ตอนที่ 8 ก้าวแรกของเงา
แสงอรุณแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องผ่านรอยแยกของบานหน้าต่างไม้ ส่องกระทบเปลือกตาของเยว่หลิงอย่างแ่เบา ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราที่ทั้งลึกซึ้งและอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน สิ่งแรกที่นางรับรู้ไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็ความเ็ประบมที่เสียดแทรกอยู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใจกลางความเป็สตรีของนาง มันคือเครื่องยืนยันอันเด่นชัดว่าเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน
นางค่อยๆ พลิกกายอย่างเชื่องช้า ที่นอนข้างกายนางนั้นว่างเปล่าและเย็นชืด เขาจากไปแล้ว จากไปราวกับสายลมที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ยกเว้นก็แต่กลิ่นอายของบุรุษเพศที่ยังคงอบอวลจางๆ อยู่บนหมอนของนาง ผสมปนเปกับกลิ่นกายของนางเองจนกลายเป็กลิ่นใหม่ที่ลึกลับและน่ามัวเมา
เยว่หลิงฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มแพรตกลงจากเรือนร่าง เผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงอมม่วงประปรายอยู่บนผิวขาวผ่องของนางราวกับลายประทับของดอกเหมยในฤดูเหมันต์ มันคือตราประทับแห่งการที่เขาได้ฝากไว้บนร่างกายของนางอย่างจงใจ และเมื่อสายตาของนางเลื่อนลงไปมองบนผ้าปูที่นอน หัวใจของนางก็กระตุกวูบ
บนผืนผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดนั้น กฎคราบเืสีแดงคล้ำเป็วงเด่นชัด เืแห่งพรหมจรรย์ของนาง มันคือหลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถผูกมัดชะตากรรมของนางและทำลายชีวิตของนางได้ในพริบตา หากมีใครมาพบเห็นเข้า
ความเยือกเย็นเข้าครอบงำจิตใจของนางในทันที เยว่หลิงไม่เสียเวลาไปกับการคร่ำครวญหรือเขินอาย นางรีบลงจากเตียง สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าทุกการเคลื่อนไหวจะทำให้รู้สึกเจ็บแปลบที่หว่างขาก็ตาม นางรวบผ้าปูที่นอนผืนนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พับมันจนมีขนาดเล็กที่สุด ซ่อนไว้ในหีบเสื้อผ้าเก่าๆ ของนางที่ก้นตู้ จากนั้นนางจึงรีบไปตักน้ำเย็นจัดจากบ่อหลังเรือนพัก นำมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายของตนเองอย่างพิถีพิถัน พยายามลบร่องรอยทุกอย่างของเขาออกไปให้หมดสิ้น
ทว่า...ยิ่งนางพยายามขัดถูมากเท่าไหร่ ััของเขา รสจูบของเขา และความรู้สึกที่เขาสอดแทรกกายเข้ามาในร่างของนาง มันกลับยิ่งแจ่มชัดขึ้นในความทรงจำ ราวกับถูกสลักลึกลงไปในจิติญญา
"จากนี้ไป เ้าเป็คนของข้าเป็ เงา ของข้าในวังหลวงแห่งนี้"
คำพูดสุดท้ายของเขายังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง นางไม่ใช่เยว่หลิงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เด็กสาวนางกำนัลผู้ไร้เดียงสาได้ตายไปแล้วในค่ำคืนที่ผ่านมา บัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือสตรีของจิ้นอ๋อง คือเงาของพยัคฆ์ร้ายแห่งต้าเยี่ยน และเงาจะต้องเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เยว่หลิงก็เดินออกจากห้องพักของนางเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ใบหน้าของนางเรียบเฉยสงบนิ่งดุจผืนน้ำในฤดูสารท ไม่มีใครสามารถอ่านความรู้สึกที่แท้จริงภายใต้หน้ากากอันเยือกเย็นนั้นได้ แต่หากมีใครสังเกตให้ดีพอ จะเห็นได้ว่าในแววตากลมโตคู่นั้น มีประกายบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปความไร้เดียงสาได้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความลึกล้ำและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า
ณ กองเครื่องภูษาภรณ์ (ซ่างฝูจวี๋) บรรยากาศยังคงคึกคักและวุ่นวายเช่นเคย ข่าวความสำเร็จของฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพได้ทำให้ชื่อเสียงของเยว่หลิงโด่งดังขึ้นไปอีกระดับ เหล่านางกำนัลชั้นผู้น้อยที่เคยดูแคลนนาง บัดนี้ต่างมองนางด้วยสายตาที่ยำเกรงและชื่นชม แต่สำหรับเหมยเซียงแล้ว มันคือความอัปยศอดสูที่ยากจะกล้ำกลืน
"น้องเยว่หลิง เมื่อคืนคงจะนอนหลับฝันดีสินะ ได้รับคำชมจากเบื้องสูงมากมายขนาดนั้น" เหมยเซียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน ขณะที่เยว่หลิงกำลังตรวจสอบบัญชีผ้าไหมม้วนใหม่ที่เพิ่งถูกส่งมาจากเมืองซูโจว "บางที อาจจะไม่ได้แค่ฝันดี แต่อาจจะได้ รางวัล พิเศษอย่างอื่นอีกกระมัง"
คำพูดสองแง่สองง่ามนั้นทำให้เหล่านางกำนัลที่อยู่ใกล้ๆ ต้องแอบกลั้นหัวเราะ
ในอดีต เยว่หลิงคงจะเลือกที่จะนิ่งเงียบและปล่อยให้มันผ่านไป แต่เยว่หลิงคนใหม่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากม้วนบัญชี สบตากับเหมยเซียงตรงๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง แต่กลับเป็รอยยิ้มที่เย็นเยียบจนทำให้อีกฝ่ายต้องขนลุก "ขอบคุณพี่เหมยเซียงที่เป็ห่วงเ้าค่ะ เมื่อคืนน้องนอนหลับสบายดี เพราะน้องรู้ว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีรอยด่างพร้อยใดๆ ให้ต้องกังวลใจ"
นางจงใจเน้นคำว่า "รอยด่างพร้อย" อย่างชัดเจน จนใบหน้าของเหมยเซียงซีดเผือดลงในทันที
"แต่พูดถึงเื่รางวัลแล้ว" เยว่หลิงกล่าวต่อ พลางลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินเข้าไปหาเหมยเซียงอย่างคุกคาม "น้องกลับคิดว่าคนที่ควรจะได้รับรางวัล ที่สุดก็คือพี่เหมยเซียงต่างหากรางวัลสำหรับ ความหวังดี ที่พี่มีให้น้องมาโดยตลอด หากไม่มีแรงผลักดัน จากพี่ในคืนนั้น ผลงานชิ้นนั้นก็อาจจะไม่งดงามสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ก็เป็ได้"
นางโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของเหมยเซียงด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน "น้องเป็คนจดจำบุญคุณคนเสมอ พี่เหมยเซียงบุญคุณครั้งนี้ น้องจะหาทางตอบแทนให้อย่างสาสมแน่นอนเ้าค่ะ"
สิ้นคำพูดนั้น เยว่หลิงก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของนาง ทิ้งให้เหมยเซียงยืนตัวสั่นเทาด้วยความโกรธและความกลัวปะปนกันไป นางเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้เองว่า นางไม่ได้กำลังต่อกรกับลูกกระต่ายตัวน้อยอีกต่อไปแล้ว แต่นางกำลังเผชิญหน้ากับนางหมาป่าที่ซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ภายใต้หนังแกะ!
การกระทำทั้งหมดของเยว่หลิงอยู่ในสายตาของหลี่ซ่างกงมาโดยตลอด สตรีนางนี้เพียงแค่นั่งจิบชาอยู่ในห้องทำงานของนางอย่างเงียบๆ แต่ม่านมุกที่กั้นห้องก็ไม่ได้ปิดสนิท นางมองเห็นและได้ยินทุกอย่าง นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจ นางเลือกคนไม่ผิดจริงๆ
...
สองวันต่อมา ชีวิตของเยว่หลิงดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นางยังคงทำงานในซ่างฝูจวี๋อย่างขยันขันแข็ง และจ้าวเฟิงก็ไม่ได้มาหานางอีกเลย บางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่าค่ำคืนนั้นอาจจะเป็เพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเขาอาจจะเบื่อนางแล้วหลังจากที่ได้ลิ้มลองสมใจอยาก
แต่แล้วในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจัดเรียงม้วนดิ้นทองอยู่ในคลังเก็บของที่เงียบสงัด ก็มีขันทีเฒ่าผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ขันทีผู้นี้มีชื่อว่า "ฟู่กงกง" เป็ขันทีาุโที่ดูแลสวนไผ่และสระบัวในเขตพระราชฐานชั้นใน เป็คนที่แทบจะไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะดูเป็คนเงียบขรึมและแก่ชราจนไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร
"คุณหนูเยว่หลิง" ฟู่กงกงค้อมกายลงเล็กน้อย ในมือถือตะกร้าสานใบเล็กๆ ที่มีลูกพลับสีส้มสดวางอยู่สองสามลูก "นายท่านของบ่าวเห็นว่า่นี้อากาศเริ่มแห้งแล้ง จึงฝากให้บ่าวนำลูกพลับเชื่อมน้ำผึ้งมามอบให้คุณหนูไว้บำรุงลำคอ"
เยว่หลิงขมวดคิ้ว "นายท่านของท่านกงกงคือใครกัน? ข้าไม่เคยรู้จัก"
ฟู่กงกงเพียงแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัย "คุณหนูรับไว้เถอะขอรับ นายท่านของบ่าวเพียงแค่ชื่นชมในความสามารถของคุณหนูเท่านั้น" เขาวางตะกร้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะค้อมกายคำนับอีกครั้งแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับตอนที่มา
เยว่หลิงมองตามหลังขันทีเฒ่าไปด้วยความสงสัย แต่เมื่อนางมองลงไปในตะกร้าหัวใจของนางก็แทบจะหยุดเต้น
ใต้ลูกพลับสีส้มสดนั้น มีกิ่งของต้นเหมยสีแดงกิ่งเล็กๆ วางซ่อนอยู่ มันคือต้นเหมยพันธุ์เดียวกับที่ปักอยู่บนปิ่นหยกที่นางเคยได้รับเป็รางวัล และที่สำคัญกว่านั้น บนกิ่งเหมยนั้น มีกลีบดอกอยู่ทั้งหมด "เจ็ดกลีบ"
นางนึกถึงลายปักบนฉลองพระองค์ของจ้าวอ๋อง (องค์ชายรอง) ที่นางเคยออกแบบ ลายัเจียวที่ซ่อนตัวอยู่ในเกลียวคลื่น เกลียวคลื่นนั้นมีทั้งหมดเจ็ดชั้น!
นี่คือรหัสลับ!
เยว่หลิงรีบหยิบกิ่งเหมยนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด นางพบว่าที่ปลายก้านของมันมีรอยบากเล็กๆ อยู่สองรอย วังตะวันออก ขององค์รัชทายาท และตำหนักอวี้ชิงกง ของจ้าวอ๋อง!
นางเข้าใจในทันที นี่คือคำสั่งแรกของนางในฐานะ "เงา"
จ้าวเฟิงไม่ได้้าให้นางทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง เขาเพียงแค่้าให้นางใช้ตำแหน่งในซ่างฝูจวี๋ของนางให้เป็ประโยชน์ เขา้าให้นางสังเกตการณ์ "ของกำนัล" ที่เหล่าขุนนางส่งไปยังวังทั้งสองแห่งนั้น
ในราชสำนักต้าเยี่ยน ของกำนัลไม่ใช่แค่การแสดงความเคารพ แต่มันคือการแสดงจุดยืนทางการเมือง ผ้าไหมจากเมืองใด ลวดลายแบบไหน เครื่องหอมชนิดใด ล้วนบ่งบอกได้ว่าขุนนางผู้นั้นกำลังให้การสนับสนุนฝ่ายใดอยู่ ซ่างฝูจวี๋คือสถานที่ที่บันทึกรายการเหล่านี้ไว้ทั้งหมดอย่างละเอียดที่สุด!
เยว่หลิงรู้สึกได้ถึงกระแสเืที่สูบฉีดไปทั่วร่างด้วยความตื่นเต้น นี่คือเกมการเมืองที่นางเคยได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ บัดนี้นางได้กลายเป็ผู้เล่นคนสำคัญในเกมนี้แล้ว
นางหักกิ่งเหมยนั้นเป็ชิ้นเล็กๆ ซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างมิดชิด ก่อนจะเดินกลับออกไปทำงานด้วยท่าทีที่เป็ปกติที่สุด ไม่มีใครรู้เลยว่าในสมองของนางกำนัลร่างเล็กผู้ดูบอบบางคนนี้ บัดนี้ได้กลายเป็ห้องบัญชาการรบที่กำลังวางแผนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปอย่างเงียบเชียบ
ค่ำคืนนั้น เยว่หลิงไม่ได้นอนในทันที นางจุดตะเกียงน้ำมันให้สว่างที่สุด นำกระดาษและพู่กันออกมา นางเริ่มร่างแผนผังความสัมพันธ์ของขุนนางในราชสำนักจากความทรงจำทั้งหมดที่นางมี ใครเป็ญาติกับใคร ใครเคยเป็ศิษย์อาจารย์กับใคร ใครมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับใคร...
จากนั้นนางจึงเริ่มวางแผนว่าจะเข้าถึงบัญชีของกำนัลของวังทั้งสองแห่งได้อย่างไรโดยไม่ให้เป็ที่สงสัย นางจะต้องใช้เหมยเซียงให้เป็ประโยชน์...ความอิจฉาริษยาและความโง่เขลาของนางกำนัลผู้นั้น คือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่นางมีอยู่ในตอนนี้
นางมองแผนผังที่ซับซ้อนราวกับใยแมงมุมบนกระดาษ แล้วรอยยิ้มที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเป็ครั้งแรกนับั้แ่ค่ำคืนนั้น...มันเป็รอยยิ้มของนักล่าที่ได้พบเส้นทางสู่เหยื่อของตนแล้ว
นางไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง แต่นางรู้เพียงว่านางจะไม่ถอยหลังกลับอีกต่อไปแล้ว เปลวเพลิงได้หลอมบุปผาไปแล้ว...และสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่านนั้น...คือวิหคเพลิงที่พร้อมจะสยายปีกโบยบินไปในท้องฟ้าแห่งอำนาจที่มืดมิดและกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้.
