห็นนางอยู่กับซือหม่าหลิงอวิ๋น คนผู้นั้นตอนนี้ยังอยู่บนรถคุยเื่ส่วนตัวกับโม่เสวี่ยฉงอยู่เลยรู้ไว้เสียด้วย!
“คำพูดของเซวียนอ๋อง ต้องขออภัยที่หม่อมฉันไม่เข้าใจ แม้ว่าหม่อมฉันจะอาศัยรถของจวนเจิ้นกั๋วโหวมาก็จริง แต่ั้แ่ลงจากรถมาก็มีเพียงสาวใช้คนเดียวที่ติดตามมาด้วยกันตลอดเวลา ไม่ทราบว่าไปขวางหูขวางตาท่านอ๋องได้อย่างไร แต่ในเมื่อเป็เช่นนี้ หม่อมฉันก็ขอทูลลา เพื่อคืนความเงียบสงบของป่าเหมยผืนนี้ให้กับท่านอ๋อง” โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากกล่าวอย่างจนใจ หากเป็ไปได้ นางไม่อยากพบปะพูดคุยกับเซวียนอ๋องผู้มีอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผู้นี้บ่อยนัก เพราะเขาไม่ใช่คนที่รับมือง่าย
นางยอมลงให้เขาถึงเพียงนี้แล้ว เขาเป็ถึงเซวียนอ๋องมีสถานะสูงส่งจะปล่อยนางไปหรือไม่?
“ในรถนอกจากเ้าแล้วยังมีใครอีกบ้าง” นิ้วมือของเฟิงเจวี๋ยหร่านวางทาบลงบนกิ่งเหมย เสียงหักเป๊าะดังตามมา แล้วหยิบดอกเหมยกิ่งนั้นมาถือเล่นในมือ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยนางไปสักนิด โม่เสวี่ยถงจนใจอย่างยิ่ง องค์ชายพระองค์นี้ขึ้นชื่อเื่ความเอาแต่ใจไร้เหตุผล ได้แต่ร้องโอดครวญอยู่ในใจ เขามีสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้ ไฉนจึงต้องมาสร้างความลำบากให้นางด้วย นี่มันเื่อะไรกันหนอ...
ยังดีที่น้ำเสียงของเขาแม้จะเรียบๆ เรื่อยๆ แต่ก็ไม่เย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ทำให้นางสงบจิตใจลงได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่ทราบว่าเขามีเป้าหมายอันใด จึงตอบไปอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันกับน้องหญิงสี่มากับรถของคุณชายซือหม่า อีกประเดี๋ยวพี่หญิงใหญ่ก็จะตามมาด้วยเพคะ”
ยามนี้นางย่อมไม่นำเื่ราวที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องออกมาพูด ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางผู้นี้แม้ไม่มีเื่ก็ยังสามารถหาเื่ออกมาจนได้ หากให้เขารู้เื่นี้ คงไม่แค่นั่งดูเฉยๆ อาจจะพาให้คนทั้งเมืองหลวงรู้เื่นี้ทั้งหมด
คนที่เสียหน้าจะไม่ใช่เพียงโม่เสวี่ยฉง แต่ยังรวมไปถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของจวนโม่ ไม่ว่าอย่างไรโม่เสวี่ยถงก็ยังเป็บุตรสาวของสกุลโม่ และยังเป็บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ตอนนี้นางยังต้องรักษาหน้าของสกุลโม่ทั้งหมดด้วย
น้องหญิงสี่ของโม่เสวี่ยถงอยู่ในรถ เมื่อครู่ตอนลงมามีแต่นางคนเดียว เช่นนี้ก็กล่าวได้ว่าบนรถก็ยังมีคนอยู่ และยังเป็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็คือเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อซือหม่าหลิงอวิ๋นกับคุณหนูสี่สกุลโม่ ช่างเป็คู่ที่น่าสนใจยิ่ง ความหมายก็บ่งชัดอยู่แล้วว่านางกับซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น
เมื่อกระจ่างใจในเหตุผลข้อนี้ ก็ยกมือขึ้นลูบคางเล่น แล้วยื่นดอกเหมยในมือให้นาง “นับว่าเ้ากล่าวมามีเหตุผล แต่ในเมื่อเ้าเข้ามาทำให้ข้าหมดอารมณ์ชมบุปผา เช่นนั้นก็มาเดินเล่นเป็เพื่อนข้าเพื่อเป็การไถ่โทษก็แล้วกัน”
เฟิงเจวี๋ยหร่านพูดอย่างหนักแน่นมีเหตุผล แล้วยัดช่อดอกเหมยในมือของตนเองใส่มือของโม่เสวี่ยถง ก่อนปัดมือสองสามครั้งแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในป่าท้อ
ริมฝีปากงดงามโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มทรงเสน่ห์ จิ้งจอกน้อยอย่างไรก็เป็จิ้งจอกน้อยอยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ต้องโต้กลับแน่นอน ส่วนซือหม่าหลิงอวิ๋น เขาไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะยอมเสียเื่เพื่อบุตรสาวอนุภรรยาคนหนึ่ง...