ณ ตำหนักฮองเฮา
ฮองเฮามองขันทีน้อยที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ถามอย่างนึกสนุก “หลังจากที่หนิงอ๋องจากไป ฝ่าาก็กริ้วจริงหรือ? ”
ขันทีน้อยพยักหน้า “แม้แต่ขันทีถงก็ยังถูกขับไล่ออกมาพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้ง ยามที่หนิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษร สุรเสียงโกรธเกรี้ยวของฝ่าาก็มีดังออกมาเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาหัวเราะหึหึ นางโบกมือแสดงท่าทางให้ขันทีน้อยออกไป
ในตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือเพียงหนานฮองเฮา และหมัวมัวที่ดูแปลกหน้าอยู่เื้ั ฮองเฮาถามเสียงเบา “เ้าว่า ฝ่าาของเราคิดจะทำสิ่งใด? ”
แม้จะเป็สามีภรรยากันมาหลายสิบปี แต่นางก็ยังเดาความคิดของเขาไม่ถูก
“ฮองเฮาเพคะ เื่ในวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังน่าเคลือบแคลงอยู่เพคะ” หนานหมัวมัวพูด “ด้วยเื่นี้ มีความเป็ไปได้อยู่สองประการ หนึ่งคือหนิงอ๋องและชายาหนิงอ๋องถือโอกาสจากเหตุกาณ์โรคระบาดในครั้งนี้ พูดหรือกระทำบางสิ่งที่เกินขอบเขตไป ฝ่าาจึงได้ตักเตือน ส่วนความเป็ไปได้ประการที่สองก็คือ ฝ่าาแค่ทรงแสดงละครฉากหนึ่งให้เราดูก็เท่านั้น”
หนานฮองเฮาตั้งใจฟัง เม้มปากยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็ประการใด ก็คงจะมีคนคาดเดาไปอยู่ดี อย่างไรเสีย ความคิดของฝ่าาก็ยากจะคาดเดานัก ต่อให้จะเป็พวกเฒ่าในราชสำนักก็อาจเดาไม่ถูกว่าฝ่าาทรงคิดจะทำสิ่งใด แต่ก็ไม่เป็ไร จะอย่างไรก็ล้วนไม่เป็การไปขัดขวางไม่ให้เ้ารองกลายเป็หนามยอกอกในสายตาคนเ่าั้” พูดจบ นางก็เดินไปจัดดอกโบตั๋นที่เพิ่งส่งเข้ามาเมื่อครู่ มุมปากสีชาดโค้งขึ้นน้อยๆ “ดูทางฝั่งตำหนักเต๋ออวิ๋นนั่นสิ คนกลับมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด”
หนานหมัวมัวได้ยิน ฟันเฟืองในสมองก็เริ่มทำงานต่อ เป็จริงดังว่า หวงกุ้ยเฟยที่ตำหนักเต๋ออวิ๋นกลับมานานเพียงนี้แล้ว แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย กระทั่งเื่ที่รัชทายาทขาหัก คนก็ยังปิดข่าวเช่นกัน
นอกจากนี้ เื่ที่ชายาหนิงอ๋องสามารถควบคุมโรคระบาดได้ แม้ข่าวนี้จะแพร่มาถึงในวังแล้ว ทางตำหนักเต๋ออวิ๋นก็ยังคงเงียบเช่นเดิม ยิ่งกว่านั้น หวงกุ้ยเฟยยังได้สั่งให้เหล่าขุนนางในราชสำนักที่อยู่ฝั่งรัชทายาทห้ามพูดจาเหลวไหล ไม่ว่าฝ่าาจะพระราชทานสิ่งใดให้ครอบครัวหนิงอ๋อง ก็ห้ามเอ่ยวาจาคัดค้านเป็อันขาด
“ไม่เคลื่อนไหว นับเป็การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด” จู่ๆ หนานหมัวมัวก็พูดขึ้น “สังหารด้วยมือประคอง [1] ”
คำกล่าวของหนานหมัวมัว ทำให้หนานฮองเฮาถึงกับขมวดคิ้ว นางมองไปยังอีกฝ่าย เป็นานถึงพูดขึ้น “ถูกต้อง เป็เปิ่นกงที่เลอะเลือนไป เื่แค่นี้กลับนึกไม่ถึง ไม่เคลื่อนไหวนี่สิ เป็การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด”
“ฮองเฮาเพคะ ทรงตัดสินพระทัยแล้วจริงหรือเพคะ? ” หนานหมัวมัวถามขึ้น ก่อนหน้านี้ฮองเฮาได้เปลี่ยนคนในตำหนักเฟิ่งอี้ทั้งหมด แม้แต่หมัวมัวข้างกายก็ยังเปลี่ยน ซึ่งตัวนางเป็ผู้ติดตามฮองเฮาคนใหม่ ถึงแม้จะเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่ถึงสองเดือน แต่เื่ของฮองเฮา นางล้วนรู้ทั้งสิ้น เพราะหลายปีมานี้ก็เป็นางนี่แหละที่ลอบช่วยเหลือเป็กำลังให้ฮองเฮาอย่างลับๆ
ฮองเฮามองหนานหมัวมัว ยิ้มพูดว่า “หมัวมัว เ้าอยู่ติดตามข้างกายข้ามาตั้งหลายปี ทั้งยังเป็มัวหมัวที่ช่วยสอนมารยาทให้ข้า นิสัยข้าเป็เช่นไร หรือว่าเ้าจะยังไม่รู้”
ชั่วขณะนั้นหนานหมัวมัวก็เงียบไป “ถึงแม้องค์ชายห้าจะเป็ตัวเลือกที่ดี แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ” พูดจบ หนานหมัวมัวก็ยื่นหน้าเข้าใกล้ข้างหูของฮองเฮา พูดสองสามประโยค
หนานฮองเฮามองหนานหมัวมัวด้วยความแปลกใจ “เช่นนี้ก็ได้หรือ? ”
“เหตุใดจะไม่ได้เล่าเพคะ ตอนท่านยังเด็กไม่ใช่ว่าหมัวมัวคนนี้เคยบอกไปแล้วหรือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่จำเป็ต้องสนใจวิธีการ” หลายปีมานี้นางหลบอยู่ในเงามืดมาตลอด เวลาที่ได้อยู่ข้างกายฮองเฮาจึงมีไม่มาก แต่หากมีนางอยู่ตลอด ป่านนี้ฮองเฮาคงไม่ต้องตกอยู่ในฐานะที่ถูกกระทำเช่นนี้
ถึงแม้โอรสของเต๋อเฟยจะมีสัมพันธ์ทางสายเืกับตระกูลหนานอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ
“ได้ เื่นี้ให้หมัวมัวจัดการก็แล้วกัน” ฮองเฮายิ้มพยักหน้า ในโลกใบนี้นอกจากมารดาของตน ก็มีแต่หมัวมัวข้างกายนี่แหละที่จะไม่มีทางทำร้ายนาง
หนานหมัวมัวมองหนานฮองเฮาอีกครั้ง ถามเสียงเบา “เช่นนั้น เื่ของหนิงอ๋องและชายาเล่าเพคะ? ”
“ปล่อยไปก่อน ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจก็แล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้นค่อยดูว่าเื่ของพวกเราสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จจริง เช่นนั้นเื่ที่เหลือก็ล้วนต้องวางแผน ต้องมองการณ์ไกล” หนานฮองเฮานึกถึงใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของจวินเหยียน นางเอื้อมมือไปหยิบไข่มุกราตรีที่อยู่ด้านข้างมาเล่นในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเขวี้ยงไข่มุกราตรีเม็ดนั้นลงพื้นโดยแรง
ถึงแม้รูปลักษณ์ของนังชั้นต่ำในตอนนั้นจะไม่เลว แต่คนก็ไม่มีทางงดงามไร้ผู้ทัดเทียมดังเช่นโอวหยางจวินเหยียนอย่างแน่นอน อีกทั้ง กลิ่นอายบนร่างของโอวหยางจวินเหยียนก็ไม่มีองค์ชายองค์ใดสามารถเทียบได้ แท้จริงแล้วมีเื่ใดที่นางไม่รู้เกิดขึ้นกัน?
“บ่าวทราบแล้วเพคะ” หนานหมัวมัวพยักหน้า ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การนั่งภูชมเสือกัดกัน [2]
……...........................................................................................
หลังจากที่อวิ๋นซีและจวินเหยียนกลับมาถึงจวนอ๋องแล้ว คนทั้งสองก็รีบออกไปจากจวนอ๋องผ่านช่องทางลับทันที กว่าพวกเขาจะไปถึงบ้านตระกูลฉิน ในห้องหนังสือก็มีคนรออยู่หลายคนแล้ว คนเหล่านี้คือคนที่จวินเหยียนให้ซุ่มตัวอยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว พวกเขาล้วนเป็คนขององครักษ์ั
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่า จวินเหยียนจะพานางมาพบคนเหล่านี้ นางเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “ท่านพาข้ามาเจอพวกเขา จะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือไม่? ”
จวินเหยียนได้ยินก็ส่งยิ้มให้พลางลูบศีรษะนาง พูดว่า “เ้าเป็นายหญิงของพวกเขา ข้าพามาเจอเสียหน่อยก็เป็เื่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด อีกประการ เ้านับเป็มันสมองของเรา เป็กุนซือของข้า”
อวิ๋นซีถึงกับกลอกตาใส่คำเยินยอที่ออกจากปากสามี “ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว”
“ยกย่องที่ใดกัน ข้าพูดเื่จริงทั้งนั้น” พูดจบ เขาก็พานางไปนั่งบนที่นั่งหลักเบื้องหน้า ขณะที่คนเหล่านี้ต่างก็ทยอยกันลุกขึ้นทักทาย “นายท่าน นายหญิง”
จวินเหยียนโบกมือ จากนั้นก็ให้แต่ละคนแนะนำตนเอง อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซีรู้อยู่นานแล้วว่า จวินเหยียนมีขุมกำลังลับอยู่ เพราะตัวนางเองก็กำลังรอให้เขาบอกเื่นี้กับนางมาโดยตลอด มิคาดวันนี้เขาจะพานางมาพบคนเหล่านี้
ภายในกลุ่มนี้มีทั้งหมดสี่คน สามบุรุษ หนึ่งสตรีที่ดูแล้วน่าจะมีอายุราวยี่สิบต้นๆ พวกเขามีนามว่า เหลยหง อ้านอี ิอี้ ส่วนสตรีงามเพียงผู้เดียวนี้มีชื่อว่า เซียนโหรว
เซียนโหรว? เมื่อนึกถึงชื่อนี้ จู่ๆ นางก็จำอวี่โหรวที่ตอนอยู่หานโจวเคยจับตัวจวินเหยียนไป ซ้ำร้ายคนยังวางยาจวินเหยียนอีกด้วย ตอนนี้อวิ๋นซีจึงมองเซียนโหรวอย่างนึกสนุก สายตาที่จดจ้องชวนให้เซียนโหรวที่สงบนิ่งมาตลอดยังอดหวั่นๆ ไม่ได้
นางคิดในใจ คงไม่ใช่ว่า นายหญิงเห็นนางเป็สตรีคนสนิทเพียงคนเดียวที่นายท่านเชื่อใจ จนคิดไปว่าตัวนางและนายท่านอาจจะมีความสัมพันธ์พิเศษอันใดต่อกันหรอกกระมัง
อวิ๋นซีมองท่าทีของเซียนโหรว อดยิ้มไม่ได้ “แม่นางเซียนโหรว ข้าเป็น้ำหลากสัตว์ร้ายหรือ? ก็แค่เห็นเ้าหน้าตางดงามจึงได้อยากมองให้นานสักหน่อย เหตุใดจึงต้องดูหวาดกลัวจนเหงื่อตกด้วยเล่า”
เมื่อเซียนโหรวได้ยินก็แทบอยากจะหนีไปจากที่นี่ทันที “นายหญิงพูดให้ขำแล้ว ท่านเป็นายหญิงของผู้น้อย หม่อมฉันย่อมมีเพียงความเคารพและภักดีต่อท่านและนายท่าน” นายหญิงหนอนายหญิง ท่านโปรดฟังให้ดี หม่อมฉันมีเพียงความเคารพและภักดีต่อท่านและนายท่านเท่านั้น ไม่เคยมีความคิดที่ไม่ควรแม้แต่น้อย
อันที่จริงอวิ๋นซีรู้อยู่แล้วว่า เซียนโหรวที่อยู่ตรงหน้านี้เป็ผู้หญิงที่อยู่ในใจของหัวหน้าหน่วยองครักษ์ัเว่ยหลง นางเคยได้ยินมาว่า คนทั้งสองร่วมพลิกฟ้าคว้าฝนกันบนเตียงไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
เพียงแต่นางก็แค่สงสัยว่า ผู้หญิงของเว่ยหลงจะหน้าตาเป็อย่างไร จึงได้อยากมองใบหน้านี้สักหลายทีหน่อย
“ข้ารู้ใจภักดีของเ้า” อวิ๋นซียิ้มพูดกับเซียนโหรว “ไม่กลัวก็ดี” เมื่อพูดจบ นางก็มองไปยังสามีที่นั่งอยู่ข้างกาย ถามว่า “เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเว่ยหลงเลยเล่า? ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] สังหารด้วยมือประคอง(捧杀)หมายถึง การยกยอชมเชยคนคนหนึ่งมากเกินไป จนทำให้คนผู้นั้นหลงระเริงและก่อความผิดพลาดในภายหลัง
[2] นั่งภูชมเสือกัดกัน(隔山观虎斗)หมายถึง นั่งชมสองฝ่ายที่รบกันจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเกิดเพลี่ยงพล้ำแล้วค่อยเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้