จ้าวจื้อเหว่ยเป็ทหารมาก่อน ทำให้เวลาโมโหทีไรมักจะหลุดคำหยาบออกมา และเมื่อไรที่เขาพูดคำหยาบ นั่นแสดงว่าเขาโมโหมาก และกำลังจะมีคนซวยแล้ว
คนแรกที่ซวยก็คือเฉินกวงหยี
จ้าวจื้อเหว่ยพูดอย่างเยือกเย็นว่า “เฉินกวงหยู แกทำผิดร้ายแรง ดังนั้นผู้อำนวยการสถานีตำรวจนั้นแกอย่าเป็มันเลย!”
ดูผิวเผินเหมือนเขากำลังลงโทษเฉินกวงหยี แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เขาทำกลับเป็การตบหน้าเฉาซุ่นปิน เพราะจ้าวจื้อเหว่ยรู้ดีว่า เฉินกวงหยีเป็คนของเฉาซุ่นปิน
แล้วก็เป็ไปอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อเฉินกวงหยีได้ยินว่าตัวเองกำลังจะต้องซวย เขาก็รีบหันไปขอความช่วยเหลือจากเฉาซุ่นปินทันที “ผู้อำนวยการเฉาครับ ท่านช่วยอธิบายให้ผมหน่อยสิครับ เมื่อกี้ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ ผมไม่ได้มีเจตนาจะขัดแย้งอะไรกับทางกองทัพจริงๆ นะครับ”
“เธอคือเ้าจ้าวใช่ไหม?” จู่ๆ เฉาหงเหมยก็พูดขึ้น
ทันทีที่เฉาหงเหมยเอ่ยปาก เฉาซุ่นปินก็กรีดร้องในใจว่า ‘แย่แล้ว’ เพราะเห็นได้ชัดว่า น้ำเสียงของเฉาหงเหมยฟังดูหยิ่งผยอง เหมือนน้ำเสียงของเ้านายเวลาคุยกับลูกน้อง
ซึ่งมันก็จริงดังนั้น เพราะเฉาหงเหมยรู้สึกว่า ยังไงซะสามีของเธอก็เป็ถึงรองนายกเทศมนตรี ส่วนจ้าวจื้อเหว่ยเป็เพียงผู้อำนวยการสำนักงานแค่นั้นเอง ตำแหน่งของสามีเธอยังสูงกว่าอยู่ ดังนั้นเฉาหงเหมยจึงเรียกจ้าวจื้อเหว่ยว่า ‘เ้าจ้าว’ เสมอ แต่เธอไม่รู้ว่า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะจ้าวจื้อเหว่ยเป็คนของหวูเหวินเซี่ยงที่กำลังรุ่งมากใน่นี้ ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งตามไปด้วย ซึ่งตอนนี้นอกจากเขาจะเป็ผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยสำนักงานตำรวจแล้ว เขายังได้รับคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการทางการเมืองและกฎหมายเพิ่ม นอกจากนี้เขายังได้ลงเล่นการเมือง ในตำแหน่งสมาชิกของพรรคการเมืองอีกด้วย ส่วนสามีของเฉาหงเหมยแม้จะเป็รองนายกเทศมนตรี แต่เขากลับไม่ใช่สมาชิกในพรรคการเมือง
กล่าวย่อๆ คือ คำพูดนี้ของเฉาหงเหมย ถือว่าผิดมารยาททางการเมือง ดังนั้นสีหน้าของจ้าวจื้อเหว่ยดูเปลี่ยนไปทันที เขาพูดกับเฉาซุ่นปินที่อยู่ข้างๆ เฉาหงเหมย “เ้าเฉา สถานีตำรวจเป็ที่อะไร ทำไมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งได้ คนเขาจะมองเราเป็อะไร!”
“ผู้อำนวยการจ้าว ท่านอย่าเพิ่งโกรธนะครับ! พี่สาวผมเป็ห่วงเื่ที่ลูกชายเขาโดนรังแก ท่าน—”
“อธิบายอะไร! ยังมีอะไรน่าอธิบายอีก!”
ตอนนี้จ้าวจื้อเหว่ยได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว อารมณ์ก็ขึ้นตามไปด้วย เขาไม่ฟังเฉาซุ่นปินอธิบายด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเขาอาจจะยังไว้หน้าเฉาซุ่นปินอยู่บ้าง เพราะถึงยังไงพี่เขยเขาก็เป็ถึงรองนายกเทศมนตรี แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้จ้าวจื้อเหว่ยเป็สมาชิกพรรคการเมือง เขาไม่จำเป็ต้องนึกถึงความรู้สึกของไช่เหิงผิงอีกแล้ว! นึกถึงกิริยาของเฉาหงเหมยเมื่อครู่ จ้าวจื้อเหว่ยก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น “ฉันบอกพวกนายอยู่เป็ประจำแทบจะทุกวัน ว่าให้ทำงานอย่างเที่ยงตรงและเป็ธรรม ต่อหน้าพวกนายก็ทำ แต่กลับทำหน้าอย่างหลังอย่างเนี่ยนะ! แค่เื่เด็กนักเรียนมัธยมทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียน จำเป็ต้องให้ผู้อำนวยการสถานีตำรวจทั้งเขตอย่างนายมาคุมการสอบสวนด้วยตัวเองเลยเหรอ นายกินอิ่มแล้วเบ่งมากใช่ไหม?”
เฉาซุ่นปินพูดในใจ ขนาดผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยสำนักงานตำรวจเมืองเซี่ยหยางอย่างนายยังมาเองแล้วเลย แต่เขากลับไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว ตอบเพียงครับๆ ครับๆ เท่านั้น
“เื่นี้ฉันตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ระหว่างฉินหลางกับไช่เว้ยตง เดิมทีมีความขัดแย้งเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ไช่เว้ยตงดันเอามีดออกมาขู่ฉินหลาง ฉินหลางจึงจำเป็ต้องตีจ้าวเว้ยตงจนหมดสติเพื่อป้องกันตัวเอง ดังนั้นเื่นี้ฉินหลางไม่มีความผิดเลย พวกนายจับเขาใส่กุญแจมือไว้ทำไม?”
ทันทีที่จ้าวจื้อเหว่ยพูด เขาก็สรุปเื่นี้เรียบร้อยแล้ว บอกว่าฉินหลางกับไช่เว้ยตงมีความขัดแย้งกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไช่เว้ยตงดันเอามีดออกมา ซึ่งนั่นเป็การกระทำที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ฉินหลางตีไช่เว้ยตงจนหมดสติเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ซึ่งการป้องกันตัวนั้นไม่ผิดกฎหมาย ทันทีที่จ้าวจื้อเหว่ยพูดจบ ตำรวจก็รีบเข้ามาถอดกุญแจมือให้ฉินหลางทันที จากนั้นจ้าวจื้อเหว่ยก็หันไปพูดกับฉินหลางว่า “ฉินหลาง ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เธอใ ต้องยอมรับว่าในสำนักงานยังตำรวจมีคนที่เป็แกะดำปะปนอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วคนที่ดีก็ยังมีเยอะกว่า ดังนั้นเธอไม่ต้องเป็ห่วง เดี๋ยวฉันจะลงโทษตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเอง! นายคนนั้นน่ะ—รีบพาคนไปควบคุมตัวไช่เว้ยตงที่เป็ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้มาจากโรงพยาบาลด้วย!”
ผู้ต้องสงสัย?
สองพี่น้อง เฉาหงเหมยกับเฉาซุ่นปิน อึ้งไปตามๆ กัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่า นอกจากจ้าวจื้อเหว่ยจะยืนกรานให้ปล่อยตัวฉินหลางแล้ว ยังจะสรุปให้จ้าวเว้ยตงเป็ผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาอีก
“เ้าจ้าว... เธอพูดอะไรน่ะ! เว้ยตงลูกชายฉันเขาเป็ผู้เสียหาย นายจะปล่อยเ้าเด็กคนนี้ไปได้ยังไง... อย่างน้อยนายก็ต้องเห็นแก่คุณไช่...”
เฉาหงเหมยยังจะยกสามีตัวเองขึ้นมาพูดอีก นั่นยิ่งทำให้จ้าวจื้อเหว่ยเดือดดาลมากขึ้น จ้าวจื้อเหว่ยจึงพูดขึ้นตัดบทสนทนาของเฉาหงเหมยอย่างไม่มีความเกรงใจ “คุณนายเฉา ถ้าคุณยังจะพูดจาแบบนี้อีก มันเท่ากับแทรกแซงการทำงานของเ้าหน้าที่ตำรวจแล้วนะ! เฉาซุ่นปิน นายไม่เคยสอนคนในครอบครัวให้รู้จักกฎหมายเบื้องต้นบ้างเลยหรือไง!”
“ผมว่าความรู้ด้านกฎหมายของผู้อำนวยการสถานีตำรวจในระดับเขตอย่างคุณเฉายังไม่ค่อยจะมีเลย” จู่ๆ เฉินจิ้นหยงที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น “ผมเพิ่งออกมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตและวินัย ได้ยินว่ามีคนร้องเรียนคุณเฉาว่าเรียกรับสินบน แล้วยังใช้อำนาจทุจริตโดยมิชอบ ตอนนี้คณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตและวินัยน่าจะไปหาคุณที่บ้าน หรือไม่ก็ที่ทำงานแล้วแหละ”
“อะไรนะ!” เมื่อเฉาซุ่นปินฟังจบ ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขาไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว นอกจากโลกที่หมุนติ้วๆ อยู่รอบตัว เช่นเดียวกับเฉาหงเหมยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปถึงวังวนไหนต่อไหนแล้ว
เฉินจิ้นหยงไม่สนใจความรู้สึกของสองพี่น้องนี้ หันไปบอกกับฉินหลางด้วยความสนิทสนม “ฉินหลาง เธอไม่เป็ไรใช่ไหม? เธอไม่ต้องห่วงนะ คดีท่านผบ. จ้าวจะควบคุมด้วยตัวเอง เขาจะดำเนินการอย่างเป็ธรรมแน่นอน!”
“ท่านผบ. จ้าว กับท่านหัวหน้าเฉินครับ ในเมื่อผมเป็ผู้บริสุทธิ์ งั้นผมขอตัวกลับโรงเรียนก่อนนะครับ จะได้ไม่เสียการเรียน” เมื่อฉินหลางกล่าวขอบคุณจ้าวจื้อเหว่ยกับเฉินจิ้นหยงแล้ว ก็หันไปกล่าวขอบคุณทหารกองกำลังพิเศษด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้เอง ฉินหลางเห็นรั่วปินเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ พูดกับฉินหลางด้วยความสนิทสนม “ฉินหลาง... นายไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“สบายใจได้ครับคุณหนูใหญ่ เขายังสบายดี! ผมสักเส้นยังไม่น้อยลงเลยครับ!” ร้อยโทบอกรั่วปินด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลางเพิ่งได้รู้ ว่ารั่วปินเป็คนให้ร้อยโท.กองกำลังพิเศษดังกล่าวมา ก่อนหน้านี้เขายังสงสัยอยู่เลย ว่าตัวเองไปมีความสัมพันธ์อะไรกับกองทัพ ดูไปแล้ว ภูมิหลังของรั่วปินจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ คิดไม่ถึง ปกติยัยนี่จะเป็คนไม่โอ้อวด และทำตัวติดดินแล้ว เวลาทำอะไรก็ยังติดดินด้วย
“เ้าหนู ฉันชื่อหม่าจิ้นหย่ง!” ร้อยโทพูดขึ้นพร้อมยื่นมือออกมา จับมือกับฉินหลาง
“ผมชื่อฉินหลาง ขอบคุณพวกคุณมากนะครับ” ฉินหลางรู้สึกว่าหม่าจิ้นหย่งกำลังบีบแรงขึ้นเรี่อยๆ เขาเข้าใจได้ทันทีว่าหม่าจิ้นหย่งตั้งใจใช้การจับมือมาทดสอบพละกำลังของตนอยู่ แต่หม่าจิ้นหย่งก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เพิ่มแรงบีบขึ้นทีละนิด ทีละหน่อยแน่นอน
“ไม่ต้องเกรงใจ วันนี้มีภารกิจต้องผ่านมาแถวนี้พอดี ก็เลยแวะเข้ามาเฉยๆ ดีมากเ้าหนู! ยอดเยี่ยม!” หม่าจิ้นหย่งคาดไม่ถึงว่าฉินหลางจะมีพละกำลังมากกว่าเขาเสียอีก จึงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ก่อนจะหันพูดกับรั่วปินว่า “คุณหนูใหญ่นี่สายตาดีไม่เลว!”
รั่วปินหน้าแดงก่ำ ส่วนหม่าจิ้นหย่งก็รีบพาคนของเขากลับไปแล้ว
“รั่วปิน ขอบคุณมากนะ” ฉินหลางกล่าวขอบคุณรั่วปิน
“ขอบคุณฉันทำไม” รั่วปินกล่าว “ตอนอยู่อนุบาล นายคอยปกป้อง คุ้มครองฉันเป็ประจำ ตอนนี้ เปลี่ยนให้ฉันเป็คนปกป้อง คุ้มครองนายสักครั้งจะเป็ไรไป”
“ได้” ฉินหลางพยักหน้า แล้วออกจากสถานีตำรวจไปพร้อมกับรั่วปิน “แต่ต่อไปให้ฉันเป็คนปกป้อง คุ้มครองเธอเหมือนเดิมจะดีกว่า”
ครืน!
ทันใดก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
นี่ยังเป็เสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ ครั้งแรกของปีนี้ด้วย
เสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิดังกึกก้องอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับทำให้ฉินหลางผวาอยู่ภายในใจได้อย่างประหลาด
ยอมรับความช่วยเหลือจากสาวสวยเป็เื่ยากที่สุด
ทันใดนั้นฉินหลางก็รู้สึกเหมือนเสียงฟ้าร้องนี้เหมือนเป็คำเตือนจากสรวง์
การชอบผู้หญิงสองคนในเวลาเดียวกัน มันน่ารังเกียจมากจน์ยังทนดูไม่ได้เลยเหรอ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้