เ้าของร้านหลิวจี้อยากได้ร้านที่นางเพิ่งซื้อมาหรือ?
ทำไมกัน?
หลินฟู่อินก้มหน้าลง ในดวงตามีประกายขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมากล่าว “หากเถ้าแก่หลิว้าจริงๆ ก็คงซื้อไปนานแล้วมิใช่หรือ?”
“หืม?” หลิวฉินย่นคิ้ว ก่อนจะยื่นมือออกไปจับขอบประตู กล่าวว่า “ข้าน่ะอยากซื้อมานานแล้ว แต่ร้านค้าน่ะผุดขึ้นเป็ดอกเห็ดตลอดเวลา ทั้งยังไม่เคยมีใครได้ยินอีกว่าเ้าของอยากขายร้านนั้น และเมื่อรู้ตัวกันอีกทีเ้าก็ซื้อไปแล้ว เ้านี่โชคดีนัก!”
หลินฟู่อินเข้าใจว่ามันเป็เช่นนั้นจริง แล้วจึงคิดว่าดวงของนางดีมากจริงๆ
“พ่อข้าเองก็อยากได้ร้านนั้นมานานแล้ว เพราะเขาชอบสวนด้านหลังที่กว้างขวางหลังร้านนั่น แม้จะมีการก่อสร้างเพิ่มไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังเป็ที่ที่เหมาะสำหรับการเปิดภัตตาคาร” หลิวฉินกล่าวอย่างจริงจัง แล้วจึงถามออกมาพลางมองหลินฟู่อิน “ฟู่อิน เ้าว่ายังไง? อยากขายหรือไม่? หากอยากขาย พ่อข้าบอกว่าจะเพิ่มราคาให้อีกสองส่วนเลย!”
อยากได้ไปเปิดสาขานี่เอง ตัวร้านเองก็ค่อนข้างกว้างด้วย ยิ่งเป็ร้านนั่งด้วยแล้ว…
หลินฟู่อินคิดถึงการต่อเติมที่หลิวฉินกล่าวถึง เขาอยากจะเพิ่มชั้นหรือ?
เป็ไปได้ อย่างไรเสียก็มีหลายภัตตาคารที่มีสองหรือสามชั้นทั้งที่ตัวร้านแคบ
แม้จะเป็ร้านไม้ แต่มันก็ทนทานมาก
แต่จะให้นางขายร้านดีๆ เช่นนั้นก็คงไม่ได้
นางจึงยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า “ข้าชอบทั้งตัวเรือนและร้านค้า ข้าก็เคยคิดจะถามท่านอยู่เช่นกันว่ามีที่ดีๆ แนะนำหรือไม่”
นี่เป็การปฏิเสธอ้อมๆ
แม้หลิวฉินจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็มิได้เสียใจ อย่างไรเสียการซื้อขายไม่สำเร็จก็เป็เื่ธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป อีกทั้งร้านนี้ยังไม่ได้มีทำเลที่ดีเลิศนัก จึงถือว่าดีอยู่
หลินฟู่อินก็เป็คนมีวิสัยทัศน์ การไม่เอาด้วยจึงมีมูล
“ท่านช่างมีลูกเล่นแพรวพราวจริงๆ ดูท่าว่าการทำธุรกิจแบบเดิมๆ จะมิได้มีค่าเท่าผู้ที่ลงมือทำเสียแล้ว” เมื่อเห็นหลิวฉินจากไปในรถม้าแล้ว แม่นมฉินที่อุ้มเสี่ยวเป่าอยู่จึงเดินออกมากล่าวกับฟู่อินด้วยรอยยิ้ม
นี่มิใช่การเยินยอ ตลอด่เวลาที่นางได้เฝ้ามองหลินฟู่อินมาตลอดหลายวันมานี้ ทำให้นางรู้สึกได้ว่าป้าของนางเสนอทางที่ดีที่สุดให้นางแล้วจริงๆ
การติดตามเ้านายเช่นนี้ นางรู้สึกได้เลยว่าจิตใจอันหมองหม่นของนางได้เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้ง
หลินฟู่อินมองแม่นมฉินด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือออกไปเล่นกับเสี่ยวเป่า แล้วกล่าวออกมา “การทำธุรกิจนั้นซับซ้อนและยุ่งยาก การทำให้เป็เื่ง่ายๆ จึงย่อมดีกว่า ท่านแม่ของข้าบอกข้าไว้เช่นนั้น”
จากนั้นนางจึงคืนเสี่ยวเป่าให้แม่นมฉินด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปดูที่ที่ข้าเพิ่งซื้อมาก่อนนะเ้าคะ”
“เข้าใจแล้ว” เพราะความแคลงใจในตัวหลินฟู่อินของแม่นมฉินได้ถูกปัดเป่าไปด้วยคำกล่าวนั้นแล้ว นางจึงรับเสี่ยวเป่ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “่เวลาที่พวกเด็กๆ จะอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพี่สาวคงใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้ต้องดื่มนมให้มากๆ ”
แม่นมฉินไม่เคยมีบุตร การที่นางรักเด็กมากขนาดนี้จึงนับได้ว่าหายาก หากมิใช่เพราะนางเคยตัดสินใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับหลินฟู่อินนานแค่ไหน นางก็คงไม่อยากจากไปเพราะว่าความน่ารักของเด็กๆ ทั้งสอง
และเหมือนกับผู้ปกครองทั่วๆ ไป คนบางกลุ่มนั้นชอบที่จะอวดลูกๆ แม้หลินฟู่อินจะเป็พี่สาว นางก็ยิ้มออกมาทันทีเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น นางพยักหน้า “ถูกแล้ว ทั้งสองอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีนัก จนชาวบ้านหลายคนพากันอิจฉาเลย”
“ถูกต้อง” แม่นมฉินขานรับขึ้นมาด้วยท่าทีภูมิใจ ก่อนจะมองฟ้าแล้วกล่าวขึ้นมา “คุณหนูรีบไปเถอะ อาทิตย์เริ่มตกเรื่อยๆ แล้ว ท่านรีบไปแล้วกลับมาทานมื้อเย็น”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับ จากนั้นจึงไปหยิบหมวกฟาง ก่อนจะออกเดินทางไป
เมื่อไปดูที่ให้ดีแล้ว จึงได้พบว่ามันเป็ที่แห้งร้าง มีวัชพืชขึ้นเป็หย่อมๆ ค่อนข้างเล็ก ดูท่าที่หลี่เจิ้งตีว่ามีที่อยู่หกถึงเจ็ดไร่นี่จะเกินจริงไปเสียหน่อย
บ้านใหม่ของบ้านสองนั้นถูกสร้างขึ้นบริเวณกลางที่ หลินต้าเหอและเฟิงซื่อเพิ่งกลับมาจากการเก็บถั่วตากพอดี เห็นหลินฟู่อินที่ถือหมวกฟางอยู่ในมือจากที่ไกลๆ แล้ว เฟิงซื่อจึงวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา
“ฟู่อิน อากาศเช่นนี้แล้วยังจะวิ่งออกไปไหนอีกหรือ? นี่ร้อนจนเหงื่อซ่กเลยนะ” จากนั้นนางจึงหยิบเอาผ้าขาวสะอาดที่พันไว้ที่แขนออกมาซับเหงื่อให้ ปากก็บ่นไป “แล้วเ้าเห็นว่าไร่นี้เป็อย่างไรหรือ? มีอะไรอยากบอกกับพวกข้าหรือไม่?”
มีเหตุผลที่ทำให้เฟิงซื่อกล่าวออกมาเช่นนี้อยู่ เพราะบ้านของพวกนางได้เก็บถั่วตากมาแทบจะครบจากทั้งหมู่บ้านหูลู่และจากหมู่บ้านรอบๆ แล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกนางจึงว่างและสะดวกที่จะช่วยฟู่อินทำสวน หรือเก็บไข่ หรืออะไรก็ตาม
หลินฟู่อินรับเอาความห่วงใยของเฟิงซื่อไว้ ยิ้มออกมาพลางจับมือนางไว้แล้วเดินไปยังบ้านสอง “ช้าซื้อที่ตรงนี้มาเพื่อใช้ทำเกษตร ข้าจึงคิดว่าอยากจะลองปลูกพืชสมุนไพรหลายๆ อย่างดูก่อนในปีแรกๆ”
“แบบนั้นจะไม่เป็ไรหรือ?” หลินฟู่อินหัวเราะ “ป้าสอง ข้าอยากให้ท่านและลุงสองช่วยทำปุ๋ยให้ข้าหน่อย จากนั้นเราจะมาพลิกที่ดินของที่ผืนนี้กัน เสร็จแล้วใส่ปุ๋ยนั่นเข้าไป เมื่อดินได้ที่แล้ว ข้าจะลองเริ่มปลูกในฤดูใบไม้ผลิ”
เฟิงซื่อเห็นว่านางไร้ซึ่งความกังวลเช่นนี้ จึงไม่กล่าวสิ่งใดอีก แล้วพยักหน้าเบาๆ “ได้ นั่นคงเป็วิธีใช้ลุงสองของเ้าที่ดีที่สุดแล้วด้วย ไว้ใจได้ เพราะลุงสองของเ้าน่ะเป็ที่หนึ่งของหมู่บ้านในเื่งานไร่เช่นนี้!”
เฟิงซื่อกล่าวอย่างภูมิใจ
หลินฟู่อินยิ้มออกมา
เมื่อฝากงานปรับปรุงที่ให้เฟิงซื่อไปแล้ว หลินฟู่อินจึงหยิบเอาก้อนเงินใหม่เอี่ยมออกมายื่นให้เฟิงซื่อ “ท่านป้าสอง ข้าี้เีคิดมาก นี่เป็เงินเดือนสำหรับครึ่งเดือน รวมของพี่ซานหลางด้วย”
เฟิงซื่อเห็นแล้วก็ตะลึงไป พวกนางจ่ายเงินให้หลินฟู่อินเดือนละสามสิบถึงสี่สิบตำลึงเงินเสมอ และไม่เคยคิดขอเงินส่วนนั้นคืน
“ไม่ได้นะ จะให้พวกข้ารับไว้ได้ยังไง?” เฟิงซื่อปฏิเสธทันที “พวกข้าจ่ายหนี้ที่ค้างเ้าอยู่ไม่ไหวด้วยซ้ำ แล้วจะให้พวกข้ารับเงินเพิ่มจากเ้าไปมากกว่านี้ได้ยังไงกัน!?”
วันนี้หลินฟู่อินทำเงินได้มากถึงร้อยตำลึงเงิน นางจึงมีความสุขมาก และเพราะวันก่อนนางยุ่งมากจนลืมจ่ายค่าจ้างให้บ้านสอง เมื่อฟังที่ย่าหลี่พูดนางถึงได้รู้ว่าพวกเขาทานแต่ข้าวต้มมาหลายวันแล้ว
จะไปยอมได้อย่างไรกัน? หลินเฟิน หลินฟางและหลินซานหลางต่างก็อยู่ในวัยกำลังโต ต้องทานให้มากกว่านี้สิ
“รับไปเถอะเ้าค่ะ ป้าสอง อย่าได้เขียมเงินค่ากิน ซี่โครงนั้นราคาถูก ไขมันเองก็มิได้แพง ซื้อให้มากขึ้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายของพวกพี่อาเฟินและพวกท่านเสีย หากเหนื่อย ก็ทานให้มากขึ้นด้วย”
ฟังหลินฟู่อินแล้ว เฟิงซื่อก็น้ำตาไหล นอกจากบิดาและมารดาของนางแล้ว ก็เพิ่งมีหลานสาวของบ้านสามีนางผู้นี้เองที่เป็ห่วงไปจนถึงเื่อาหารการกินของนาง
แต่จะรับเงินก้อนนี้ไว้ไม่ได้!
แม้เฟิงซื่อจะรู้ว่าข้าวสารที่บ้านใกล้หมดแล้ว และก้อนเงินตรงหน้าก็มีค่าไม่น้อย แต่นางก็ไม่กล้ารับไว้ นางไม่กล้าพอ
“ท่านป้าสองเป็กังวลเื่หนี้อยู่หรือ?” หลินฟู่อินมองเค้าความอับอายในสายตาของเฟิงซื่อ จึงได้รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ เลยถามออกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้