เล่มที่ 10 บทที่ 290 ที่มาที่ไป
ทว่าเวลานี้เอง…
“ศิษย์พี่ๆ มีคนมา…”
“มีคนมาแล้วอย่างไร เอาแต่ตื่นตูมอยู่ได้!” นักพรตหยางิเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ก่อนจะถลึงตาใส่ แต่พริบตาถัดมานักพรตหยางิก็ถึงกับต้องตกตะลึง…
เพราะมีคนมาจริงๆ!
แถมยังมาตั้งสามคน…
ใช่แล้ว ผู้บำเพ็ญจิงตันสามคนเลยทีเดียว!
แถมยังเป็สุดยอดผู้บำเพ็ญจิงตันอีกด้วย!
ผู้าุโชื่อิจากสำนักโยวิ ผู้าุโหลงเซี้ยงจากสำนักเชียนซาน และผู้าุโชื่อเสียจากสำนักกระบี่หลีซาน…
ยอดฝีมือสามอันดับแรกของทะเลอูไห่ที่อยู่เหนือผู้บำเพ็ญนับหมื่นนับพัน บัดนี้กำลังเข้ามาพร้อมกันเลยทีเดียว…
ทันใดนั้นเองอย่าว่าแต่จิงต้าไห่เลย แม้แต่นักพรตหยางิยังอดที่จะตกตะลึงจนตาค้างไม่ได้ เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น ถึงกับพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน…
“หึหึ ศิษย์น้องหยางิ ไม่เจอกันนานเลยนะ…” ผู้าุโชื่อิเดินมาพร้อมกับไม้เท้าไผ่ในมือ ขณะที่เอ่ยก็ยังส่งยิ้มกันเองมาให้ ดูแล้วไม่เหมือนผู้าุโจิงตันเก้าโคจรแม้แต่นิดเดียว กลับเหมือนผู้เฒ่าใจดีบ้านใกล้เรือนเคียงเสียมากกว่า
“เอ่อ…” ใบหน้าของนักพรตหยางิถึงกับแข็งค้าง เป็นานกว่าเขาจะได้สติ ก่อนจะพาจิงต้าไห่เข้ามาคารวะผู้มาใหม่ทั้งสาม
“ศิษย์พี่ชื่อิ ศิษย์พี่หลงเซี้ยง ศิษย์พี่ชื่อเสีย มะ…มาได้อย่างไร?”
และท่าทีหลังจากนี้เอง ก็ทำให้รู้ว่าตัวตั้งตัวตีในครั้งนี้ก็คือผู้าุโชื่อิ เพราะหลังจากนักพรตหยางิและจิงต้าไห่คารวะเสร็จ ผู้าุโหลงเซี้ยงและชื่อเสียก็ยิ้มน้อยๆออกมา ก่อนจะถอยร่นออกไปยืนด้านข้าง ปล่อยให้ผู้าุโชื่อิยืนอยู่ด้านหน้าเพียงคนเดียว
“แน่นอนว่าพวกข้ามาที่นี่ ก็เพราะโลงศพหินที่อยู่เหนือขั้นบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นนั่น…” เมื่อสิ้นเสียง ผู้าุโชื่อิก็ส่ายหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องใไปหรอก รอคนครบก่อนค่อยว่ากัน…”
“หือ?” นักพรตหยางิได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักลง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“รอใครอย่างนั้นหรือ?”
ทว่านักพรตหยางิไม่ทันจะพูดจบ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาเสียก่อน…
ที่จริงจะเรียกว่าแค่บางคนก็คงไม่ถูกนัก…
แต่เป็ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…
เมื่อกวาดตามองไป ก็เห็นว่ามีผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันกว่าสิบคนกำลังมุ่งหน้าเข้ามามา ทั้งผู้าุโเว่ยจากสำนักหมัดเซียน ปรมาจารย์โจวจากหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้าุโอู๋จากสำนักซินเหอ สวี่เซียนเหนียงจากสำนักเฟยอวิ๋น รวมถึงเหล่ยหวังกับเยาเตาจากพรรคมาร…
หากรวมผู้าุโทั้งสามเข้าไป…
ก็แปลว่าบรรดาคนที่ยืนอยู่เชิงบันไดหินในตอนนี้ ก็คือยอดฝีมือจิงตันสิบกว่าคนของทะเลอูไห่นั่นเอง…
“นี่มัน…” การได้เห็นผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันมารวมตัวกันมากขนาดนี้ ทำให้นักพรตหยางิสังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นอีกแน่…
และก็เป็เช่นนั้นจริงๆ…
ทว่าตอนที่นักพรตหยางิกำลังแตกตื่นอยู่นั้น ผู้าุโชื่อิก็เดินออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หึหึ ข้าผู้เฒ่ารู้ว่าเ้าคงจะมีข้อสงสัยมากมาย แต่เื่นี้เกี่ยวพันถึงความเป็ความตาย ข้าผู้เฒ่าจึงไม่มีเวลาอธิบาย บัดนี้ขอถามเ้าเพียงคำเดียว ยังจำได้ไหมว่าแรกเริ่มทะเลอูไห่มีสภาพเช่นไร?”
“สภาพแรกเริ่มของทะเลอูไห่อย่างนั้นหรือ?” ทว่านักพรตหยางิยังไม่ทันเอ่ยตอบออกมา ผู้าุโชื่อิก็เอ่ยเสริมออกมาก่อน
“ในอดีตตอนที่สำนักโยวิ สำนักเชียนซาน และสำนักกระบี่หลี่ซานร่วมมือกันเพื่อบุกเข้ามาที่ทะเลอูไห่แห่งนี้ ที่นี่ไม่ได้มีสภาพเป็อย่างทุกวันนี้หรอก ขอพูดตามตรงเลยว่าที่แห่งนี้เป็เหมือนนรกบนดินก็ว่าได้ มีมารปีศาจอาศัยอยู่เป็จำนวนมาก พวกมันต่างก็กลืนกินพวกพ้องเดียวกันอย่างบ้าคลั่ง และในเวลาสั้นๆเพียงปีเดียวหลังจากสามสำนักบุกเข้ามา ก็มีศิษย์พากันล้มตายไปนับร้อยนับพันคนเลยทีเดียว…
“ที่แท้ตำนานนั่น ก็เป็ความจริงหรือนี่…”
“ใช่แล้ว…” ผู้าุโชื่อิพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“หึหึ ในตอนนั้นที่ใจกลางทะเลอูไห่ก็มีโลงศพหินอยู่เช่นกัน และที่เหนือโลงนั้น ยังมีโคมไฟเขียวดวงหนึ่งลุกโชติ่อยู่ด้วย ตอนแรกสามสำนักใหญ่คิดว่าภายในโลงจะต้องซ่อนโชควาสนาใหญ่หลวงเอาไว้เป็แน่ จึงมีผู้บำเพ็ญมากมายพากันพุ่งตัวเข้าไปแสวงหาโชคลาภในนั้น แต่น่าเสียดายที่ต่างก็ล้มเหลวจนต้องดับสูญไป กระทั่งวันหนึ่งได้มีปรมาจารย์จากสำนักกระบี่หลีซานเดินออกมาจากโลงนั่น และในตอนนั้นเองสามสำนักใหญ่ถึงได้รู้ว่าโลงศพหินนี้ต่างหากล่ะ ที่เป็ต้นตอของหายนะทั้งหมด…”
“หือ?”
“เพราะภายในโลงมีเซียนท่านหนึ่งอยู่!”
เมื่อสิ้นเสียงผู้าุโชื่อิ ไม่เพียงแต่นักพรตหยางิและจิงต้าไห่เท่านั้น แต่ผู้บำเพ็ญจิงตันอีกสิบกว่าคนที่เหลือยังอดที่จะอุทานด้วยความใไม่ได้ ผู้ที่ไม่เกิดไม่แก่ ไม่ดับสูญเท่านั้นแหละ ถึงจะมีสิทธิ์ถูกเรียกว่าเซียน!
“จะว่าไปก็ตลกดี ผู้บำเพ็ญในเป่ยจิ้งก็มีไม่น้อยเลย วันเวลาก็ล่วงเลยผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่กระทั่งวันนี้ ข้าถึงได้รู้ว่าเซียนเองก็สามารถดับสังขารได้…”
แม้ผู้าุโชื่อิจะพูดให้ฟังดูเป็เื่ตลก แต่ผู้บำเพ็ญจิงตันนับสิบที่ฟังอยู่ กลับไม่รู้สึกว่าเป็เื่น่าขันเลยแม้แต่น้อย เพราะบัดนี้สายตาทุกคนต่างก็กำลังจับจ้องไปที่ผู้าุโชื่อิ…
“หลังจากเซียนท่านนี้ดับสังขารลง เขาก็ถูกฝังอยู่ในโลงศพหินนี่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแรงอาฆาตจึงไม่สลายไปทั้งที่ผ่านมานานมากแล้ว ดังนั้นพอเหล่ามารปีศาจในทะเลอูไห่ััแรงอาฆาตนี้เข้า แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ก็จะทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งจนเสียสติ สุดท้ายก็กลายเป็สัตว์ป่าที่รู้จักแต่การเข่นฆ่าเท่านั้น…”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นหรือ?” ผู้าุโชื่อิหัวเราะน้อยๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“จากนั้นทั้งสามสำนักก็ร่วมมือกัน สุดท้ายก็ล่มโลงศพนั่นลงไปใต้ทะเลอูไห่ได้ แต่ก็กลัวว่าสักวันโลงศพนี้จะลอยขึ้นมา ทั้งสามสำนักจึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเมืองวั่งไห่และค่ายกลคุ้มกันเมืองขึ้นมา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลายหมื่นผ่านไป โลงศพนี้จะไปซ่อนตัวอยู่ที่เกาะร้าง และปรากฏออกมาอีกครั้ง…”
“เช่นนั้นแล้ว ควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
“อันที่จริง…” ผู้าุโชื่อิยิ้มบางๆ ทว่าในรอยยิ้มนั้น กลับแฝงไปด้วยความละอายใจ
“ตาแก่อย่างพวกข้าทั้งสามก็คิดไม่ถึงว่าโลงศพจะซ่อนอยู่ในเกาะร้าง กระทั่งรู้ว่ามารปีศาจคลุ้มคลั่งหลังจากโลงศพเปิดออก พวกข้าจึงนึกถึงเื่ในอดีตขึ้นมา เหตุการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับตอนที่สามสำนักใหญ่เพิ่งเข้ามายังทะเลอูไห่ไม่ผิดเพี้ยน พวกข้าจึงปรึกษากันว่าจะต้อง่ชิงโคมเขียวนั่นมาเสียก่อน…”
“โคมเขียวนั่นไม่ใช่…” นักพรตหยางิได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเฮือกทันที เพราะโคมเขียวเป็สิ่งที่าาอสุรกายกุ่ยตี้หมายตาเอาไว้…
“หึหึ กุ่ยตี้ไม่สามารถออกจากทะเลอสูรได้ ต่อให้มีพลังร้ายกาจแล้วจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายมันก็ยังทำอะไรพวกข้าทั้งสามไม่ได้อยู่ดี…” แม้ผู้าุโชื่อิจะไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงเอ่ยเท่านี้นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ว่าสามสำนักใหญ่มั่นใจขนาดไหนแล้ว…
เมื่อสิ้นเสียง ผู้าุโก็หันไปคารวะอากาศสามครั้ง
“เชิญผู้าุโสำแดงตัว”
ทันใดนั้นโคมเขียวดวงหนึ่งก็ลอยออกมา ภายใต้แสงสีเขียวสลัวกลับเต็มไปด้วยพลังอันกล้าแกร่ง ทุกจุดที่ลำแสงพาดผ่านล้วนสงบนิ่งลงทันที แม้แต่พลังที่ปั่นป่วนภายในอากาศก็ยังสลายไปในพริบตา…
จากนั้นผู้าุโชื่อิก็ยกสองมือประคองโคมเขียวเอาไว้ โดยมีผู้าุโหลงเซี้ยงและชื่อเสียตามอยู่ด้านหลัง คนทั้งสามต่างก็ฉายใบหน้าเคร่งเครียดออกมา บัดนี้พวกเขากำลังเดินขึ้นไปยังบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นอย่างช้าๆ…
ทันใดนั้นเอง ก็มีลำแสงสีเขียวสาดส่องออกมา ทุกจุดที่ลำแสงพาดผ่านล้วนแปรเปลี่ยนกลับตาลปัตรจนหมด พื้นดินที่คล้ำแดงก็กลายเป็สีเขียวชอุ่ม ดูมีชีวิตชีวาเป็อย่างมาก ต้นหญ้าเขียวขจีก็งอกเงยขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็มีพืชพันธุ์นานาชนิดเจริญเติบโตกลายเป็ต้นไม้สูงใหญ่ จากนั้นก็ผลิใบหนาทึบ จนเกิดเป็เงาแสนร่มรื่น เพียงกระแสลมพัดผ่านก็มีกลิ่นแมกไม้หอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ…
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------