เฉียวเยว่มองคนนี้ที มองคนนั้นที แล้วยิ้มอย่างสดใส "พวกท่านต้องยังไม่รู้จักกันแน่ๆ มาเถอะ ข้าจะช่วยแนะนำให้พวกท่านเอง" นางลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยพบกันมาก่อน
อวี้อ๋องหัวเราะเสียงเบา แต่ดวงตาและหว่างคิ้วกลับไม่เห็นรอยยิ้มมากนัก "คุณชายิ่ ศิษย์ที่บิดาเ้าภาคภูมิใจ ข้ารู้จัก"
ิ่จื้อรุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะอยู่กับบิดามารดาเพียงไม่นาน แต่อวี้อ๋องซึ่งเป็บุตรของผู้อื่นกลับได้รับการชื่นชมจากบิดามารดาเขายิ่งกว่าตนเองเสียอีก ทุกคราที่พบหน้ากันแม้ว่าเวลาจะน้อยนิด ก็มักได้ยินบิดาชื่นชมคนผู้นี้เสมอ
นึกถึงตรงนี้ เขาก็วางตัวเฉยชา "ท่านอ๋องกล้าหาญประดุจเทพเซียน ชื่อเสียงเลื่องลือมานานแล้ว"
อันที่จริงทั้งสองมิใช่เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่เฉียวเยว่ไม่อยู่เมืองหลวงก็เลยไม่รู้เท่านั้น
"แท้จริงแล้วข้ากับคุณชายิ่เคยพบกันมากกว่าหนึ่งครั้ง เพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกันเป็การส่วนตัว" อวี้อ๋องกล่าว
"อวี้อ๋องเป็ยอดอัจฉริยะ กระหม่อมไม่อาจเทียบหนึ่งในหมื่นส่วนของท่าน มิกล้าจาบจ้วง"
ทั้งสองปะทะคารมกันอยู่กลายๆ เฉียวเยว่ไหนเลยจะฟังไม่ออก นางมองดูท้องฟ้า ก่อนจะอมยิ้มเอ่ยว่า "พวกท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว มีข้าอยู่ ผู้อื่นไหนเลยจะกล้าเรียกว่าตนเองว่าเป็ยอดอัจฉริยะ"
การคุยโวอย่างหลงตัวเองเช่นนี้ ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน
ฉีอันถอนหายใจ "ข้ายังไม่เคยเห็นใครหน้าหนาเท่ากับเ้ามาก่อนเลย เ้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือ?"
อายไม่อาย ต้องให้เ้าพูดมากหรือ?
เฉียวเยว่ถลึงตาใส่เขา "วันนี้ไม่ช้าแล้ว ตอนเย็นครอบครัวของเราต้องรับประทานอาหารร่วมกัน ข้ากลับเย็นเกินไปไม่ได้"
"เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ ข้าจะไปส่งเ้า" อวี้อ๋องขยับตัวก่อน
ท่ามกลางสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยสายลมและฝุ่นทราย เขากลับสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เฉียวเยว่เห็นแล้วก็ถอนหายใจ "ทัศนะเื่ความงามของท่านช่างแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ"
"เ้าไม่ต้องเลื่อมใสข้าถึงเพียงนั้น" อวี้อ๋องยิ้ม
เฉียวเยว่แค่นเสียงเชอะ
ไม่รู้เพราะเหตุใด จื้อรุ่ยเห็นพวกเขาดูสนิทสนมเข้ากันดีมาก ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบางอย่างกดทับไว้ให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เฉียวเยว่เป็น้องสาวที่ดีที่สุดของเขา นี่นางกำลังจะถูกผู้อื่น่ชิงไปกระนั้นหรือ?
นึกมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกเศร้าก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ
อวี้อ๋อง... ดูเหมือนจะไม่ใช่เป็คนดีนัก แม้ว่าบิดามารดาเขาจะชื่นชมนักหนา แต่ในสายตาของจื้อรุ่ยกับแตกต่างออกไป
เขานิ่งไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยว่า "ไปเถอะ ข้าก็จะไปส่งเ้า"
ฉีอันชำเลืองมองคนนี้ ชำเลืองมองคนนั้น แล้วกดศีรษะต่ำลง
พวกเขาเดินมาถึงนอกสนามม้า อวี้อ๋องถามขึ้นว่า "จะนั่งรถม้าของข้าหรือไม่?"
ใบหน้าของเขาระคนไปด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง "พวกเราจะได้คุยกันไปด้วย"
"ข้าเป็สตรีโตแล้ว ไม่อาจนั่งร่วมรถกับท่านได้ หากผู้อื่นเล่าลือกันออกไปจะทำอย่างไร" เฉียวเยว่พูดอย่างมีเหตุผลเต็มเปี่ยม พลางทอดถอนใจแล้วเงยหน้าขึ้น "ข้าจะนั่งกับฉีอัน"
หัวใจที่ลอยเคว้งของจื้อรุ่ยในตอนแรกค่อยวางลงได้ในที่สุด เขากระแอมเสียงเบา พลิกกายขึ้นอาชา "ไปเถอะ"
แม้ตนเองจะมีอาชา แต่การมาขี่ม้าในสถานที่กว้างขวางย่อมสะดวกสบายมากกว่า ดังนั้นจึงเป็เหตุผลของคนที่แม้จะขี่ม้าเป็ก็ยังคงมาสนามม้า
แน่นอนว่าคนบางคนไม่สวมชุดขี่ม้า ซ้ำยังสวมชุดขาวทั้งตัว มาถึงแล้วก็ไป เห็นได้ว่ามีจุดประสงค์อื่นย่อมแตกต่างจากพวกเขา
"จะไปกันหรือยัง?" จื้อรุ่ยเสียงเข้มขึ้นหลายส่วน
"ไป ไป ไป" เฉียวเยว่สองพี่น้องรีบขึ้นรถม้า
"ฮี้... ฮี้ฮี้..." ทันใดนั้นอาชาของพวกเขาก็เริ่มไม่สงบ มันตะกุยขาไม่หยุด ดูเหมือนอาการไม่สู้ดีนัก
ิ่จื้อรุ่ยหยุดทันควัน "พวกเ้าลงจากรถม้าก่อน ไม่รู้อย่างไรข้ารู้สึกว่ามันผิดปรกติ"
ม้าเหมือนจะมีอาการตื่นตระหนก
อวี้อ๋องก็หยุดหันมามองอย่างพินิจแล้วเอ่ยว่า "ม้าตัวนี้... คุณชายิ่พูดถูก พวกเ้าลงมาก่อน"
เฉียวเยว่จูงมือฉีอัน "พวกเราไปกันเถอะ"
ขณะที่สองพี่น้องเตรียมตัวจะลงมา อาชาก็เกิดคลุ้มคลั่ง วิ่งพุ่งไปข้างหน้า
ยามโพล้เพล้ของฤดูเหมันต์ผู้คนไม่เยอะมาก แต่สถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง
จื้อรุ่ยไม่รั้งรอบังคับม้าออกไปทันที คิดหมายจะควบคุมอาชาตัวนั้นให้อยู่
อวี้อ๋องก็ขี่ม้าตามไป ทั้งสองบังคับม้าอยู่คนละด้าน แม้จื้อรุ่ยอยากจะเข้าไปควบคุมอาชาที่เตลิด แต่เห็นได้ชัดว่าเป็ไปไม่ได้
"เฉียวเยว่ ะโลงมา" อวี้อ๋องเอ่ยขึ้นทันควัน
ขณะนี้เฉียวเยว่จับมือฉีอันไว้แน่น ฉีอันก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองหน้าซีดเผือด แต่ไม่กล้าขยับเขยื้อน พยายามที่จะทรงตัวให้มั่นคง
อวี้อ๋องอยู่ใกล้กับเฉียวเยว่ เขาพูดอีกครั้ง "เ้าะโมา ข้าจะรับเ้าเอง เร็วเข้า ชักช้าไม่ได้แล้ว"
ยามนี้เฉียวเยว่ใจนทำอะไรไม่ถูก อีกมือของนางจับขอบของรถม้าอีกด้านไว้อย่างแ่า
นางเห็นอวี้อ๋องมีท่าทางที่มั่นใจ ก็กัดริมฝีปาก หันไปกำชับกับฉีอัน "หลังจากข้าะโไปแล้วเ้ารีบจับตรงนี้ไว้ พวกเราค่อยมารับเ้าต่อ"
ฉีอันพยักหน้า
"เฉียวเยว่ ใจกล้าหน่อย ไม่ต้องพะวงถึงฉีอัน พวกเราจะช่วยเขาเอง เ้าะโไปก่อนเลย"
บัดนี้จื้อรุ่ยมองออกแล้ว เป็ไปไม่ได้ที่จะควบคุมม้าตัวนี้ในระยะเวลาอันสั้น มีเพียงวิธีเดียวคือให้เฉียวเยว่กับฉีอันเอาตัวรอดให้เร็วที่สุด
"อย่ากลัว" จื้อรุ่ยะโ
เฉียวเยว่มองดูระยะห่าง ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นไร แต่กลับตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หลับตาแล้วะโออกไปสุดกำลัง
อวี้อ๋องเร่งความเร็วไปด้านหน้าเล็กน้อย คว้ามือของเฉียวเยว่ไว้ได้ แต่ขณะนี้ร่างของเฉียวเยว่กลับห้อยอยู่ เขาใช้เท้าทั้งคู่หนีบเข้ากับตัวม้า แล้วออกแรงดึงเฉียวเยว่ขึ้นมา ในที่สุดนางก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา บัดนี้แม้แต่ริมฝีปากของเฉียวเยว่ก็กลายเป็สีขาวซีด
เขากอดนางไว้พลางปลอบประโลม "ไม่เป็ไร เ้าทำใจให้สงบ ประคองตัวนิ่งๆ ข้าจะไปช่วยฉีอัน"
ชั่วขณะนั้นเองซื่อผิงก็ไล่ตามมาถึง "นายน้อยสี่สกุลซู มา จับมือข้าไว้" เขาเข้ามาใกล้รถม้า คว้ามือของฉีอัน ฉีอันรวบรวมความกล้าแล้วะโข้ามไป
โชคดีที่ซื่อผิงมีร่างกายกำยำแข็งแรง ในที่สุดก็อุ้มเขาขึ้นมานั่งอย่างมั่นคง
เมื่อเห็นสองพี่น้องได้รับการช่วยเหลือแล้ว อวี้อ๋องก็กล่าวว่า "ไม่มีอันใดแล้ว ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร ทุกคนล้วนปลอดภัย"
เฉียวเยว่เห็นจื้อรุ่ยยังติดตามรถม้าอยู่ ก็ร้องะโ "พี่จื้อรุ่ย พวกเราปลอดภัยแล้ว"
"ข้ารู้ แต่ไม่อาจปล่อยให้มันเตลิดออกไปทำร้ายผู้คน ต้องหาวิธีจัดการ" จื้อรุ่ยตอบ
"ยิงขาทั้งสี่ของมันเสีย" อวี้อ๋องบอกกล่าว "มันถึงจะไม่สามารถอาละวาดได้อีก"
เฉียวเยว่ยกมือปิดหน้าของตนเอง ฟังแต่เสียงลม ในที่สุดอาชาก็หยุด นางกุมหน้าอกลงจากม้า แล้ววิ่งไปกอดน้องชาย
"ฉีอัน ฉีอัน ข้ากลัวจังเลย"
ฉีอันเองก็ตื่นกลัว แต่อย่างไรเสียเด็กผู้ชายก็มีความกล้ากว่าเด็กผู้หญิง เขาตบๆ หลังของนาง พูดปลอบประโลมไม่หยุด "ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เ้าอย่ากลัว กลับไปค่อยให้หลันหมัวมัวต้มน้ำแกงสงบจิตใจให้พวกเรา ไม่เป็ไรนะ ไม่เป็ไร"
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็ใจเย็นลง
บัดนี้ม้าของพวกเขาก็ร้องเสียงดัง มันถูกจื้อรุ่ยยิงเข้าที่ขาสองข้าง ถูกกำราบโดยสิ้นเชิง
หลังสงบอารมณ์ได้ เฉียวเยว่ก็เอ่ยถาม "ไฉนอยู่ดีๆ มันก็อาละวาดได้เล่า?"
เคราะห์ดีที่มันเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งั้แ่พวกเขาคิดจะออกเดินทาง หากไปเกิดอาการตอนกลางทาง เกรงว่าคงจะจัดการได้ยากกว่านี้
มานึกดูแล้วเฉียวเยว่ก็รู้สึกว่าตนเองยังมีโชคอยู่บ้าง
หากม้าไม่เริ่มสำแดงอาการผิดปรกติั้แ่ต้น หากไม่มีอวี้อ๋องกับพี่จื้อรุ่ยอยู่ด้วย เกรงว่าคงจะเกิดเื่ใหญ่กับพวกเขาแล้ว
"ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านพี่จ้าน" เฉียวเยว่กล่าวอย่างจริงจัง
แล้วหันมาหาซื่อผิง "ขอบคุณเ้าด้วย ซื่อผิง"
จากนั้นก็โบกมือไปไกลๆ "พี่จื้อรุ่ย ขอบคุณนะเ้าคะ"
"เ้าจะต้องขอบคุณให้ครบทุกคนเลยหรือ?" อวี้อ๋องผ่อนคลายสักครู่ ก็เอ่ยถาม
เฉียวเยว่หัวเราะ แล้วพูดอย่างจริงจัง "ข้าสมควรขอบคุณพวกท่านอยู่แล้ว หากไม่ได้พวกท่านช่วยเหลือ เกรงว่าครานี้ข้าคงได้ไปรายงานตัวที่ยมโลกแล้ว พวกท่านทุกคนสมควรได้รับการขอบคุณ เพียงแต่..." เฉียวเยว่นิ่วหน้า "อยู่ดีๆ ม้าเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้อย่างไร"
ตามเหตุผลม้าแก่ประเภทที่ใช้ลากรถควรจะมีความสงบมั่นคง แต่จู่ๆ ก็เกิดเื่เช่นนี้ ชวนให้คนรู้สึกประหลาดใจมาก
ิ่จื้อรุ่ยลูบแผงคออาชาตลอดเวลา ยามนี้เฉียวเยว่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว ค่อยมีความกล้ามากขึ้น นางเดินมายังข้างม้าที่าเ็ แล้วย่อตัวลงมา "พี่จื้อรุ่ย เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
"ข้าดูเหมือนเป็เซียนหรือไม่?" ิ่จื้อรุ่ยถาม
"ไม่เหมือน" เฉียวเยว่อมยิ้ม
"เช่นนั้นก็ถูกต้อง เ้าถามข้า ข้าจะไปถามใคร? ข้ารู้สึกเพียงว่ามันกำลังทรมาน"
อวี้อ๋องมองคนทั้งสองที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างอาชา ด้วยสีหน้าคลุมเครือไม่กระจ่างความหมาย
ฉีอันเป็เด็กฉลาด มองปราดเดียวก็ร้องในใจว่าแย่แล้ว
ชายแก่ผู้นี้คงมิได้ชอบพี่สาวของเขากระมัง?
"พี่สาว พวกเรากลับกันก่อนเถอะ เื่ม้าให้ท่านพ่อจัดการดีกว่า" เขารีบเอ่ยทันควัน
อวี้อ๋องย่อตัวลงมา แล้วสูดดมกลิ่นข้างตัวม้า หลังจากนั้นก็เดินมาด้านหน้า แล้วบีบที่ปากของมัน ม้าปล่อยลมหายใจฟืดฟาด เขาสะบัดมือของตนเองแล้วถอยหลังไปอย่างสะอิดสะเอียน หลังจากนั้นก็กล่าวว่า "ม้าถูกคนป้อนหญ้าคาวทอง คงคิดหมายจะกำจัดพวกเ้า หรือไม่ก็อยาก... จะสั่งสอนให้หลาบจำ"
เฉียวเยว่เบิกตากว้าง นี่นางไปล่วงเกินถูกใครเขาจริงๆ หรือ
พอเห็นสายตาของทุกคนมองมา เขาก็ตบๆ ท้องของตนเอง "พวกเรามาเล่นสนุกกันหน่อยไหม?"
เฉียวเยว่งงเป็ไก่ตาแตก เวลาแบบนี้ใครจะอยากเล่นกับเ้ากันฮึ!
หนุ่มน้อย เ้ามันคนโรคจิต แต่พวกเราไม่ใช่
เพ้ยๆๆ นางจะปรามาสผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเช่นนี้ไม่ได้
นางยกสองมือขึ้นประนมแล้วยิ้มน้อยๆ "ไม่ทราบว่าท่านอยากจะเล่นอะไรหรือ?"
ฟันแปดซี่ยิ้มเผยออกมาตามมาตรฐาน
อวี้อ๋องกวาดสายตาไปยังิ่จื้อรุ่ยข้างกายเฉียวเยว่ มุมปากโค้งขึ้นกล่าวเสียงเรียบ "เ้าไปเกลี้ยกล่อมท่านลุงของเ้าให้ช่วยงานข้าสักอย่าง บุญคุณครานี้ถือว่าแล้วกันไป นอกจากนี้ข้าจะช่วยเ้าตรวจสอบด้วยว่าใครคือคนร้าย"
เฉียวเยว่นิ่งงัน
"เ้ากำไรมากเลยนะ คิดดู ชีวิตเ้ากับน้องชายล้วนเป็พวกเราที่ช่วยไว้ ข้าไม่้าให้พวกเ้าตอบแทนบุญคุณ หนำซ้ำยังจะช่วยเ้าหาตัวคนร้าย เพียงแต่หากคนร้ายไม่ใช่คนที่ครอบครัวของพวกเ้าจะแตะต้องได้เล่า? พวกเ้าแตะต้องไม่ได้ แต่ข้าทำได้! และข้ายังจะช่วยเ้าคิดบัญชีกับคนผู้นั้นด้วย เป็อย่างไร?"
เฉียวเยว่ยังไม่ตอบ
แต่ิ่จื้อรุ่ยกลับหัวเราะ "หากคนที่ป้อนหญ้าคาวทองให้ม้าคือท่านเองเล่า? ทำร้ายคนแล้วค่อยช่วยภายหลังเพื่อให้พวกเขาสองพี่น้องติดค้างน้ำใจท่าน นอกจากนี้ ท่านทราบได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นจวนซู่เฉิงโหวแตะต้องไม่ได้ หรือท่านรู้อยู่แล้วว่าใครทำ?"
ิ่จื้อรุ่ยเฉียบแหลมมาก สิ่งที่เขาพูดคือสิ่งที่เฉียวเยว่กำลังคิด
แม้ว่าการสงสัยผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนเองจะเป็เื่ที่ไร้มโนธรรมเกินไปหน่อย แต่ตอนนั้นนางคิดเช่นนี้จริงๆ
นางเงยหน้าดวงน้อยแล้วยิ้มให้ "พี่จ้านอย่าถือสาคนความรู้ระดับพื้นๆ เช่นพี่จื้อรุ่ยของข้าเลย เขาขึ้นชื่อเื่พูดไม่เก่ง ซ้ำยังเถรตรงเสียยิ่งกว่าอะไร คิดเช่นไรก็พูดไปเช่นนั้น"
หรงจ้านล้วงผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า "แล้วข้าไม่ตรงไปตรงมา? เ้าแตงน้อย… เ้าก็คิดว่าพี่จ้านทำร้ายเ้าหรือ?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้