“อย่าเพิ่งรีบตอบเลย!”
ไป๋ฉีพูดขึ้นมา เขาก็ใกับอสุนีคำรามที่ฉินอวี่แสดงออกมา และคิดว่าฉินอวี่เป็คนตระกูลเหลยของตี้หวังเช่นกัน
พละกำลังของเหล่าเอ้อนั้น ไป๋ฉีเองเคยพบเจอมาด้วยตนเองแล้ว หลายปีมานี้ เพื่อให้สามารถเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ได้ ไม่รู้ว่าเหล่าเอ้อสังหารเหล่าอัจฉริยะมาแล้วเป็จำนวนมากเท่าไร หากคนตระกูลเหลยของตี้หวังถูกสังหาร ย่อมเกิดปัญหาวุ่นวายเป็เื่ใหญ่แน่นอน
ฉินอวี่ส่ายหน้า และกล่าวย้ำอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ข้าไม่อยากตายกว่าพวกเ้าเสียอีก ตัวข้าเองก็มีคุณค่า ตนเองก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มาสิ” พูดจบ ฉินอวี่ก็รวบรวมอสุนีคำรามอีกครั้ง จ้องตรงไปทางเหล่าเอ้อ
แม้ว่าฉินอวี่จะมีความมั่นใจในตนเอง แต่เหล่าเอ้อนั้นก็ดูไม่แน่นอน ในขณะที่เขาลังเลอยู่นั้น กลับได้ยินฉินอวี่พูดขึ้นมา “เ้าก็ไม่ต้องกังวลหรอกว่าหากทำอะไรข้าแล้วจะไปล่วงเกินใคร เพราะข้าคือหลี่โหย่วฉาย ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเหลย แต่กลับกันเพราะข้ามีเื่ไม่ลงรอยกับศิษย์ตระกูลเหลย”
“เ้าแน่ใจหรือ?” เหล่าเอ้อเงยหน้าขึ้นมองฉินอวี่และพูดขึ้น
“เ้ากล้าจะเอาวงศ์ตระกูลของเ้ามาล้อเล่นหรือ?” ฉินอวี่ย้อนถาม
ยังไม่ทันพูดจบ เหล่าเอ้อก็ลงมือทันที กระแสวังวนพลังปะทุขึ้น หมัดอันแข็งแกร่งเปล่งแสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ก่อนจะกลายเป็อสูรร้ายที่พุ่งเข้าหาฉินอวี่
“ตูม ตูม ตาม!” เกิดเสียงะเิดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว
อสุนีลึกลับที่ปกคลุมร่างของฉินอวี่แตกออกในทันที เสียงัดังกึกก้อง ในขณะที่อสุนีลึกลับกำลังะเิออก งูอสุนีบาตที่อยู่ติดตัวบนอสุนีลึกลับก็ขยับตัวทันที พลันมุ่งหน้าเข้าหาลำแสงหมัด
ลำแสงหมัดที่ทรงพลังถูกงูอสุนีบาตประจำตัวทะลวงเข้าไป แต่ลำแสงหมัดนั้นยังไม่สลายไปไหน ทว่ากลับกลายเป็ดั่งมวลน้ำที่ไหลเข้าท่วมทับฉินอวี่ในทันที
ร่างของฉินอวี่ถอยหลังออกไปไม่หยุด ทั่วทั้งลานแห่งนี้เต็มไปด้วยการควบคุมต้องห้ามที่ไป๋ฉีวางเอาไว้ ขณะที่ฉินอวี่กำลังถอยห่างออกไป ข้อจำกัดเหล่านี้ได้ถูกทำลายจนแตกสลายทันที และแล้วฉินอวี่ก็หยุดลงหลังจากถอยห่างออกไปเป็ระยะทางหลายจ้าง
“พรวด!” ฉินอวี่กระอักเืออกมาคำโต เสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าอกยุบตัวลงเล็กน้อย แต่อาการาเ็เช่นนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับฉินอวี่มากนัก เมื่อจ้องไปบนหน้าอก สีหน้าของฉินอวี่ก็ดูเหมือนเอาแน่นอนไม่ได้ ราวกับว่ากำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นว่าฉินอวี่ได้แต่ถอยห่างออกไปหลายจ้าง ทั้งสามคนต่างเบิกตาโพลงจ้องมายังฉินอวี่ และหวังมู่ถึงกับต้องขยี้ตา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้น “เหล่าเอ้อ เ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้อ่อนข้อให้?”
ไป๋ฉีหันกลับไปมองเหล่าเอ้ออย่างตัวแข็งทื่อ
เหล่าเอ้อขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าอันตอบของเขาเผยให้เห็นความประหลาดใจและเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะไม่ได้โจมตีไปด้วยหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ใช้พลังไปถึงเจ็ดส่วน นึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะแก้การโจมตีหมัดของเขาได้ง่ายดายเช่นนี้ แม้ว่าฉินอวี่จะได้รับาเ็ แต่อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกฝนของเขาก็เป็ถึงระดับสูงสุดของขั้นเทพ์ ซึ่งนับว่าสูงกว่าระดับฝึกฝนของฉินอวี่อยู่มากยิ่งนัก
เหล่าเอ้อจ้องมองฉินอวี่ งูอสุนีบาตสองสายก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา เขาคาดเดาได้ว่าการที่ฉินอวี่สามารถรับมือแก้กับหมัดของเขาได้จะต้องเกี่ยวกับงูอสุนีบาตอย่างแน่นอน
“หลี่โหย่วฉาย เ้าไม่กลัวบ้างเลยหรือ?” เมื่อหวังมู่เห็นฉินอวี่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาจึงพูดขึ้นทันที
ฉินอวี่แสร้งทำหูทวนลม ในตอนนี้เขากำลังหวนนึกถึงพลังที่แฝงอยู่ในหมัดของเหล่าเอ้อ และเป็อย่างที่เหล่าเอ้อคาดเดาไว้ การที่ฉินอวี่รับมือกับหมัดโจมตีของเหล่าเอ้อได้ง่ายดายเช่นนี้ โดยสำคัญแล้วมาจากการอาศัยพลังของงูอสุนีบาต การโต้กลับของงูอสุนีบาตเหมือนจะทำให้พลังของเหล่าเอ้อลดลงเกือบครึ่ง และพลังที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังแข็งแกร่งเกินความคาดหมายของฉินอวี่อย่างยิ่ง
ในตอนนี้รู้สึกได้ว่างูอสุนีบาตได้ขดตัวกลับเข้าไปในร่างกายแล้ว ฉินอวี่แอบถอนหายใจอยู่ภายใน พลังในร่างกายของเหล่าเอ้อผู้นี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้มาก และเป็ไปได้ว่านี่อาจไม่ใช้พลังการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา หากมีการต่อสู้กันโดยลำพังจริงๆ เกรงว่าคงมีพลังที่รุนแรงกว่านี้ และหากต้องสู้กันอย่างเอาเป็เอาตาย ก็คงมีหนทางเดียวที่จะสู้กับเขาได้ นั่นคือการเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่ง เพื่อใช้พลังว่านจ้ง
ฉินอวี่ไม่เพียงแต่ถอนหายใจเท่านั้น หลังจากเข้าถึงระดับเทพ์ พลังในร่างกายไม่ว่าเป็การป้องกันหรือพละกำลัง ก็จะมีความก้าวหน้าขึ้นอีก และเหล่าเอ้อก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเทพ์ ร่างกายของเขาจึงยิ่งมีความแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
หากคิดจะเอาชนะในการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี คงไม่ใช่เื่ง่าย!
เพียงแต่ ความแข็งแกร่งของอสุนีคำรามประจำตัวนั้นก็เกินกว่าความคาดหมายของฉินอวี่ หากยกระดับอสุนีคำรามประจำตัวขึ้นเป็อสุนี์ประจำตัว พลังที่ใช้ได้ก็จะเกินกว่าจะจินตนาการได้เลยทีเดียว
“จะชนะได้หรือไม่ ก็ต้องมารอดูอสุนี์ประจำตัวแล้ว” ดวงตาของฉินอวี่เปล่งประกาย หากเรียกอสุนี์ประจำตัวได้ อย่างน้อยเขาก็มีความมั่นใจมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
หลังจากหยิบโอสถออกมากลืนเข้าปากไปเม็ดหนึ่ง ฉินอวี่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเหล่าเอ้อ และพูดว่า “นี่เป็พลังกี่ส่วนของเ้า?”
“เจ็ดส่วน!” เหล่าเอ้อตอบอย่างหนักแน่น
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสงบพลังปราณของตนเอง และพูดอย่างเฉยเมย “ในตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติพอจะอยู่ที่นี่แล้วหรือไม่?”
“แน่นอน!” เหล่าเอ้อมองฉินอวี่อย่างจริงจัง และพูดอย่างเรียบเฉย
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะหันกลับเข้าห้องพัก เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ฉินอวี่จำเป็ต้องใช้เวลาครึ่งปีนี้ยกระดับอสุนีคำรามประจำตัวให้กลายเป็อสุนี์ประจำตัว เช่นนี้ เขาจึงจะมีสิทธิ์ได้เป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี
หวังมู่ ไป๋ฉี และหยางซานต่างมองดูฉินอวี่ที่กำลังเดินเข้าห้อง หวังมู่ขมวดคิ้วขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา “หนาววาบ ดูเหมือนว่ารู้สึกได้ว่าพลังหมัดของเหล่าเอ้อที่ตนรับนั้นมีพลังมากกว่า ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้ทำไมเหล่าเอ้อใช้พลังไปเพียงเจ็ดส่วน? เขาก็ไม่ใช่คนในตระกูลเหลยของตี้หวัง ฆ่าเขาด้วยพลังสิบส่วนก็ไม่เห็นเป็ไร ต่อให้ไม่ฆ่าเสียตอนนี้ เมื่อถึงการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี เขาก็ต้องถูกสังหารอยู่ดีมิใช่หรือ?”
หยางซานไม่ได้ตอบอะไร เขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าต่อให้ตนเองใช้พลังถึงสิบส่วนก็คงไม่สามารถสังหารฉินอวี่ได้อยู่ดี!
“หลี่โหย่วฉายคนนี้แปลกนัก มีร่างอสุนีลึกลับอยู่ในแดนต้าโหมวเทียน แต่เขากลับไม่ใช่คนในตระกูลเหลยของตี้หวัง... ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่ธรรมดา? เหอๆ ต่อให้รับหมัดที่มีพลังสิบส่วนของเหล่าเอ้อได้แล้วจะทำไม? หรือหากเขาสามารถกลายเป็ลูกพี่ขึ้นมาได้ แล้วจะเป็คนของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้ทั้งที่อยู่ขั้นกุมารทิพย์น่ะหรือ? จะว่าไป เขายังคิดจะเป็สามสิบหกขุนพล์ เื่นี้แม้แต่เหล่าต้าเองก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย นับประสาอะไรกับเขา?” หวังมู่เยาะเย้ย
“คนธรรมดาจะไปรู้ความปรารถนาของวีรบุรุษได้อย่างไร เขามีเป้าหมายเช่นนี้ มันก็เป็เป้าหมายให้เขาขยัน แต่ดูเ้า เรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลย และยังจะไปคิดวิจารณ์ความทะเยอทะยานที่มุ่งมั่นของผู้อื่นอีก?” ไป๋ฉีหรี่ตามองหวังมู่ ก่อนพูดอย่างเ็า นี่นับเป็การพิสูจน์ตนเองของเขาเช่นกัน ซึ่งหวังมู่ก็เยาะเย้ยเขาไว้ไม่น้อย
“ไป๋ฉี ดูเหมือนเ้าจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความเห็นข้า? เช่นนั้น พวกเรามาเดิมพันกัน ไม่เดิมพันสามสิบหกขุนพล์ เดิมพันเื่เจ็ดสิบสองอสูรธรณีก็พอ หากเขาได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี ข้าหวังมู่จะยอมปรนนิบัติเ้า หากไม่ได้เป็ ในอนาคตเ้าจะต้องหยุดจู้จี้กับข้าได้แล้ว” หวังมู่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ในเวลาเดียวกัน
นอกแดนแสนภูผา สำนักยุทธ์ว่านจ้ง
กระบี่บินขนาดยาวสิบจ้างกำลังปรากฏขึ้นเหนือผืนฟ้า และทันใดนั้นก็มาถึงภายนอกสำนักยุทธ์ว่านจ้งอย่างรวดเร็ว คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเป็หญิงชราคนหนึ่งที่กำลังมองูเาอันกว้างใหญ่ และพูดขึ้น “หลี่เฟิ่งฉือแห่งสำนักเหยาฉือมาเยี่ยมคารวะ!”
เสียงนี้ก่อตัวขึ้น ก่อนจะดังกึกก้องไปยังส่วนลึกของูเา
ด้านหลังของหญิงชรา มีศิษย์หนุ่มสาวหลายสิบคนกำลังยืนอยู่อย่างภาคภูมิใจ ในคนกลุ่มนั้น มีหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหญิงชรา กำลังทอดสายตามองไปยังูเาลูกใหญ่ ริมฝีปากของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้
“ฉินอวี่ คิดว่าหนีมาถึงสำนักยุทธ์ว่านจ้งแล้วข้าจะทำอะไรเ้าไม่ได้หรือ?”
