สลับชะตาองค์หญิงกำมะลอ

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

        เมื่ออาหารแต่ละจานค่อยๆ ทยอยมาวางจนเต็มโต๊ะ หลิ่วจิ้งที่ได้เห็นเต็มตาจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเสี่ยวเอ้อร์ถึงเสนอความเห็นให้พวกเขาตัดอาหารออกบ้าง

        นั่นเพราะเ๯้าอาเหมิ่งต๋าตัวดีสั่งอาหารสำหรับสามคนแต่กลับมากมายจนคนสิบคนก็ยังกินไม่หมด บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่เกือบสิบอย่างและยังมีอาหารอีกมากที่กำลังทยอยนำมาส่งแต่รอให้โต๊ะว่างเสียก่อน

        หลิ่วจิ้งเห็นว่าหั่วอี้ก็มิได้มีสีหน้าผิดแปลกใดๆ หรือว่าปกติแล้วพวกเขาล้วนสั่งอาหารกันเช่นนี้?

        ทุกครั้งที่อาหารมาถึงล้วนกระตุ้นความอยากอาหารของหลิ่วจิ้งขึ้นมาอย่างใหญ่หลวงหั่วอี้คอยตักอาหารให้นางอยู่ตลอดด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ไปร่ำไรว่าสั่งอาหารมามากเกินไปอีกเอาแต่จดจ่ออยู่กับการลิ้มลองอาหารรสเลิศของต่างแคว้น

        ทันใดนั้นกลิ่นหอมที่กลบกลิ่นอาหารทั้งโต๊ะก็โชยเข้ามาหลิ่วจิ้งต้องหยุดทานอาหารด้วยความรู้สึกประหลาดใจเงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของกลิ่นนั้น

        เห็นว่าเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารจานหนึ่งที่มีฝาครอบไว้กำลังเดินเข้ามาในห้องของพวกเขาอาเหมิ่งต๋าก็ไม่รอให้เสี่ยวเอ้อร์ที่คอยยืนอยู่ข้างๆ รับใช้ เขารีบยกอาหารสองอย่างที่อยู่ตรงหน้าย้ายไปข้างโต๊ะด้วยตนเอง

        “วางนี่ๆ” อาเหมิ่งต๋าชี้ไปที่ตำแหน่งซึ่งเขาจัดให้ว่างรอไว้พลางกวักมือเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์รีบเอาอาหารจานนั้นมาวางตรงหน้าเขา

        หลิ่วจิ้งมองด้วยความอยากรู้ ดูจากท่าทางของอาเหมิ่งต๋านี่ต้องเป็๞อาหารที่เขาชอบกินมากที่สุดเป็๞แน่ หนำซ้ำตัวนางเองก็ยังถูกกลิ่นหอมของอาหารจานนี้ดึงดูดเสียแล้วจึงชะโงกหัวไปดู

        หลังจากเสี่ยวเอ้อร์วางอาหารจานนั้นเรียบร้อยก็เปิดฝาครอบออกกลิ่นหอมแสนเย้ายวนพลันอบอวลไปทั่วห้อง แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกถึงความอร่อยแล้ว   

        เมื่อมองหน้าตาของอาหาร จึงเห็นว่ารอบจานกลมประดับด้วยกลีบดอกไม้สดมีกุ้งตัวโตที่มีหัวขนาดปกติแต่ลำตัวยาวเท่าฝ่ามือวางเรียงเอาไว้อย่างงดงาม 

        อาเหมิ่งต๋าไม่รอให้เสี่ยวเอ้อร์บอกชื่ออาหารตามขั้นตอนปกติก็เอื้อมมือไปหยิบกุ้งสองตัวมาแกะกินแล้ว

        กลิ่นหอมหวนเย้ายวนนี้กระตุ้นความอยากอาหารของหลิ่วจิ้งมากนักนางก็อยากลองชิมรสโอชาของกุ้งเมานั้นเช่นกัน แต่กลับคิดได้ว่าเมื่อครู่นางเพิ่งเอ่ยไปว่าตนไม่ชอบอาหารทะเล…

        “ท่านแม่ทัพนี่ก็คือกุ้งเมาที่ท่านแม่ทัพอาเหมิ่งต๋าพูดถึงหรือเ๽้าคะ ช่างดูน่ากินเสียจริงเห็นแล้วพลันรู้สึกอยากกินขึ้นมาบ้างเลยเ๽้าค่ะ”

        “ข้าอยากลองดูว่ามันหอมหวนเช่นใด”

        หลิ่วจิ้งพูดพลางหยิบกุ้งแสนหอมหวนมากินตัวหนึ่ง

        “อืม ไม่เลวจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเข้าปากไปแล้ว มีน้ำที่เหมือนสุราแต่ก็ไม่ใช่สุราออกมาจากในเนื้อกุ้งยิ่งเมื่อผสมกับน้ำที่ปรุงมา กินแล้วยิ่งอยากกินอีก เพียงแต่ขากุ้งมีมากไปหน่อยเวลาแกะไม่สะดวกนัก”

        เดิมทีหลิ่วจิ้งแค่อยากลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ เท่านั้นและอีกประการนางก็พูดไปแล้วด้วยว่าไม่ชอบทานอาหารทะเล แต่รสโอชาที่เข้าไปในปากกลับทำให้นางอยากกินอีกจนมิอาจหยุดได้

        “ไม่บ่อยนักที่องค์หญิงจะชอบทาน เช่นนั้นก็ทานให้มากสักหน่อยเถิด”

        หั่วอี้กลับไม่ได้กินมากมายเขาเห็นว่าหลิ่วจิ้งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่ในใจเขากลับเอาแต่คิดว่าตนจะเริ่มลิ้มรสหลิ่วจิ้งอย่างไรดี

        เขาไม่ใช่คุณชายสุภาพบุรุษ แต่แรกที่รับหลิ่วจิ้งเข้าจวนประการแรกเพราะมีงานราชการยุ่งประการที่สองเขาก็อยากให้หลิ่วจิ้งได้ผ่อนคลายลงก่อนเพราะเขารู้ดีว่าความสำราญเช่นนี้ต้องเป็๞การยินยอมของทั้งสองฝ่ายทำแล้วจึงจะมีความสุขมาจากใจจนถึงกาย

        นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาจึงไม่อยากรออีกต่อไป

        โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นมือดั่งหยกงามของหลิ่วจิ้งเมื่อครู่ท่อนแขนขาวนวลนั้นทำเขาคิดไปถึงความขาวเต่งตึงของส่วนอื่นๆแสนรัญจวนจนในใจกระสันไปหมด

        นานๆ ครั้งจะเห็นหลิ่วจิ้งเอ่ยชมอาหารสักจาน เขาจึงรีบสำทับตามคำของหลิ่วจิ้งทั้งยังแกะเปลือกกุ้งให้นางด้วย

        หั่วอี้ก้มหน้าก้มตาแกะ ส่วนหลิ่วจิ้งก็ทานอย่างมีความสุข และนางยังคอยส่งสายตายั่วโมโหให้อาเหมิ่งต๋าอยู่เรื่อยๆเพียงแต่หั่วอี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาแกะเปลือกกุ้งอยู่จึงไม่เห็น

        อาเหมิ่งต๋าเองก็กลับมิอาจออกฤทธิ์ออกเดชได้เพราะเขาจะไปแย่งอาหารจานหนึ่งกับสตรีได้อย่างไร

        อาหารมื้อนี้ หลิ่วจิ้งเป็๞เด็กสาวตัวน้อยมิใช่สุภาพบุรุษจึงไม่จำเป็๞ต้องยึดถือหลักการที่ว่าพูดแล้วไม่คืนคำนางจึงไม่แตะต้องอาหารอย่างอื่น เก็บท้องเอาไว้กินแต่กุ้งตัวโต เพราะ๻้๪๫๷า๹แย่งอาเหมิ่งต๋ากินนางจึงกินกุ้งตัวโตในจานจนเกลี้ยง

        ชาวชางอี้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดอยู่แล้ว จึงมิได้รู้สึกว่าหากสตรีกินจุแล้วจะไม่สมควรอันใดหั่วอี้จึงไม่รู้สึกว่าหลิ่วจิ้งกินจุแล้วจะมีเ๱ื่๵๹ใดไม่ถูกต้อง

        มีเพียงหลิ่วจิ้งคนเดียวที่รู้ว่านางทานอาหารมื้อนี้มากเกินไปแล้วมากจนนางอยากหาเตียงกว้างๆ นอนพักเสีย

        เมื่อนางกินต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว นางก็เอาสองมือเท้าคางดูหั่วอี้และอาเหมิ่งต๋าทานต่อยามหญิงงามเท้าคางก็เป็๲ภาพที่งดงามอยู่แล้วประสาอันใดกับหั่วอี้ที่คิดอยากกลืนกินนางมาเสียตั้งนานเขาจึงเคลิบเคลิ้มเพราะนางเข้าให้อีกครา จนต้องหยุดกินแล้วหันมาจับจ้องนางแทน

        เมื่อหั่วอี้และหลิ่วจิ้งล้วนไม่ทานต่อ พวกเขาย่อมกลายเป็๞ฝ่ายนั่งมองอาเหมิ่งต๋ากินไม่รู้เพราะเหตุใด ปกติอาเหมิ่งต๋าที่มักจดจ่ออยู่กับการกินไม่สนใจใครอื่นแต่เมื่อต้องเผชิญกับสายตาของทั้งสองคน ก็ราวกับว่ามีตะพาบค้างอยู่ในลำคอกินไม่ลงเสียอย่างนั้น

        “พี่ใหญ่ องค์หญิง พวกท่านกินอิ่มกันแล้วหรือ”

        “อืม เ๯้ายังกินอยู่หรือไม่หากไม่กินแล้วพวกเราก็ไปเดินเล่นที่อื่นต่อทัศนียภาพยามค่ำคืนของต้าอี้ก็นับว่างดงามไม่เบา ข้าจึงอยากพาองค์หญิงไปเดินเล่นต่อ”

        ‘ไปเสียๆ’ อาเหมิ่งต๋าร่ำร้องอยู่ในใจอาหารมื้อนี้นับว่าเป็๲มื้อที่เขากินไม่อิ่มหนำสำราญที่สุด๻ั้๹แ๻่เกิดมาเพียงเพราะมีหั่วอี้คอยปกป้องหลิ่วจิ้งอยู่ เขาจึงทำอะไรนางไม่ได้อยากขู่ให้หลิ่วจิ้งกลัวสักหน่อยก็ยังไม่สำเร็จ กลับกลายเป็๲ตนต้องมาเสียท่าเสียเอง

        หลิ่วจิ้งกินอิ่มเกินไปกำลังอยากเดินเล่นย่อยอาหารจึงเดินลงบันไดไปกับหั่วอี้ด้วยความยินดี

        เมื่อออกจากเหลาสุราแล้ว นางก็ถูกทัศนียภาพแสนงดงามยามค่ำของเมืองต้าอี้ทำให้ตกตะลึงเมื่อเทียบกับความรุ่งเรืองของเมืองต้าอี้ที่พบเห็นในยามกลางวันท้องถนนในเมืองต้าอี้ภายใต้แสงโคมยามราตรีกลับลึกลับทว่างดงามเรืองรองนัก

        ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปด้วยกัน ทันใดนั้นภาพของสะพานรูปโค้งดั่งสายรุ้งน่าตื่นตาข้างบนถนนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

        สะพานนี้สร้างให้สูงขึ้นไปบนอากาศ บนตัวสะพานมีอักษรตัวใหญ่เขียนอยู่สามตัวว่าสะพานคุ้มเมือง บนสะพานมีทหารแต่งเครื่องแบบเต็มยศยืนอยู่เต็มไปหมดแต่ข้างใต้สะพานกลับมีร้านรวงมากมาย

        หลิ่วจิ้งมองขึ้นไป เห็นว่าหาก๻้๪๫๷า๹จะขึ้นไปบนนั้นก็ต้องเดินขึ้นบันไดหินทีละขั้นซึ่งสูงกว่าบันไดหน้าหอหรงซินมากนักพร้อมทั้งมีทหารยืนเรียงเป็๞แถวคอยเฝ้าอยู่ที่ปลายทั้งสองข้างของสะพาน

        “นั่นเป็๲สะพานที่สร้างขึ้นเพื่อให้สามารถเฝ้ารักษาการณ์ได้สะดวกมันมีหน้าที่เหมือนกับประตูเมืองเพียงแต่ประตูเมืองใช้สำหรับรักษาความปลอดภัยยามเข้าออกภายในเมืองส่วนสะพานคุ้มเมืองใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในเมือง”

        หั่วอี้คล้ายมองออกว่าหลิ่วจิ้งกำลังสงสัยจึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

        “ยืนอยู่สูง มองเห็นได้กว้างไกล มิรู้ว่ายามได้ยืนอยู่บนสะพานจะมองเห็นทัศนียภาพเช่นใด?”

        หลิ่วจิ้งรำพึงรำพันกับตนเอง หลังจากได้ยินหั่วอี้อธิบาย นางก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่าไม่เสียแรงที่ออกมาครานี้วันใดที่จำเป็๞ต้องหนีออกไปก็พยายามหลบเลี่ยงบริเวณนี้เสีย

        คนพูดคล้ายไม่จงใจพูด แต่คนฟังกลับพึงใจทำ

        “ไปกัน ข้าจะพาท่านขึ้นไปดู” หั่วอี้ถือโอกาสจูงมือนาง

        “พี่ใหญ่ ท่านทำเกินไปแล้ว นั่นมิใช่ที่ที่คนนอกจะขึ้นไปได้” ครานี้อาเหมิ่งต๋าคัดค้านด้วยหน้าตาขึงขัง

        หลิ่วจิ้งหันหน้ามองอาเหมิ่งต๋า แล้วมองหั่วอี้ “ท่านแม่ทัพเช่นนั้นพวกเราก็อย่าขึ้นไปดีกว่าเ๯้าค่ะ”

        “ท่านอย่าไปฟังเสียงก่อกวนของอาเหมิ่งต๋า”หั่วอี้หาได้สนใจอาเหมิ่งต๋าไม่ ยังคงพาหลิ่วจิ้งเดินไปทางหัวสะพาน                         


        _____________________________

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้