อวิ๋นจื่ออยากชมทิวทัศน์ของเมืองหยงโจว แต่นางรู้สึกง่วงมาก
ภายในรถม้ากว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีทุกอย่างที่ควรจะมี รถม้าถูกคลุมด้วยผ้าหนาที่ดูเหมือนขนสัตว์ อวิ๋นจื่อนั่งบนรถม้าด้วยท่าทีง่วงงุน เมื่อชิงซีเห็นเช่นนี้จึงบอกให้นางนอนพัก
อวิ๋นจื่อตอบรับด้วยความยินดี ไม่นานนางก็ผล็อยหลับไป
ชิงซีไม่ได้ง่วง นางจึงนั่งข้างๆ อวิ๋นจื่อ และเล่นหมากล้อมเพื่อฆ่าเวลา
หลังจากนั้นไม่นานอวิ๋นจื่อก็ตื่นขึ้น นางดึงม่านออกและเห็นว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า เป็วันที่อากาศดีอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจื่อตื่นแล้ว ชิงซีจึงวางหมากล้อมในมือลง และนำอาหารแห้งออกมาทานด้วยกัน
ชิงซีกล่าวว่า “อีกไม่นานก็ถึงูเาจิ่วอี๋แล้ว ทานรองท้องไว้ก่อน”
อวิ๋นจื่อไม่พูดอะไรเพียงพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปิดปากเงียบเป็น้ำเต้าทื่อ[1] ชิงซีจึงไม่พูดอะไรอีก
ชั่วขณะหนึ่งภายในรถม้าจึงตกอยู่ในบรรยากาศที่เงียบงัน
ชิงซีรินชาและส่งให้อวิ๋นจื่อ
อวิ๋นจื่อรับถ้วยชามาแล้วถามว่า “ชิงซีคุ้นเคยกับท่านแม่ของข้ามากเพียงใด?”
ชิงซีตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “นับว่าไม่คุ้นเคยนัก แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วย่อมคุ้นเคยมากกว่าแน่นอน เหตุใดเ้าถึงถามเื่นี้?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
ชิงซียิ้ม “เป็ไปได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนเ้าฝันถึงข้า?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าเล็กน้อย
ชิงซีกล่าวว่า “อาจื่อ ต่อหน้าข้าเ้าไม่ต้องระวังขนาดนั้น ข้าไม่ได้มีความคิดเป็อื่นกับเ้า”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชิงซีพูดอวิ๋นจื่อก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางรวบรวมความกล้าและถามด้วยเสียงต่ำ “ข้าฝันว่าเ้าเป็บุตรีอีกคนของท่านแม่ ในความฝันข้าไม่สามารถยอมรับได้ ในขณะที่…”
ชิงซีขัดจังหวะ “นั่นเป็แค่ความฝัน เหตุใดเ้าถึงกังวลใจเช่นนี้?” ชิงซีรู้ดีว่าในเมื่ออวิ๋นจื่อไม่อาจยอมรับเื่นั้นในความฝัน ในชีวิตจริงนางย่อมไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
ชิงซีกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้มาพบเ้าบ่อยนักในเวลาหนึ่งเดือนครึ่งนี้ ดูเหมือนจะผิดต่อเ้าแล้ว”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้าและไม่พูดอะไร
นางแค่อยากรู้ว่ามู่ชิงซีประมุขตระกูลมู่เป็บุตรีของเสด็จแม่หรือไม่?
ชิงซีจิบชาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าความฝันทำให้เ้ารู้สึกกระสับกระส่าย นั่นไม่จำเป็เลย อาจื่อข้าไม่ใช่พี่สาวต่างมารดาของเ้า อายุจริงของข้าอาจแก่กว่ามารดาของเ้าด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าของข้ายังดูเยาว์วัย จึงยากที่จะคาดเดาอายุที่แท้จริง”
อวิ๋นจื่อแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชิงซีรู้ว่าอวิ๋นจื่อกำลังกังวลอะไร นางจึงกล่าวว่า “อาจื่อเ้าอาจสงสัยว่าเหตุใดตระกูลมู่ถึงยื่นมือเข้าช่วยเ้า ข้ายอมรับว่ามีเจตนาที่เห็นแก่ตัว แต่โปรดเชื่อว่าความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของข้าจะไม่ทำร้ายเ้า มันเป็การช่วยเหลือเ้ามากกว่า ข้าหวังว่าเ้าจะเชื่อในตัวข้าและตระกูลมู่”
ชิงซีรู้ว่าอวิ๋นจื่อคิดอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงอธิบายให้ชัดเจน อวิ๋นจื่อรู้สึกผิดที่นางมักลังเลเช่นนี้ ทั้งยังเต็มไปด้วยความสงสัย หากเป็คนอื่นอาจไม่ทำเหมือนชิงซี พวกเขาย่อมไม่อธิบายให้ชัดเจน และอาจเลือกที่จะไม่ช่วยเหลือนางั้แ่แรกด้วยซ้ำ
อวิ๋นจื่อรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งและกล่าวว่า “เป็อาจื่อที่ใช้จิตใจที่ต่ำช้ามาคำนวณความคิดของวิญญูชน[2] ชิงซีโปรดยกโทษให้อาจื่อด้วย”
ใบหน้าของชิงซีซีดลง “ไม่เป็ไรอาจื่อ เ้ายังเด็กมาก เป็ข้าเองที่กระตือรือร้นเกินไป ลืมมันเสียเถอะ เอาล่ะ ข้าต้องบอกเ้าก่อนว่าข้าได้เตรียมบางอย่างไว้ให้เ้า”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ชิงซีย้ำว่า “อาจื่อไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โปรดเชื่อว่าตระกูลมู่ของข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเ้า ไม่ว่าเ้าพบเจอปัญหาอะไรให้รีบแจ้งตระกูลมู่ทันที”
เมื่ออวิ๋นจื่อเห็นว่าชิงซีอธิบายทุกอย่างด้วยความชัดเจน ความสงสัยทั้งหมดในใจของนางก็สลายไป จากนั้นนางก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อาจื่อเข้าใจแล้ว”
หลังจากพูดจบอวิ๋นจื่อก็หยิบจี้หยกของนางออกมาและกล่าวว่า “อาจื่อรู้ว่าชิงซีคงเคยเห็นหยกที่มีคุณภาพดีกว่าจี้นี้มามาก แต่นี่คือของที่อาจื่อสวมใส่มาั้แ่เกิด วันนี้อาจื่อขอมอบให้ ขอให้ชิงซียกโทษให้อาจื่อสำหรับความไร้เดียงสาและความโง่เขลาของอาจื่อด้วย”
ชิงซียื่นมือไปรับจี้หยกและกล่าวว่า “ชิงซีจะรับมันไว้ ตระกูลมู่จะรอวันที่อาจื่อกลับไปยังตำหนักเหวินฮวาอีกครั้ง”
ั์ตาใสกระจ่างสองคู่สบประสานกันอย่างจริงจัง
ไม่มีคำพูดใดอีก ความไว้วางใจได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
การเดินทางล่าช้าไปพักหนึ่ง เมื่อใกล้ถึงูเาจิ่วอี๋ก็เป็เวลาพลบค่ำพอดี
ชิงซีมองดูท้องฟ้าผ่านม่านในรถม้าอย่างมีความสุขและพึมพำเบาๆ ว่า “อา ดวงอาทิตย์ตกแล้ว อาจื่อ ดูสิ!”
อาจื่อมองตาม
่เวลาที่ดวงอาทิตย์ตกนั้นสวยงามมากจริงๆ
ชิงซานหยวนไต้[3] ท้องฟ้าสีครามเหนือยอดเขาเขียวขจี ทั้งสงบและงดงาม
ชิงซีกระตือรือร้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ นางกระซิบว่า “อันที่จริงชื่อเดิมของข้าที่มารดาตั้งให้คือซีกวง”
อวิ๋นจื่อไม่เคยได้ยินชิงซีพูดถึงมารดาของตัวเองมาก่อน นางจึงไม่รู้จะกล่าวอะไร และทำได้เพียงรับฟังสิ่งที่ชิงซีกล่าวอย่างเงียบๆ
จู่ๆ น้ำเสียงของชิงซีก็แปรเปลี่ยนไป นางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่ามารดาของข้าที่อยู่อีกโลกหนึ่งจะสบายดีหรือไม่”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ฮูหยินมู่ต้องมีความสุขมากแน่ ชิงซีไม่ต้องกังวล”
ชิงซีถอนหายใจ “ข้าไม่ควรพูดเื่นี้กับเ้าสินะ”
อวิ๋นจื่อจับมือชิงซี “ไม่เป็ไรชิงซี หากเ้า้าเล่าเื่ฮูหยินมู่ให้ข้าฟัง ข้าก็ยินดีรับฟัง”
ถ้าคนคนหนึ่งยินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับมารดาของตัวเอง ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมากและถือว่าเป็สหายกันอย่างแท้จริง
ชิงซีเพียงยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวต่อ
นางไม่ได้เห็นหน้ามารดามานานเหลือเกิน
นางไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในโลกนี้มากี่ปีมาแล้ว สถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจนี้ควรจะจบลงสักที ต่อให้ชีวิตในโลกนี้ดีแค่ไหนก็เทียบกับชีวิตที่บ้านไม่ได้
นางคิดถึงบ้านและอยากกลับไป
หลังจากรอมาหลายปี ในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึง
นางหวังว่าคราวนี้นางจะกลับไปอย่างราบรื่น
เหตุใดหมี่เจียไม่เรียกนางกลับไป?
เป็ไปได้ไหมที่นางจะหลงลืมไปแล้ว?
ทุกอย่างไม่ควรเป็เช่นนี้!
หมี่เจียต้องจำนางได้อย่างแน่นอน
เื่ราวต่างๆ ในศาลาน้ำแข็งหิมะนั้นซับซ้อนและเป็ไปได้ว่านางจะจัดการเื่ราวเ่าั้ไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชิงซีก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางโศกเศร้าของชิงซี อวิ๋นจื่อก็คิดว่านางกำลังคิดถึงมารดาที่เสียชีวิตั้แ่ยังเด็ก
อวิ๋นจื่อคิดว่าการกล่าวคำปลอบโยนไม่ใช่เื่ง่าย นางจึงนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
ตอนกลางคืนชิงซีและอวิ๋นจื่อเข้าพักที่โรงเตี๊ยม ทั้งสองนอนห้องเดียวกันและพูดคุยกันอย่างออกรส อวิ๋นจื่อผล็อยหลับไปในปลายยามโฉ่ว ชิงซีไม่รู้สึกง่วงแต่อย่างใด ตรงข้ามกับอวิ๋นจื่อที่แทบจะนอนหลับตลอดเวลา
หลังจากที่อวิ๋นจื่อหลับไปแล้ว ชิงซีก็ออกมาด้านนอก นางรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงโปรยผงนิทรา ปล่อยให้อวิ๋นจื่อนอนหลับเพียงลำพังและออกจากห้องไป
ลองคิดดูแล้วนางไม่ได้มาทีู่เาจิ่วอี๋นี้ราวๆ สิบปีแล้ว นางไม่รู้ว่าูเาจิ่วอี๋จะสร้างความประหลาดใจอะไรให้แก่นางบ้าง
ชิงซีตั้งหน้าตั้งตารออย่างกระตือรือร้น
------------------------
[1] น้ำเต้าทื่อหรือน้ำเต้าเบื่อ หมายถึง ปิดปากเงียบ
[2] “ใช้จิตใจที่ต่ำช้ามาคำนวณความคิดของวิญญูชน” หมายถึง ใช้ความคิดอันน่ารังเกียจมาคาดคะเนจิตใจคนดี
[3] ชิงซานหยวนไต้ คือ ฟ้าสีคราม ยอดเขาสีเขียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้