ไป๋เสียสะบัดมือเบาๆ กระบี่อสูรที่ทำลายนักรบกระดูกจนสิ้นซากก็เหินลงมาต่อหน้าจู้หลง
"ว่ามา คำพูดสุดท้ายของเ้า" แสงอักขระโลหิตจางหาย ไป๋เสียยืนอย่างองอาจ
จู้หลงรู้ดีว่าไม่อาจหนีกระบี่ที่สังหารศัตรูนับพันได้ เขาได้แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "เ้าเป็ใครกันแน่!"
"ข้า..." ไป๋เสียเพิ่งจะอ้าปาก จู้หลงก็ชักมีดอาบยาพิษออกมาจากเอว ก่อนจะแทงเขาอย่างรวดเร็ว
ส่งเสียงดัง "ฉึก" คมมีดแทงทะลุหัวใจอย่างแม่นยำ
จู้หลงแสยะยิ้มอย่างสาสมใจ ทว่ากลับพบว่าไป๋เสียหลบคมมีดไปได้ เขาเบิกตากว้างมองหน้าอกตัวเองด้วยความสั่นกลัว ครั้นปีศาจที่เคยปกป้องนายของตนตอนนี้ ได้แทงเข้าที่หลังทะลุหัวใจจู้หลง
แววตาของเขาพลันมืดมิด เืสีสดพุ่งกระฉูดออกจากปาก ก่อนจะร่วงลงสิ้นใจ
เสื้อผ้าสีเทาบริเวณหน้าอกเปรอะเปื้อนเืสีแดงฉาน จู้หลงนอนหายใจรวยรินบนพื้น ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ ดวงตามองท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ เลือนหายไป
ไป๋เสียก้มหน้ามองจู้หลงที่นอนอยู่ อีกฝ่ายแสยะยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ไม่เป็ไร... ต่อให้ข้าเป็ผี ข้าก็จะจองเวรไม่เลิกรา... เ้าขัดขวางข้าไม่ได้หรอก..."
"ขัดขวางเ้าไม่ได้งั้นหรือ” ไป๋เสียหัวเราะลั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยแววตาเ้าเล่ห์ "ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเ้าก็คือไป๋อู๋ฉาง จอมมารผู้ยิ่งใหญ่!"
“ไป๋เสีย ไป๋อู๋ฉาง...” จู้หลงได้ยินก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เพราะเืกบปากด้วย การพูดจึงเป็ไปอย่างยากลำบาก “เป็ไปไม่ได้! เขาถูกผนึกไปแล้ว!”
ไป๋เสียมองอย่างเ็า คีบยันต์สีขาวออกมาแผ่นหนึ่ง จู้หลงที่าเ็สาหัสพยายามคลานหนีไป๋เสีย ดวงตาเลื่อนลอย ศีรษะท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น ปากก็พร่ำบ่นซ้ำไปซ้ำมาว่า “เป็ไปไม่ได้...เป็ไปไม่ได้...”
“เ้าจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่ข้าไม่มีทางยอมให้คนบ้าอย่างเ้าวิ่งพล่านในโลกมนุษย์เด็ดขาด” ไป๋เสียพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะรวบรวมพลังปราณเข้าไปในยันต์สีขาว
จู้หลงที่ได้รับาเ็สาหัสพยายามคลานหนีไปได้ไม่กี่ฉื่อก็สิ้นใจตาย ยันต์สีขาวได้ดึงิญญาอันดุร้ายของจู้หลงเข้าไปผนึกไว้ภายในยันต์ ไป๋เสียท่องคาถา สุดท้ายก็ตวาดขึ้น “...ผนึก!”
ภายในยันต์เปล่งแสงสีขาววาบ ใบหน้าของจู้หลงก็ถูกประทับไว้บนยันต์สีขาว ท่าทางราวกับว่า้าพุ่งออกมาจากยันต์
“กล้าดียังไงมาบอกว่าข้ารับมือเ้าไม่ได้” ไป๋เสียแสยะยิ้มพูดกับจู้หลงที่อยู่ในยันต์ “ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!”
หลังจากเก็บยันต์สีขาวเข้าไปในอกเสื้อแล้ว กระบี่อสูรก็ร่อนลงมาอยู่หน้าไป๋เสีย พู่กระบี่สีทองที่ผูกไว้กับด้ามกระบี่ แกว่งไปมาไม่หยุดราวกับหางสุนัข พร้อมกับใช้ปลายกระบี่สะกิดมือไป๋เสียราวกับ้าให้ลูบไล้
ไป๋เสียหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ได้แต่ลูบไล้กระบี่อสูร พลางเอ่ยด้วยความสงสาร “ไม่นึกเลยว่าเ้าจะรอข้าอยู่จริงๆ”
เมื่อราตรีมาเยือน ความมืดปกคลุมผืนแผ่นดิน ควันไฟลอยโขมงจากโรงครัวของค่ายพักสกุลเกา
ด้านนอกค่ายพัก เกาหร่วนลอบสะกดรอยตามกู่เสี่ยวอวี่ ตัวเขาที่หมายปองนางมานานแล้วจึงตัดสินใจอาศัยความมืดลักพาตัวนางเข้าป่า เพื่อสนองตัณหาของตน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเตรียมผ้าเช็ดหน้าชุบยาสลบมาเป็พิเศษ ตั้งใจลงมือตอนที่นางอยู่เพียงลำพัง
“เสี่ยวอวี่...เ้าช่างงดงามยิ่งนัก...” เกาหร่วนมองลำคอขาวผ่องของกู่เสี่ยวอวี่ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
“หืม? มีพิรุธ” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหลัง เขาหันกลับไปมองอย่างตื่นตระหนก ก็พบว่าเป็ชายหนุ่มแปลกหน้า ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเอาไว้
“เ้าต่างหากที่น่าสงสัย!” เกาหร่วนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกอย่างรังเกียจ เพราะกลิ่นกายของอีกฝ่ายรุนแรงนัก
ลู่เต้ากำลังจะอ้าปากแย้ง เกาหร่วนก็ล้มลงหมดสติไป ไม่ว่าลู่เต้าจะเขย่าอย่างไรก็ไม่ตื่น
“ชาติที่แล้วเ้าเคยเจอคนผู้นี้หรือไม่” หลังจากการต่อสู้เสร็จแล้ว ไป๋เสียก็เข้าไปด้านในร่างลู่เต้าเพื่อพักผ่อน
“ไม่เคย” ลู่เต้าจ้องมองใบหน้าของเกาหร่วนอย่างละเอียด ครั้นแน่ใจแล้วจึงตอบ
เดิมทีลู่เต้า้าพาเกาหร่วนไปหาที่พัก ทว่ากู่เสี่ยวอวี่กลับเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบตามไปด้วยความดีใจ ก็พบว่ากู่เสี่ยวอวี่กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่
ตอนที่เขาคิดจะเข้าไปหากู่เสี่ยวอวี่ ไป๋เสียก็เตือนขึ้นว่า “อย่าเลยเ้าหนู ตอนนี้นางจำเ้าไม่ได้หรอก! ไปก็เท่านั้น!”
ทว่าลู่เต้ากลับไม่ฟัง แอบลอบเข้าไปในค่ายพัก ตอนนั้นกู่เสี่ยวอวี่กำลังวุ่นวายกับการขนย้ายวัตถุดิบไปโรงครัว ลู่เต้าจึงแอบเดินตามหลังนางไปเงียบๆ
ตอนแรกกู่เสี่ยวอวี่ไม่ได้สนใจ แต่แล้วก็ได้กลิ่นเหม็น จึงหันกลับมาแผดเสียงใส่ลู่เต้าที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด “ออกมาเถอะ! เ้า้าอะไรกันแน่”
ลู่เต้าได้แต่โผล่ออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ เนื่องจากสถานการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยอารามร้อนรน เขาจึงหยิบก้อนหินข้างทางขึ้นมาถามกู่เสี่ยวอวี่ “คุณหนู นี่ของเ้าหรือไม่”
กู่เสี่ยวอวี่ “???”
กู่เสี่ยวอวี่ไม่รู้จักลู่เต้า เมื่อเห็นว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้าแปลกตา จึงระแวงขึ้นมา “เ้าเป็ใคร เข้ามาในค่ายพักสกุลเกาได้อย่างไร”
ลู่เต้าชะงักไป ก่อนฝืนยิ้มออกมา “ข้า...ข้า...เอ่อ...ข้า...”
“หากเ้าไม่ไป ข้าจะเรียกคนมาแล้วนะ!” กู่เสี่ยวอวี่ถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว
“เดี๋ยวก่อน ข้าเอง! ข้าลู่เต้า!” ลู่เต้าได้แต่พูดอย่างจนใจ เดินเข้าไปหากู่เสี่ยวอวี่อย่างกระตือรือร้น
กู่เสี่ยวอวี่สูดหายใจลึก ะโเสียงดัง “มีคนมา! มีคนบุกรุก!!!”
ทันใดนั้น ศิษย์สกุลเกาหลายคนก็ถือคบเพลิงกรูกันเข้ามาตามเสียงเรียกของกู่เสี่ยวอวี่ ลู่เต้าไม่อาจและไม่้าก่อเื่ตอนนี้ สุดท้ายจึงได้แต่กัดฟันหันหลังะโหนีเข้าไปในป่า
เกาฮ่าวนำศิษย์หลายคนเข้ามา เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงถามกู่เสี่ยวอวี่ “คนผู้นั้นอยู่ไหน”
“พอข้าะโ เขาก็ใหนีไปแล้ว” กู่เสี่ยวอวี่ยิ้ม
“หึ คืนนี้ให้คนไปลาดตระเวนเพิ่มด้วย มีรายงานว่าแถบนี้มีผู้ควบคุมิญญาปรากฏตัว” เกาฮ่าวสั่งบริวารเสร็จก็หันหลังกลับไป
กู่เสี่ยวอวี่มองตามหลังเกาฮ่าวพลางคิดในใจด้วยรอยยิ้ม “ในใจเสี่ยวฮ่าวก็ยังมีข้า พอข้าะโ เขาก็รีบมาเป็คนแรก” นางเดินไปที่โรงครัวพร้อมกับวัตถุดิบในมืออย่างสบายใจ
บนยอดเขายลดาบ ลมยามราตรีพัดกระทบใบหน้าลู่เต้า
เขาหันหลังให้ไป๋เสียและกระบี่อสูร นั่งกอดเข่าบนเนินเขาพลางมองค่ายพักสกุลเกาอยู่เงียบๆ
หนึ่งิญญากับหนึ่งกระบี่ต่างมองหน้าสบตากัน สุดท้ายไป๋เสียก็นั่งลงข้างๆ ลู่เต้า ก้มหน้าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าร้องไห้เลยเ้าหนู”
“หนวกหูน่า...แค่ลมแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง...”
กู่เสี่ยวอวี่เพิ่งกลับมาที่โรงครัวพร้อมกับวัตถุดิบ แม่ครัวสาวหลายคนก็มารุมล้อมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เสี่ยวอวี่ ได้ยินว่ามีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามาจริงหรือ”
“ใช่ๆ! จริงหรือ”
กู่เสี่ยวอวี่วางวัตถุดิบลง แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ! พอข้าะโ เขาก็ใหนีไปเลย!”
“ว้าว!” แม่ครัวสาวร่างท้วมคนหนึ่งถามต่อ “แล้วเขาหน้าตาเป็อย่างไร น่ากลัวหรือไม่”
“ก็นะ...ไม่ถึงกับน่ากลัว แต่กลิ่นกายเหม็นมาก” กู่เสี่ยวอวี่นึกอะไรบางอย่างออก “แล้วก็...”
“แล้วก็” แม่ครัวทุกคนต่างกลั้นหายใจถามด้วยความสนใจ
กู่เสี่ยวอวี่เอียงศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วแตะปลายคางครุ่นคิด ทว่ากลับนึกไม่ออก ราวกับว่าความทรงจำส่วนลึกถูกผนึกเอาไว้ สุดท้ายจึงพูดอย่างลังเล “ข้ารู้สึกว่า...เหมือนเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน”
