เมื่อเห็นทั้งสองคนมาถึง หวังซิ่วหลิงก็รีบยิ้มต้อนรับ พร้อมกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ในที่สุดก็มากันจนได้นะ จิ่งซาน เข้ามาข้างในก่อนสิ”
พูดจบก็รับของในมือของเขาไปอย่างเป็ธรรมชาติ
“ทำไมมีแค่นี้ล่ะ?” หวังซิ่วหลิงแอบเหลือบมองสวี่จือจือ แล้วพูด “ฉันได้ยินคนพูดว่าพวกแกเอาของขวัญกลับมาเยอะแยะนี่”
พลิกลิ้นเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก!
“อ้อ” สวี่จือจือพูด “ตอนเช้าตอนมาถึงรอนาน ไม่มีใครมาสักที หนูหิวก็เลยกินขนมกับผลไม้ไปหมดแล้ว”
หวังซิ่วหลิงพูดไม่ออก
นั่นมัน...ก็แค่อยากจะข่มขวัญสวี่จือจือไม่ใช่เหรอ?
ใครจะรู้ว่านังเด็กนี่ไม่เล่นตามเกม วิ่งไปหาคนแก่ทางนั้นเสียได้ ยังจะต้องให้เธอไปเชิญมาอีก!
“แม่คะ กินข้าวก่อนเถอะค่ะ” สวี่เจวียนเจวียนเหลือบมองลู่จิ่งซาน แล้วดึงเสื้อเชิ้ตผ้าดีล่อนตัวใหม่ที่เธอตั้งใจใส่มาวันนี้ “พี่จิ่งซาน มาแล้วเหรอคะ? รีบมานั่งสิ”
ยังไม่ทันที่คำพูดของเธอจะจบลง หวงรุ่ยเซิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ สวี่จือจือ แต่กลับกลายเป็ว่าเขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น
ส่วนต้นเหตุกลับแค่เหลือบมองเขา แล้วดึงสวี่จือจือไปสลับที่นั่งกับเขา “คุณนั่งตรงนี้”
แบบนี้สวี่จือจือก็เลยได้นั่งข้างสวี่เจวียนเจวียน ส่วนลู่จิ่งซานก็เลยได้นั่งข้างหวงรุ่ยเซิงที่กำลังลูบก้นอย่างหงุดหงิด แล้วประคองตัวเองขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
บนโต๊ะมีแค่แตงกวาผัดจานหนึ่ง ผักดองจานหนึ่ง และขนมปังข้าวโพดอีกสองสามชิ้น
“ทำไมมีแค่โรตีแผ่นเดียวล่ะ?” หวังซิ่วหลิงหน้ามุ่ย “จือจือ ย่าของแกเอามาผิดหรือเปล่า?”
โรตีมีทั้งหมดแค่สี่แผ่น คนละแผ่นยังไม่พอเลย
“หนูเอามาเอง” สวี่จือจือพูด “แม่ไม่ได้คิดจะต้อนรับลูกเขยด้วยโรตีสี่แผ่นแค่นี้หรอกใช่ไหมคะ?”
“นังเด็กตายยากนี่” หวังซิ่วหลิงจ้องเขม็ง “พูดอะไรของแก? สภาพบ้านเราเป็ยังไง จิ่งซานก็รู้ดี จะให้ต้อนรับลูกเขยครั้งเดียวแล้วพวกเราต้องอดตายเลยเหรอ?”
สวี่จือจือกลอกตาไม่อยากจะพูดกับอีกฝ่าย แล้วหันไปดูแลลู่จิ่งซาน “รีบกินเถอะค่ะ” พูดจบก็ยื่นโรตีให้เขา “โรตีของคุณย่าอร่อยมากเลยนะ คุณลองชิมดูสิ”
“สวี่จือจือ แก...” หวังซิ่วหลิงยังอยากจะพูด แต่ก็ถูกสวี่เจวียนเจวียนห้ามไว้ “แม่คะ เดี๋ยวต้องมีเื่คุยกันอีก ให้พวกเขากินก่อนเถอะค่ะ”
สวี่จือจือยกยิ้มเยาะ
คุยเื่อะไร? คงไม่ใช่จะคุยเื่ให้มีลูกกันวันนี้เลยหรอกนะ?
“จิ่งซาน กินเยอะๆ นะ” สวี่เจวียนเจวียนยิ้มแล้วเลื่อนแตงกวาไปทางเขา
ท้ายที่สุด เธอก็ไม่ได้เรียกเขาว่า ‘พี่จิ่งซาน’ อีก
แต่ลู่จิ่งซานกลับคีบมันให้สวี่จือจือ
“ขอบคุณค่ะ คุณก็กินด้วยสิคะ” สวี่จือจือกล่าว
เธอแค่พูดตามมารยาท แต่ในสายตาของพวกสวี่เจวียนเจวียนกลับเหมือนคู่รักที่รักใคร่กลมเกลียวกันจนแทบจะกระอักเืออกมา
เ็ปหัวใจ
กว่าจะกินข้าวกันไปแบบนั้นจนเสร็จ
“จือจือ แกเข้ามากับฉันหน่อย” หวังซิ่วหลิงเรียกเธอไว้
“มีอะไรก็พูดตรงนี้ไม่ได้เหรอคะ?” สวี่จือจือพูด
“นังเด็กนี่” หวังซิ่วหลิงพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “ทำไมถึงไม่รู้ความบ้างเลยนะ? เื่ของผู้หญิง จะพูดต่อหน้าผู้ชายได้ยังไง?”
สวี่จือจือเหลือบมองลู่จิ่งซาน แล้วพยักหน้าเข้าไปในบ้าน
เมื่อหวังซิ่วหลิงเห็นธรณีประตู ก็คิดถึงวันที่ถูกนังเด็กน่ารังเกียจนี่เล่นงาน กระทั่งยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย
“มีธุระอะไรคะ?” สวี่จือจือถามพลางนั่งลงบนเตียงเตา มองสวี่เจวียนเจวียนกับหวังซิ่วหลิง
“รีบอะไร?” หวังซิ่วหลิงจ้องเธอ แล้วตบมือของสวี่เจวียนเจวียนด้วยความสงสาร พร้อมกับถอนหายใจ “พี่สาวของแกหลายปีมานี้ยังไม่ท้องเลย จือจือ ดูสิ พี่สาวของแกผอมไปขนาดไหนแล้วเพราะเื่นี้”
สวี่จือจือหัวเราะเยาะในใจ
ผอมเหรอ?
เธอดูไม่ออกเลย
“พวกแกสองพี่น้องรักกันมากที่สุด” หวังซิ่วหลิงพูด “พี่สาวของแกมีลูกไม่ได้ แกก็จะทนให้เธอถูกคนในบ้านตระกูลหวงดูถูกเหรอ?”
“แล้วแม่จะให้หนูทำยังไง?” สวี่จือจือมองหวังซิ่วหลิงด้วยดวงตาผลซิ่ง[1]กระจ่างใส “หรือว่ายังคิดถึงเื่คืนนั้นอยู่? คราวนี้หนูจะไม่โง่แบบนั้นอีกแล้ว”
ะโน้ำตาย?
ไม่ เธอจะไม่โง่เหมือนเ้าของร่างเดิม ถ้าไม่ได้อะไรเป็ชิ้นเป็อัน เธอจะยอมเขียนชื่อกลับหัวให้มันรู้ไป!
พูดถึงตรงนี้เธอก็มองทั้งสองคนในบ้านด้วยสายตาเ็า
ชั่วขณะนั้น หวังซิ่วหลิงรู้สึกว่าความคิดในใจของตัวเองถูกอีกฝ่ายรู้หมดแล้ว
“ไม่รู้ว่าแกกำลังพูดอะไร” หวังซิ่วหลิงพูดเสียงแหลม “ตอนนี้กำลังพูดถึงเื่ของพี่สาวแกอยู่นะ จะดึงเื่เก่าๆ มาพูดทำไม?”
สวี่จือจือยกยิ้มเหยียดหยาม
ทุกครั้งที่อีกฝ่ายไม่มีเหตุผล ก็จะใช้วิธีเสียงดังแบบนี้เพื่อกลบเกลื่อนตัวเอง
“แกเป็น้องที่พี่สาวเลี้ยงมาั้แ่เด็ก แกจะไร้มโนธรรมแบบนี้ไม่ได้นะ” หวังซิ่วหลิงพูด
“แล้วพวกแม่จะเอาอะไร?” สวี่จือจือพูดอย่างหงุดหงิด “ถ้าป่วยก็ไปหาหมอไป หนูแนะนำให้พี่กับหวงรุ่ยเซิงไปตรวจที่สถานีอนามัยจะดีกว่า ใครมีลูกไม่ได้ยังไม่รู้เลย”
หวงรุ่ยเซิงมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคน แต่ก็ยังไม่เคยทำเื่ใหญ่โตอะไรขึ้นมา ในนิยายก็บอกไว้ว่าหวงรุ่ยเซิงกับสวี่เจวียนเจวียนไม่มีลูกด้วยกัน
“แกหมายความว่ายังไง?” หวังซิ่วหลิงพูด “เื่มีลูกเกี่ยวอะไรกับผู้ชายด้วย?”
ในสายตาของเธอ เื่มีลูกเป็เื่ของผู้หญิง เกี่ยวอะไรกับผู้ชาย?
“พวกเราหมายความว่า ตอนนี้แกเองก็แต่งงานแล้ว ่ที่จิ่งซานยังอยู่บ้านก็รีบมีลูก” หวังซิ่วหลิงพูด “รอให้มีลูกแล้วก็เอาลูกให้พี่สาวแกเลี้ยงซะ”
“นี่คือพี่สาวแท้ๆ ของแก” หวังซิ่วหลิงรีบพูด ก่อนที่สวี่จือจือจะได้พูดอะไร “แกไม่ต้องห่วง ลูกของแก เธอจะต้องเลี้ยงดูเหมือนลูกแท้ๆ แน่นอน”
“แกกับจิ่งซานยังเด็ก ไว้ค่อยมีลูกอีกหลายคนก็ได้”
มีอีกหลายคน? พูดเหมือนกับว่าการมีลูกเป็เื่ง่ายเหมือนแม่ไก่ออกไข่
สวี่จือจือหัวเราะเยาะ
“ไม่มีทาง” เธอพูดอย่างเฉยเมย “อย่าแม้แต่จะคิด”
ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เธอไม่ได้มีอะไรกับลู่จิ่งซาน ต่อให้มีเธอก็ไม่มีทางยกให้สวี่เจวียนเจวียนเอาไปเลี้ยง
ลองคิดถึงโชคชะตาที่น่าเวทนาของหวงซินอวี่ที่ถูกสวี่เจวียนเจวียนเลี้ยงดูในนิยาย ส่วนใหญ่เป็เพราะคำสอนที่ผิดๆ ของสวี่เจวียนเจวียนั้แ่เด็ก
“อะไรนะ?” หวังซิ่วหลิงถาม
“ก็คือ” สวี่จือจือพูดอย่างหนักแน่นทีละคำ “ลูกของหนู ไม่มีทางยกให้คนอื่นเลี้ยง”
“เธอเป็พี่สาวของแก” หวังซิ่วหลิงะโ “ไม่ใช่คนอื่น”
“แล้วยังไง?” สวี่จือจือพูดอย่างเหยียดหยาม “เพื่อให้พี่มีลูกได้ก็เลยจะให้หวงรุ่ยเซิงข่มขืนหนู แล้วตอนนี้ยังมาคิดจะเอาลูกในอนาคตของหนูไปอีก?”
ใครให้ความกล้าพวกเธอมากัน?
“นี่ไม่ใช่...” หวังซิ่วหลิงกำลังจะพูดก็พูดไม่ออก ราวกับว่าอากาศในห้องนี้แข็งตัวไปชั่วขณะ
จนกระทั่งสวี่เจวียนเจวียนที่เงียบมาตลอดก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตื่นเต้น ดีใจ หรือกดดัน หรืออะไรก็แล้วแต่ “พวกแก...ยังไม่ได้เข้าหอกันใช่ไหม?”
คำพูดของสวี่เจวียนเจวียนเหมือนหินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่เงียบสงบ
“อะไรนะ?” นิ้วของหวังซิ่วหลิงแทบจะจิ้มเธออยู่แล้ว “ทำไม? หา? ทำไมถึงยังไม่ได้เข้าหอ? จิ่งซานไม่ดีหรือว่าในใจแกมีใครอยู่กันแน่?”
“แม่พูดไร้สาระอะไรเนี่ย?” สวี่จือจือพูดพลางปัดมือของอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วะโลงมาจากเตียงเตา “ไม่เช้าแล้ว หนูไปก่อนนะ”
“แกพูดให้ชัดเจนเลยนะ” หวังซิ่วหลิงกำลังจะพูด แต่ลมก็พัดเข้ามาทำให้ประตูดังเอี๊ยด
ลู่จิ่งซานยืนอยู่หน้าประตู ข้างหลังเขายังมีสวี่จงโฮ่วที่ดูเหมือนจะลำบากใจและกังวลใจอยู่
.............................
[1] ผลซิ่ง หมายถึง แอปริคอต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้