บทที่ 132 ตั้งใจทดสอบ
“ติ้ว ติ่ว—”
เสียงกู่ฉินที่เสนาะหูดังขึ้น ฉู่ซินเหยาหลั่งน้ำตาพลางเริ่มบรรเลง นางขยับนิ้วหยกเรียวทั้งสิบกดสายกู่ฉิน แลดูสง่างาม อ่อนช้อยและเ็ป
เสียงทำนองอันไพเราะบรรเลงแว่ว คลื่นเสียงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ทันใดนั้นผู้คนต่างก็เคลิบเคลิ้ม ราวกับลอยละล่องเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
“ติ่ว!”
บทเพลงนี้ไพเราะและพิเศษมาก เปลี่ยนท่วงทำนองไปตามจังหวะ บางทีก็เงียบสงบเหมือนสาวน้อยแรกแย้ม บางทีก็กังวานระทึกใจจนน่าตื่นเต้น
ในเวลานี้ ชายหญิงทั้งลานต่างหลับตาฟังอย่างหลงใหล ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทุกคนได้ยินไม่ใช่บทบรรเลงของกู่ฉิน แต่เป็บทบรรยายถึงคนงาม
มีเพียงฉู่อวิ๋นเท่านั้นที่ไม่หลับตา เขากำหมัดแน่น มุ่งความสนใจไปที่ม่านอย่าง้าจะพุ่งเข้าไป
เพลงบรรเลงนี้ แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นจำมันได้ เพราะเมื่อก่อนตอนที่เขาฝึกกระบี่ ฉู่ซินเหยาก็มักจะเล่นให้เขาฟัง หลังจากเล่นจบก็จะบอกว่าเขาไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เอาเสียเลย
“พี่หญิง…”
ภายใต้หน้ากากคริสตัลสีดำ ใบหน้าของฉู่อวิ๋นเคร่งขรึม เพ่งความสนใจไปยังคนหลังม่าน แต่กลับไม่ได้สังเกตว่าตนมีน้ำตาไหลออกมา
ในลานเรือน ทุกคนเงียบมาก ต่างก็ตั้งใจฟังอย่างสงบ แม้ว่าหลายคนจะไม่เข้าใจสุนทรียศาสตร์ของกู่ฉิน แต่ก็ยังได้ยินเสียงอันละเมียดละไมของบทเพลงนี้ มันไพเราะจับใจจริงๆ
เสียงกู่ฉินดังก้องราวเสียง์ ในยามนี้ ฉู่ซินเหยาเปรียบเสมือนเทพธิดาที่ลงมาจุติล้างมลทินแก่โลก
“ควับ!”
ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในทะเลสาบ ระลอกคลื่นกระแทกขึ้นมา มัจฉาหลากสีะโว่ายเข้าหาฝั่ง ดูปีติยินดีอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้ตระการตาและสวยงามมาก
“พั่บ พั่บ พั่บ--”
บนท้องฟ้า นกทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนบินข้ามท้องฟ้า รวมทั้งนกชิงหลวนและนกกางเขนสีสันสดใส ขนอ่อนนุ่ม
พวกมันกระพือปีกรวมตัวกันเป็ม่านสีสันสดใสขนาดใหญ่ ร่อนลงบนกิ่งไม้เบาๆ โดยไม่ส่งเสียงร้อง หัวของนกโยกย้ายไปตามทำนองเพลง ดูน่ารักและรื่นเริงมาก
ที่นี่ต้นหญ้าอ่อนกำลังเติบโต บุปผาที่ละเอียดอ่อนบานสะพรั่ง ทำให้เกิดบรรยากาศที่เงียบสงบ ราวกับว่าได้หวนคืนสู่ต้นวสันต์
มองเห็นกระสวยแสงหลายสิบเส้นพลิ้วไหว พวกมันคือผีเสื้อหลากสีสันเต้นระบำ ล้วนถูกดึงดูดด้วยเสียงศักดิ์สิทธิ์ ต่างกระจายอยู่ทั่วลานกว้างใหญ่ งดงามยิ่งนัก
ในที่สุด เมื่อเสียงบรรเลงหยุดลง สถานที่ก็กลับมาเป็ปกติ แต่โลกทั้งใบดูเหมือนจะใสสะอาดขึ้น มีแสงสลัวๆ และฝนโปรยปรายในอากาศ ดูมีชีวิตชีวา
“แปะๆ!”
ไม่นานเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ทุกคนรวมถึงหญิงสาวในที่นี้ต่างชอบใจ บางคนปรบมือและชื่นชมทักษะการเล่นกู่ฉินนี้ด้วยใจจริง
ความสามารถในการสื่อสารกับธรรมชาติและดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่สง่างามจำนวนนับไม่ถ้วนมาชื่นชมได้นี้ เป็สิ่งที่พิเศษอย่างยิ่ง เรียกได้ว่านี่คือบทเพลงแห่งเทพธิดา
“ตึง!”
ทุกคนต่างประหลาดใจและกลับมามีสติอีกครั้ง ดวงตาสดใส มองไปยังศาลาประดับม่าน ต่างชื่นชม โหยหา และรู้สึกเสน่หาอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีความสามารถเ่าั้ พวกเขาประทับใจมากจนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้อ่อนโยนและมีเสน่ห์ยิ่งนัก ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง ทรวดทรงที่แช่มช้อย รูปกายที่ประณีต และทักษะกู่ฉินของนางก็น่าทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก
บนโลกใบนี้ จะมีหญิงสาวเฉกเช่นนี้ได้อีกหรือ?
สมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าสมบูรณ์จริงๆ!
“ดี! มารดามันเถอะ เล่นได้ดีมาก!” ในเวลานี้ มีชายหนุ่มนิรนามคนหนึ่งตบโต๊ะ ลุกขึ้นยืน และพูดเป็คนแรก เขายกนิ้วให้ แต่กลับพูดคำหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนขมวดคิ้วและมองดูเขาอย่างสงสัย
“อะแฮ่ม... ข้าเสียมารยาทแล้ว” เมื่อรู้ว่าตนเผลอหยาบคาย ใบหน้าของชายหนุ่มก็แดงก่ำ ค่อยๆ นั่งลงช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ ทำให้ทุกคนยิ้มออกมา
ที่จริงแล้ว ชายหนุ่มคนอื่นๆ ต่างก็อยากจะปรบมือให้ แต่ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมา พวกเขาใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามหาคำพูดที่น่าพอใจ เพื่อให้ฉู่ซินเหยาสนใจและถูกใจ
ทั่วทั้งลานจึงตกอยู่ในความเงียบ เพราะทุกคนต่างก็พยายามหาวิธีที่จะยกยอนาง
ในเวลานี้ ฉู่เจิ้นหนานพอใจมาก ยิ่งหนุ่มสาวเหล่านี้ชื่นชอบฉู่ซินเหยามากขึ้นเท่าใด เขาก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
ฉู่เจิ้นหนานจ้องมองเข้าไปในม่าน โดย้าให้ฉู่ซินเหยาพูดอะไรสักอย่าง แต่ในระหว่างที่บรรเลงเพลงนางได้หลั่งน้ำตาไปแล้ว ตอนนี้แม้แต่มือหยกก็ยังสั่นอยู่
ดูเหมือนนางจะนึกถึงใครบางคน ใครบางคนที่นางคิดว่าตายไปแล้ว จนไม่อาจหยุดร้องไห้ได้ นางเสียใจมาก หัวใจของนางดั่งถูกมีดกรีดจนเหวอะหวะ
“ฮึ่ม! ไม่ได้เื่!”
ฉู่เจิ้นหนานตะคอกอย่างเ็า จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับมายิ้มอีกครั้ง “โอ๊ะ ซินเหยาของเราได้เห็นผู้มากความสามารถเช่นพวกท่านคงรู้สึกอายเล็กน้อยจนไม่กล้าพูดออกมา ทุกท่านไม่สู้แสดงความเห็นถึงเพลงที่นางบรรเลงเมื่อครู่ดู?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว ถึงเวลาที่จะแสดงตัวตนออกมา!
“ฮ่าๆ พูดถึงศิลปะดนตรี หุบเขารำพันของเราไม่เป็สองรองใครในทิศอุดรแห่งราชวงศ์เซี่ยตะวันออก ไร้ผู้ใดเทียบทาน! ไม่สู้ให้ข้าลองแสดงความเห็นดู?”
ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนขึ้น เขาเป็นายน้อยแห่งหุบเขารำพัน เชี่ยวชาญเครื่องดนตรีทุกชนิด ความมั่นใจนี้ทำให้ฉู่ซินเหยามองเขาอย่างชื่นชม
ชายหนุ่มโบกมือไปรอบๆ แล้วมองไปทางม่าน “คุณหนูฉู่ ข้าน้อยเล่อเฉิน ได้ยินมาว่าท่านมีทักษะการเล่นกู่ฉินที่เยี่ยมยอด แต่ไม่คิดว่าจะบรรเลงบทเพลงแห่งเทพธิดาได้!”
“อ๊ะ! เพลงนี้กล่าวถึงความเวิ้งว้างในใต้หล้า ความแปรเปลี่ยนของทุกสรรพสิ่งที่น่าสลดใจ! ข้าน้อยขอคาดเดาว่าคุณหนูฉู่คงเห็นใจใต้หล้าและรับรู้ถึงความล้ำค่าของชีวิตใช่หรือไม่?”
หลังจากพูดจบ เล่อเฉินก็เอามือไพล่หลังแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจมาก ทุกคนกระซิบกระซาบและพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดดูสมเหตุสมผล
เมื่อคนหนุ่มสาวบางคนได้ยินก็โกรธมากจนเอาหัวโขกโต๊ะ นายน้อยแห่งหุบเขารำพันเริ่มพูดเป็คนแรก แถมยังพูดได้ดียิ่ง พวกเขายังมีอะไรให้พูดอีก?
"ฮ่าๆ! ใช่แล้ว ท่านผู้นี้พูดถูก! ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน"
“โอ้ ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ข้าเห็นด้วย”
บางคนสะท้อนใจ ในเมื่อพวกเขาคิดหาวิธีอื่นในการเยินยอไม่ได้ ก็ตัดสินใจไหลตามน้ำ ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
แต่ฉู่ซินเหยาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นางไม่อยากสนใจอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหล่านี้
“เอ่อ...คุณหนูฉู่? ข้า... พูดถูกหรือไม่?”
เล่อเฉินถามอย่างระมัดระวัง แต่ภายในม่านยังคงเงียบสงบ ไร้คำตอบใดๆ กลับมา ทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ใบหูร้อนผ่าว ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงุนงง เ้ามองข้า ข้ามองเ้า พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนงามจากตระกูลฉู่จึงเงียบไป
“อ๊ะ! ข้าเข้าใจแล้ว!” ทันใดนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งตบหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณหนูฉู่คงกำลังทดสอบให้พวกท่านเดาความหมายของบทเพลงของนางอยู่แน่”
“เช่นนี้นี่เอง!”
ทุกคนเห็นด้วยและแอบพยักหน้า แล้วมองไปที่เล่อเฉินอย่างรังเกียจ ในยามนี้ ฉู่ซินเหยาเมินเฉยเขา เห็นได้ชัดว่าเขาตอบผิดและกำลังพูดเื่ไร้สาระอยู่
“หึ! ขยะพูดสิ่งใดย่อมออกมาเป็ขยะ”
ยามนี้ มีคนพูดเยาะเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง ทำให้ใบหน้าของเล่อเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทุกคนสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังพูดอยู่คือชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นายน้อยแห่งเคหาสน์เขากระบี่
“เ้าเข้าใจดนตรีแล้วอย่างไร? เ้าเข้าใจหรือไม่ว่าชีวิตคือสิ่งใด? และความตายคือสิ่งใด?” โม่ซิวนั่งเล่นกระบี่เล่มยาวที่คมกริบ ยกมุมปากขึ้นอย่างเ็า เผยความรังเกียจอย่างมากต่อมุมมองของเล่อเฉิน
“โอ้? เช่นนั้นท่านมีความเห็นสูงส่งอันใด?!” แม้ว่าใบหน้าของเล่อเฉินจะเ็า แต่เห็นได้ชัดว่าเขาระแวดระวังโม่ซิวอยู่พอควร กระนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังค่อนข้างสุภาพ
“หึ!” โม่ซิวยิ้มเยาะ มองไปที่ม่านแล้วพูดว่า “ทักษะการบรรเลงกู่ฉินของคุณหนูฉู่นั้นยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าจะฟังดูเสนาะหู เริงใจ และเต็มไปด้วยความรื่นเริง แต่ข้าบอกได้เลยว่ายังมีลับลมคมใน”
“ลับลมคมใน?!” ทุกคนใและสับสนมาก
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของทุกคน โม่ซิวก็ยิ้มเต็มปาก
เขาลุกขึ้นยืน จากนั้นมองไปรอบๆ อย่างเย่อหยิ่งและพูดว่า “ข้าเชื่อว่าพวกเ้าทุกคนรู้ดีว่าสำนักของข้าฝึกฝนวิชากระบี่สงัด ยามออกกระบี่ย่อมได้ยลโลหิต”
“ดังนั้นนายน้อยเช่นข้าจึงมีความเข้าใจเื่ชีวิตและความตายอย่างถ่องแท้ที่สุด แม้ว่าคุณหนูฉู่จะบรรเลงบทเพลงแห่งชีวิตเมื่อสักครู่นี้อย่างมีชีวิตชีวา ทว่าว่ากันว่าสิ่งต่างๆ จะต้องพลิกผันอย่างสุดขั้ว จริงๆ แล้วนางกำลังบรรเลงบทเพลงแห่งความตายต่างหาก!”
“เชอะ ขยะอย่างพวกเ้า เข้าใจหรือยัง?”
หลังจากพูดจบ โม่ซิวก็คืนกระบี่เข้าฝักพลางยิ้มเยาะ จากนั้นก็ไม่สนใจใครอีก เพียงมุ่งความสนใจไปที่ม่านโปร่งแสง โดยหวังว่าฉู่ซินเหยาจะพูดสิ่งใดออกมา
“หุบปากก็ขยะ อ้าปากก็ขยะ เ้านี่มันคนประเภทไหนกัน?!” มีชายหนุ่มบ่นพร่ำ แต่ก็ไม่อาจแสดงความโกรธต่อหน้าฉุ่ซินเหยา ดังนั้นเขาจึงต้องกลืนความโกรธลงท้องไปก่อน
นอกจากนี้ ในบรรดาคนรุ่นใหม่ ความแข็งแกร่งของโม่ซิวถือได้ว่าลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งยังว่ากันว่าทันทีที่เขาลงมือย่อมมีคนต้องตาย ไม่ได้จับหัวไม่มีรามือ
ดังนั้นทุกคนจึงไม่อยากมีเื่กับเขาในตอนนี้ และรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เป็อย่างไรบ้าง? คุณหนูฉู่ นายน้อยเช่นข้าพูดถูกหรือไม่? สิ่งที่ท่านบรรเลงคือบทเพลงแห่งความตาย!” เมื่อเห็นว่าทุกคนหยุดพูดแล้ว โม่ซิวก็ดูเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจมากขึ้น
“เชอะ!”
“เชอะ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเหยียดหยามดังออกมาสองครั้งอย่างพร้อมเพรียงกัน
คนหนึ่งมาจากหลังม่าน และอีกคนหนึ่งมาจากที่นั่งด้านหน้า
นี่คือเสียงของชายหญิงคู่หนึ่ง แน่นอนว่าฝ่ายหญิงคือฉู่ซินเหยา ทว่าฝ่ายชายคือคนป่า “อวิ๋นชู”
“ตึง!”
ทั่วทั้งลานวุ่นวายในทันที ทุกคนก็อ้าปากค้าง ในที่สุดฉู่ซินเหยาผู้งดงามไร้ผู้ใดเทียบก็เปล่งเสียงออกมาเป็ครั้งแรก!
แต่น่าเสียดาย เสียงสมเพชเย็นๆ นี่หมายความว่าอย่างไร? นางที่เงียบขรึมมานานตอบโต้ด้วยการเหยียดหยามผู้อื่นเช่นนี้ ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าตอนนี้นางไม่พอใจเพียงใด
ทุกคนเข้าใจว่าโม่ซิวแค่พูดเื่ไร้สาระและทำให้ฉู่ซินเหยาขุ่นเคือง
และเมื่อหญิงงามมีน้ำโห เื่ราวก็จะยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น!
“ฮ่าๆ ช่างเป็วิถีชีวิตและความตายที่ดีจริงๆ แม้แต่คุณหนูฉู่ก็ทนเ้าไม่ไหวแล้ว”
“ไอ้หยา หากคนเช่นเราเป็ขยะ แล้วคนอื่นจะเป็อะไรเล่า?”
หลายคนไม่พอใจ จ้องมองไปที่โม่ซิวอย่างรังเกียจ ยินดีกับความโชคร้ายของเขา และพูดประชดประชัน
“เ้า... พวกเ้า...”
ในตอนนี้ ไม่ว่าโม่ซิวจะหยิ่งผยองพองตัวเพียงใดก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ เขาโกรธมากจนเกือบกระอักเืออกมาสักสามครั้ง ขายหน้าเสียจริง
แต่เขาไม่้าไล่ฆ่าคนเพื่อเอาสนุกต่อหน้าฉู่ซินเหยา ด้วยกลัวว่าจะทำลายภาพลักษณ์ของตน
ดังนั้น โม่ซิ่วจึงไม่มีที่ระบายโทสะ ทำได้เพียงปราดมองไปยังอีกคนที่แค่นเสียงใส่เขาด้วยความโมโห ก่อนจะก้าวไปตรงหน้าฉู่อวิ๋น
“เ้าเชอะทำบ้าอะไร?! คนงามเชอะ เ้าก็เชอะ เ้าเป็ใครกัน?!” โม่ซิวยกมือขึ้นทุบโต๊ะของฉู่อวิ๋น ดวงตาเบิกโพลงอย่างอยากจะหาเื่เขา
“เ้าหัวเราะเยาะคนอื่นว่าเป็ขยะ ข้าก็หัวเราะเยาะที่เ้าน่ารังเกียจ ในเมื่อพูดผิดก็ผิดไป ใยต้องแสดงความเห็นใดอีก?” ฉู่อวิ๋นล้อเลียน ทำให้คนอื่นเห็นสีหน้าเหน็บแนมของเขาผ่านหน้ากากได้
เขาหยัดกายยืนขึ้นกอดอกและมองดูโม่ซิวอย่างไม่ยอมแพ้