ลุกขึ้นร้องปาวๆ ว่าจะเอาสิบชุด หากพิจารณาจากส่วนสูง ด้วยส่วนสูงหนึ่งหมี่แปดเช่นนี้ เตี้ยกว่าเจียงหงหย่วนแค่ค่อนเดียว
บอกตามตรง หลินหวั่นชิวทะลุมิติมาก็หลายเดือน แต่นางไม่เคยเจอผู้ใดที่สูงจนเด่นขนาดนี้ในหมู่สตรีโบราณ
“ขออภัยจริงๆ สินค้าจำกัดแค่คนละหนึ่งชุดเ้าค่ะ” เสี่ยวเฉาเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อยเพราะเพิ่งเคยเจอลูกค้าเป็ครั้งแรก
แม่นางคนนั้นผงะไป จากนั้นพูดว่า “เช่นนั้นก็สองชุด พวกข้ามากันสองคน”
“คุ้มทุนจริงๆ เล่มละสิบตำลึง หนึ่งชุดห้าเล่มสี่สิบตำลึง ประหยัดไปตั้งสิบตำลึง! ซื้อแล้วเหมือนได้กำไร ใช้เป็ของฝากก็มีหน้ามีตา” แม่นางตัวสูงถอนหายใจ
แม่นางบางคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มหวั่นไหว
“ข้าจะเอาหนึ่งชุด”
“ข้าเอาหนึ่งชุดด้วย”
แม่นางที่ก่อนหน้านี้เอาแค่เล่มเดียวพลิกดูหนังสือทั้งห้าเล่ม ยิ่งดูก็ยิ่งอยากได้ สุดท้ายก็กัดฟันซื้อหนึ่งชุด
ทำเอาเสี่ยวเฉ่ากับเสี่ยวฮวาดีใจมาก
ไท่ไท่บอกว่าถ้าขายดี นอกจากค่าแรงแล้วพวกนางยังได้ส่วนแบ่ง
ทั้งคู่ช่วยกันห่อ ยิ้มไม่หุบ เห็นฟันหมดปาก
หนังสือขายได้มาก เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ต่างขายได้มากไปด้วย
เครื่องประดับระยิบระยับพวกนั้นสวยมากจริงๆ ไม่มีสตรีคนใดต้านทานความยั่วเย้าจากของระยิบระยับได้
ทั้งสวย ราคาก็ไม่แพงเกินไป หลินหวั่นชิวตั้งราคาไว้ที่หนึ่งตำลึงเหมือนกันหมด ไม่ได้แพงเป็พิเศษ เพราะกิจการหลักของนางไม่ใช่ขายเครื่องประดับ
นอกร้าน ลูกค้าจำนวนหนึ่งเดินออกไปจึงจะปล่อยอีกจำนวนเข้ามา
ตอนแรกคนที่มามุงดูรู้สึกว่าขายแพงขนาดนี้คงไม่มีผู้ใดซื้อ ไม่นึกเลยว่าจะไม่มีผู้ใดเดินออกมามือเปล่าสักคน
พากันแสดงความเห็น เ้าของจากเมืองใหญ่ช่างมีวิธีทำธุรกิจจริงๆ
ลูกค้าในร้านมาแล้วก็ไป มีเพียงแม่นางตัวสูงคนนั้นที่ไม่ออกจากร้าน นางซื้อทุกอย่างในร้านเสร็จก็หาที่นั่งดื่มชาพร้อมกับอ่านหนังสืออย่างสบายใจ
นางดูตำราอาหารแค่แบบผ่านๆ รู้สึกสนใจหนังสือนิทานภาพมากกว่า
แทบจะจมดิ่งลงไป
“แม่นาง ข้าขอคุยด้วยได้หรือไม่?” หลินหวั่นชิวเดินไปพูดตรงหน้ายิ้มๆ
แม่นางตัวสูงเงยหน้าขึ้นทันที “ได้สิ!”
ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด
ร้านเปิดมาครึ่งวันแล้ว ด้านนอกมีผู้คุ้มกันหญิงดูแล ลูกค้าในร้านก็ควบคุมไว้ที่ยี่สิบคน สินค้าในร้านแพงสำหรับชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นจึงไม่เกิดเหตุการณ์แย่งกันซื้อ
หลินหวั่นชิวเห็นว่าสถานการณ์ราบรื่นแล้วจึงมาเชิญแม่นางตัวสูง
นางพาแม่นางตัวสูงเข้าบ้านผ่านทางประตูหลัง เชิญมาที่ห้องโถงและชงชาต้อนรับด้วยตัวเอง
แต่แน่นอนว่าเพราะนางวางมาดเป็ไท่ไท่ไม่ได้เช่นกัน เพราะยายสวีออกไปช่วยงานเบ็ดเตล็ดอยู่ด้านนอก
“คุณชายตู้ เชิญดื่มชาเ้าค่ะ”
“ขอบคุณ”
แม่นางตัวสูงรับชามาแล้วถึงเพิ่งตอบสนองว่าหลินหวั่นชิวเรียกตัวเองว่าคุณชายตู้
เขามองใบหน้ายิ้มๆ ของหลินหวั่นชิวอย่างอายๆ
“ฮะฮะ…โดนจับได้แล้วหรือ?”
(หลินหวั่นชิว “จะจับไม่ได้ได้อย่างไร ตัวสูงเสียขนาดนี้ ทาแป้งแต้มชาดบนใบหน้า…แต่เค้าโครงหน้าไม่อาจเปลี่ยนแปลง”)
“เดาน่ะ” นางต้องอดทนมากที่จะไม่หัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าจะเป็คุณชายตู้จริงๆ”
“เ้าบอกว่าที่ร้านให้เข้าแค่สตรี ข้าเลย…ต้องใช้วิธีนี้เพื่อมาร่วมงาน” ตู้ซิวจู๋ยกถ้วยจิบชา ใช้ถ้วยบังความเขินอายของตัวเอง
มือเขาขาวเรียว ข้อกระดูกชัดเจน ต่างจากมือหยาบหนาของเจียงหงหย่วนโดยสิ้นเชิง
ด้วยมือนี้ของเขา สามารถเป็นายแบบมือในยุคปัจจุบันได้เลย
หลินหวั่นชิวอดมองอีกครั้งไม่ได้ แต่ถึงจะเป็อาหารตาอย่างไร…มือหย่วนเกอก็ดูเป็ลูกผู้ชายมากกว่า
ไม่รู้ว่าตอนนี้หย่วนเกอเป็อย่างไร บนเขาคงหิมะตกแล้วสินะ…
“ขอบคุณคุณชายตู้ที่ช่วยเรียกลูกค้า จริงสิ คนนอกรู้แค่ว่าเ้าของร้านนี้มาจากเมืองหลวง หย่วนเกอแค่ช่วยออกหน้า ส่วนข้าช่วยจ่ายค่าแรง หวังว่าคุณชายตู้จะช่วยรักษาความลับ” หลินหวั่นชิวกล่าว ตอนนั้นนางไม่ทันคิดให้รอบคอบ บอกตู้ซิวจู๋ไปแล้วว่าจะเปิดร้าน ตอนนี้มาคิดย้อนดูก็รู้สึกว่าตัดสินใจไวเกินไป
ตู้ซิวจู๋ตาเป็ประกายเมื่อได้ยินดังนั้น
หมายความว่าอย่างไร?
ผู้อื่นไม่รู้แต่เขารู้?
หมายความว่าหลินหวั่นชิวมองเขาเป็เพื่อนแล้วใช่หรือไม่?
เขาดีใจจนเกือบลุกขึ้นะโ
“เื่เล็กน้อย เดิมทีหนังสือภาพของเ้าก็คู่ควรกับราคานี้อยู่แล้ว วางใจเถิด ข้าจะไม่บอกผู้ใดเื่ร้านเป็แน่!” ตู้ซิวจู๋ตบหน้าอกดังปั่กๆ
หลินหวั่นชิวขบขัน “วันหน้าข้ามีสินค้าใหม่จะส่งรายการสินค้าไปให้ ท่านอย่าปลอมตัวเป็สตรีอีกเลย สตรีมาเต็มท้องถนน มีผู้ใดสูงแบบท่านบ้าง?”
“ฮะฮะ…” ตู้ซิวจู๋เกาหัว “ได้ ว่าแต่…กระไรคือรายการสินค้า?”
หลินหวั่นชิวดึงสมุดออกมาจากแขนเสื้อ แต่ความจริงคืออาศัยแขนเสื้อบังเพื่อหยิบจากช่องเก็บของบนเสียนอวี๋
“นี่ก็คือรายการสินค้า” หลินหวั่นชิวตอบ นี่คือวิธีที่นางเพิ่งคิดได้ใน่สองวันมานี้ พวกไท่ไท่คุณหนูไม่สะดวกออกจากบ้าน ส่งสาวใช้มาแทน แต่สาวใช้รู้ที่ไหนว่าไท่ไท่คุณหนูของตัวเองชอบสิ่งใด?
รายการสินค้าที่มีภาพประกอบจึงสำคัญมาก
“นี่น่ะหรือ? ไอ๊หยา ความคิดช่างสุดยอดไปเลย! ข้าว่ารายการสินค้านี้ก็ขายได้เช่นกัน ดูสิว่าวาดสวยขนาดไหน”
“คนทำธุรกิจไม่ควรละโมบ!” หลินหวั่นชิวพูด
ตู้ซิวจู๋กำลังจะชมนางว่าวิสัยทัศน์กว้างไกล หลินหวั่นชิวกลับพูดก่อนว่า “ขนแกะเกิดจากตัวแกะ[1] ถ้ามัวแต่ขี้เหนียวจะทำธุรกิจได้อย่างไร? ไม่เข้าถ้ำเสือ ไม่ได้ลูกเสือ!”
อย่างไรนางก็มีห้องหัตถการเสียนอวี๋ ต้นทุนสำหรับทำซ้ำไม่ได้สูง
แค่มีตัวแม่แบบ ส่วนที่เหลือก็…ง่ายนิดเดียว
“บอกตามตรง ถ้าร้านเ้าไปเปิดที่เมืองหลวงต้องได้เงินดีเป็แน่ อำเภอเล็กเกินไป ผู้คนมีกำลังซื้อไม่มาก”
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า “ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น จริงอยู่ที่เปิดร้านในอำเภอ แต่ข้าโฆษณาไปยังอำเภอใกล้เคียงกับหัวเมืองแล้ว กิจการในวันหน้าน่าจะไม่มีปัญหาใด ส่วนเมืองหลวง ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น”
ข้าวต้องกินทีละคำ เท้าต้องเดินทีละก้าว นางไม่อยากก้าวกว้างจนเป้ากางเกงขาด
“พวกเราร่วมหุ้นกันดีหรือไม่?” ตู้ซิวจู๋เกิดความคิด แต่เขารู้ความเหมาะสม ไม่ได้ถามถึงที่มาของหนังสือภาพพวกนี้
นี่เป็หม้อข้าวของคนอื่น จะถามไม่ได้
“ข้าไปเปิดสาขาแยกที่เมืองหลวง เ้ารับผิดชอบเื่สินค้า ข้าออกเงินลงทุนเอง พวกเราแบ่งกำไรคนละครึ่ง”
หลินหวั่นชิวคล้อยตามไปชั่วครู่ แต่นางกลับส่ายหน้า “ไม่ร่วมหุ้น” นางเพิ่งเจอตู้ซิวจู๋แค่ไม่กี่ครั้ง ยังไม่สนิท
ตู้ซิวจู๋ร้อนใจ “เหตุใดจึงไม่ร่วมหุ้น เ้าไม่ต้องออกเงิน กลัวข้ายึดสินค้าหรือ? ไม่เป็ไร ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าส่วนหนึ่งก่อนย่อมได้ ถึงเวลาแบ่งกำไรค่อยหักออก”
หลินหวั่นชิวคิดไปคิดมาแล้วยิ้มว่า “ไม่ร่วมหุ้น แต่ท่านสามารถเข้าร่วมเครือได้ สามารถเปิดร้านที่เมืองหลวง ข้าจะมอบผังการตกแต่งร้านกับสินค้าให้ ท่านแค่จ่ายค่าต้นทุนกับค่าร่วมเครือ จ่ายค่าดูแลปีละครั้งเป็พอ…”
เชิงอรรถ
[1] ขนแกะเกิดจากตัวแกะ(羊毛出在羊身上) หมายถึง ดูเผินๆ เหมือนว่าสินค้าชิ้นนั้นจะราคาถูก แต่ความจริงแล้วได้กำไรจากส่วนอื่น
