สารทฤดูยามพลบค่ำ แสงสีทองอ่อนๆ ของอาทิตย์อัสดงแผ่ปกคลุมหมู่บ้านตระกูลหวัง ควันจากการทำอาหารของแต่ละบ้านลอยอวลออกมาจากปล่องไฟสูงขึ้นไปตามสายลม
ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่บนเนินเขากลางหมู่บ้าน บ้านฟางสามแถวหลังเก่าทรุดโทรม แถวละสองสามห้อง บนพื้นบริเวณลานหน้าบ้านที่กว้างสองร้อยกว่าผิงหมี่ [1] ปูเต็มไปด้วยพริกสีแดงสด บนหลังคาของห้องแถวแรกก็ปูเต็มไปด้วยพริกสีแดงเช่นเดียวกัน ครั้นยืนมองบ้านและหลังคาที่ย้อมด้วยสีแดงจากที่ไกลๆ พลันทำให้เกิดความรู้สึกปีติยินดียิ่งนัก
เด็กสาวตัวน้อยรูปร่างผอมแห้งสามคนสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนถือกิ่งไม้เล็กๆ ยืนอยู่ในลานบ้าน คอยไล่ไก่ที่คิดจะมาขโมยกินพริกของพวกนาง
เด็กสาวตัวน้อยทั้งสามคนนี้เป็พี่น้องกัน ปีนี้คนโตสุดอายุหกขวบนามหวังพั่นตี้ คนกลางอายุสี่ขวบนามหวังเจาตี้ และคนสุดท้องอายุสองขวบกว่านามหวังฉิวตี้
พวกนางเป็บุตรสาวของสะใภ้ใหญ่ในผู้นำตระกูลรุ่นนี้
เด็กในครอบครัวยากจนนั้นเริ่มจัดการดูแลเื่ภายในบ้านั้แ่อายุยังน้อยแล้ว พริกเหล่านี้เป็พวกนางและผู้าุโในบ้านที่เก็บมาจากต้นพริกในที่ดิน ช่วยกันล้างทำความสะอาดและนำมาผึ่งตากแดดบนพื้นสะอาด
พริกมากมายขนาดนี้ล้วนเป็พริกที่เก็บในสารทฤดู นำมาทำเป็พริกแห้ง ส่วนหนึ่งแบ่งไว้กินเอง อีกส่วนนำไปขาย
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นฉุนกึกแสบจมูกของพริก เด็กสาวตัวน้อยทั้งสามคนจามเป็ระยะ ทว่าสีหน้าของพวกนางกลับไร้ซึ่งความรำคาญใจแต่อย่างใด นั่นเป็เพราะว่าอาหารเย็นมื้อนี้ไม่ต้องกินโจ๊กที่มีแต่น้ำอีกแล้ว แต่พวกนางจะได้กินข้าวแทน
จำนวนสมาชิกในตระกูลหวังมีมาก ทว่าที่ดินทำกินมีน้อย ทำให้ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารได้น้อยตาม ครอบครัวพวกเขากินอาหารวันละสองมื้อ อาหารเช้ากินข้าวกล้องต้มผสมกับข้าวขาว และผักที่ไม่ใส่น้ำมัน อาหารเย็นกินโจ๊กข้าวกล้องจืดชืด แม้แต่อาหารรองท้องง่ายๆ ที่ประหยัดเงินที่สุดก็ยังไม่มี
นับั้แ่หลี่ชิงชิงสะใภ้รองของผู้นำตระกูลหวังแต่งเข้าบ้าน และได้เอ่ยโน้มน้าวท่านผู้นำตระกูล อาหารเช้าต้องเป็ข้าวขาวบริสุทธิ์ ผัดผักก็ต้องใส่น้ำมัน อาหารเย็นเปลี่ยนจากโจ๊กเหลวๆ มาเป็ข้าวกล้องต้มผสมกับข้าวขาว และยังมีผักเสริมด้วย
เมื่อมีข้าวตกถึงท้อง กลางดึกก็ไม่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะหิวอีกแล้ว ไม่ต้องทนหิวจนปวดท้อง ทั้งยังมีกับข้าวสดใหม่ที่ปรุงรสด้วยเกลือให้กิน ชีวิตที่มีรสชาติความสุขก็ยิ่งทวีคูณ
บุตรสาวคนรองหวังเจาตี้มีใบหน้ากลมเล็ก จมูกเล็ก ตาชั้นเดียว ผิวคล้ำเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลหยาบกระด้างถักเปียเล็กๆ แววตามีความขี้ขลาดเล็กน้อย นางเหลือบมองไปที่ห้องครัวอยู่หลายที กลิ่นหอมของน้ำมันหมูลอยออกมาจากข้างใน ท้องน้อยๆ ของนางร้องโครกครากอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า "ข้าเห็นอาสะใภ้เอาพริกจำนวนมากกับกระเทียมอีกเล็กน้อยไป หรือว่าตอนเย็นพวกเราจะได้กินพริกกันเ้าคะ?"
"จริงหรือ?" พี่สาวคนโตหวังพั่นตี้มีใบหน้ายาว ตาเล็ก จมูกโต สันจมูกแบนเล็กน้อย ผิวคล้ำกว่าหวังเจาตี้อยู่บ้าง แววตาไม่สดใส รูปร่างผอมกว่าเด็กวัยเดียวกัน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย "แต่พริกเ่าั้ต้องขายทำเงินนะ"
สองวันก่อนท่านแม่ของนางจางฮวาหรือก็คือจางซื่อได้ทำผัดพริก ผัดไปเพียงสี่เม็ด น้อยจนแทบจะใส่ไม่เต็มหนึ่งจาน แต่ก็ถูกท่านปู่ท่านย่าด่าทอแล้ว นางจึงกังวลว่าหลี่ชิงชิงจะถูกท่านปู่ท่านย่าดุด่าเช่นกัน
"กินพริก ข้าอยากกินพริกที่ท่านอาสะใภ้ทำ" น้องสาวคนเล็กหวังฉิวตี้สูงไม่ถึงสามฉื่อ [2] รูปร่างผอมแห้ง ผิวดำคล้ำ ผมสีน้ำตาลอ่อนหยาบกระด้างมัดเป็จุกชี้ฟ้า ประหนึ่งต้นถั่วงอกแคระแกร็น นางอายุยังน้อยทว่าพูดคล่องแล้ว เพียงเอ่ยถึงพริกก็ตะกละอยากกินขึ้นมาจนอดน้ำลายไหลไม่ได้
"อีกประเดี๋ยวก็จะได้กินข้าวกับพริกแล้ว" หวังเจาตี้เอ่ยกับตนเอง ในใจพลันยิ้มอย่างมีความสุข
หวังพั่นตี้เอ่ยขึ้นมาเป็พิเศษว่า "ต้องรอท่านปู่ ท่านย่าและท่านพ่อกลับมาถึงจะกินได้"
จางซื่อมารดาของพวกนางเดินออกมาจากห้องโถงพร้อมหน้าท้องขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมา ก่อนจะะโด่าทอพวกนางเสียงดัง "ฟ้าจะมืดแล้ว ยังไม่รู้จักเก็บพริกเข้ามาอีก? ไม่รู้จักทำการทำงาน ช่างโง่เง่าเสียเต็มประดา!"
ปีนี้จางซื่ออายุยี่สิบหกปี นางแต่งให้กับหวังจื้อ นี่ถือเป็การแต่งงานครั้งที่สามของนางแล้ว
การแต่งงานครั้งแรก นางแต่งกับช่างไม้ ทว่าน่าเสียดายที่ช่างไม้ผู้นั้นอายุสั้น เพิ่งแต่งงานได้เพียงครึ่งปีก็เสียชีวิต แม้แต่บุตรสักคนก็ไม่ทิ้งไว้ให้นาง
การแต่งงานครั้งที่สอง นางแต่งกับคนขายเนื้อที่อายุมากกว่านางสิบปี คนขายเนื้อผู้นี้มีบุตรสาวติดมาหนึ่งคน นางดีต่อลูกเลี้ยงเป็อย่างยิ่ง ทว่าลูกเลี้ยงคนนี้กลับกล่าววาจาโป้ปดั้แ่อายุยังน้อย ใส่ร้ายว่านางปฏิบัติต่อเด็กสาวอย่างโหดร้ายทารุณ คนขายเนื้อฟังความข้างเดียวและทุบตีนาง มีครั้งหนึ่งที่เขาทำร้ายนางจนสลบไม่ได้สติไปหนึ่งวันหนึ่งคืน นางจึงจำต้องหย่ากับคนขายเนื้อเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
การแต่งงานครั้งที่สาม นางแต่งกับหวังจื้อที่อายุน้อยกว่าตนเองถึงสองปี ฐานะทางครอบครัวของหวังจื้อยากจนและยังมีความพิการ เขาเป็ลูกเลี้ยงของผู้เฒ่าหวังที่หลิวซื่อพามาด้วยจากการแต่งงานครั้งแรก ทว่าโชคดีที่หวังจื้อไม่เคยแต่งงานมาก่อน
หลังแต่งงาน ในตอนแรกความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นดีมาก ต่อมาจางซื่อให้กําเนิดบุตรสาวสามคนติดกัน หวังจื้อโกรธที่ไม่มีบุตรชาย พลอยเกิดความไม่พอใจต่อจางซื่อ ทำให้ไม่ค่อยไปเยี่ยมเยียนบ้านเดิมของจางซื่อ และไม่ค่อยสนใจบุตรสาวทั้งสามคนของตนเท่าไรนัก
ยามนี้จางซื่อตั้งครรภ์บุตรคนที่สี่แล้ว นางและหวังจื้อคาดหวังยิ่งนักว่าครรภ์นี้จะเป็ทารกเพศชาย
"เก็บพริก"
"รีบไปนำตะกร้ามาเร็ว"
"ตะกร้าใหญ่เกินไป ข้าถือไม่ไหวเ้าค่ะ"
สามพี่น้องทิ้งกิ่งไม้เล็กๆ แล้วเดินไปหยิบตะกร้ามาเก็บพริกบนพื้นใส่ลงไป
จางซื่อนั่งยองลงเก็บพริกพร้อมกับเหล่าบุตรสาวด้วยความยากลำบาก และยังคอยไล่ไก่ที่แอบมาขโมยกินพริกกันอย่างครึกครื้นเป็ครั้งคราว
ไก่ฝูงนี้มีทั้งหมดยี่สิบสามตัว ระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน หงอนของไก่ตัวผู้ยังไม่ทันงอกก็ขันเป็เสียแล้ว ครั้นไม่ได้กินพริกก็ส่งเสียงร้องโอ้กโอ้กอย่างไม่พอใจ เสียงขันของไก่ทั้งสั้นและต่ำ ฟังแล้วคล้ายกับเสียงขันทีอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่สี่แม่ลูกช่วยกันเก็บพริกอยู่นั้น หลี่ชิงชิงและหวังจวี๋ในห้องครัวก็กําลังก่อไฟทําอาหาร
หลี่ชิงชิงปีนี้อายุสิบหกปี นางสวมกระโปรงผ้าฝ้ายยาวสีฟ้าอมเขียวที่มีรอยปะชุน บนเอวผูกด้วยผ้าคาดเอวสีเทาหนึ่งผืนเผยให้เห็นเอวเพรียวบาง รูปร่างผอมสูง เรือนผมสีดําราวปีกกาดกหนามัดเป็มวยกลม ปักด้วยปิ่นไม้แกะสลักลวดลายจักจั่น ใบหน้ารูปไข่ สีผิวเหลืองเล็กน้อย คิ้วโค้งได้รูปทรงใบหลิว ดวงตาโต สันจมูกโด่ง ปากเล็ก ดวงหน้าสะคราญงามล้ำ แววตาสดใส รูปลักษณ์งดงามกว่าจางซื่ออยู่มาก ในหมู่บ้านตระกูลหวังนับว่าไม่เป็ที่หนึ่งก็เป็ที่สอง
นางเกิดในครอบครัวยากจนข้นแค้น บ้านเดิมของนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเสี่ยวเฉวียนที่อยู่บริเวณตีนเขาห่างออกไปหลายสิบลี้ [3] มีพี่สาวสองคน พี่ชายสองคนและน้องชายหนึ่งคน
เพื่อที่จะสามารถแต่งภรรยาให้กับพี่ชายและน้องชายทั้งสามคนของตน ฝั่งบ้านเดิมจึงได้ยึดสินสอดทั้งหมดของพวกนางสามพี่น้องเอาไว้ ไม่ให้เป็สินเดิมแก่พวกนาง กระทั่งชุดแต่งงานก็ยังไม่มี ให้พวกนางแต่งออกไปทั้งอย่างนี้
สินเดิมอันน้อยนิดของหลี่ชิงชิง เป็พี่สาวทั้งสองที่แต่งออกไปแล้วพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมมาให้นาง
ด้วยรูปลักษณ์ของนาง บ้านเดิมที่ฐานะยากจนเช่นนี้มิอาจตบแต่งกับคนในตำบลได้ ทำได้เพียงแต่งกับคนในหมู่บ้านเท่านั้น
โชคดีที่หมู่บ้านตระกูลหวังร่ำรวยกว่าหมู่บ้านเสี่ยวเฉวียนอยู่บ้าง อย่างน้อยหมู่บ้านตระกูลหวังก็สามารถกินอิ่ม ไม่ต้องทนหิว
หวังจวี๋เป็น้องสาวสามีของหลี่ชิงชิงและเป็บุตรสาวคนสุดท้องของผู้นำตระกูลหวัง นางสวมเสื้อผ้าสีเทาที่ทั้งเก่าและขาดรุ่งริ่ง ปีนี้อายุแปดปี นางมีใบหน้ากลมใหญ่ ร่างกายผอมแห้ง เรียวคิ้วหนา ดวงตาโตบุ๋มลึก ดูแล้วเหมือนเด็กตัวเล็กหัวโตที่ขาดสารอาหาร
นางเป็เด็กที่คลอดก่อนกําหนด ั้แ่เกิดจนบัดนี้ก็ป่วยและต้องกินยาอยู่ตลอด ครอบครัวใช้เงินกับนางไปเป็จํานวนมาก
ใช้เงินไปกับการรักษาอาการเจ็บป่วยมานานหลายปี ทำให้นางมีนิสัยเก็บตัวและช่างเบื่อหน่าย ทว่านางขยันขันแข็งเช่นหลิวซื่อและจางซื่อ เป็คนเอาการเอางาน แม้ว่าสุขภาพจะไม่ดีแต่ก็จะไม่อยู่นิ่ง นางทํางานทุกอย่างที่สามารถทําได้
พวกเด็กๆ ในครอบครัวชาวนาล้วนก่อไฟเองได้แล้ว ทว่ายามที่หลี่ชิงชิงทำอาหาร นางจะมีกลวิธีพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับไฟ
สองเดือนที่ผ่านมานี้พี่สะใภ้น้องสามีสองคนช่วยกันทําอาหาร เด็กหญิงก่อไฟ ส่วนพี่สะใภ้ทําอาหาร ทั้งสองคนร่วมมือกันได้ดีเยี่ยม
หลี่ชิงชิงตักข้าวที่หุงสุกแล้วออกจากหม้อและใส่ลงในถังไม้ จากนั้นใช้ฝาปิดที่ทำจากไม้ปิดเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวเย็น ด้วยปริมาณข้าวที่เพียงพอสำหรับคนเกือบสิบคน อีกทั้งถังไม้ก็มีน้ำหนักไม่น้อย นางจึงใช้สองมือยกถังไม้อันหนักอึ้งไปที่โต๊ะแปดเซียนในห้องโถงใหญ่ ครั้นกลับมาถึงหวังจวี๋ก็ล้างทำความสะอาดหม้อเหล็กขนาดใหญ่แล้ว
ในบ้านมีเพียงเตาหนึ่งเตาและกระทะเหล็กหนึ่งใบเท่านั้น ใช้ทำทั้งปรุงอาหารและผัดผัก ซึ่งหนึ่งในความปรารถนาของลูกสะใภ้คนใหม่อย่างหลี่ชิงชิงก็คือ การเพิ่มเตาและกระทะเหล็กอย่างละหนึ่งชุด
"น้องสาว ลดไฟลงสักหน่อยเถอะ" น้ำเสียงของหลี่ชิงชิงเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงและตื่นเต้นเล็กน้อย คืนนี้นางจะใช้พริกมาทําอาหารจานใหม่ให้ครอบครัวได้ลิ้มลอง
-------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ผิงหมี่ (平米) หมายถึง ตารางเมตร
[2] ฉื่อ (尺) หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อ = 33.33เิเ
[3] ลี้ (里) หมายถึง หน่วยวัดระยะทางของจีน โดย 1 ลี้ = 500เมตร
