เมืองชางในยามค่ำคืนยังคงสวยงามและน่าหลงใหล เป็เมืองเก่าแก่ทางตอนใต้ของเขตปกครองเทพาที่ไม่รู้ว่าสถาปนาขึ้นมาเป็เวลายาวนานเท่าใดแล้ว มันยังคงแผ่กลิ่นอายของความน่าหลงใหลและความเปล่าเปลี่ยววังเวงออกมาไม่ขาด
นับจากหลายพันปีก่อนที่ชายคนหนึ่งชื่อว่าเย่หวงเดินเข้ามาภายในเมืองแห่งนี้แล้วก่อตั้งบ้านตระกูลเย่ขึ้น เมืองแห่งนี้จึงถูกประทับตราตระกูลเย่ลงไปอย่างมั่นคง เมืองชางจึงเป็ของตระกูลเย่และตระกูลเย่เป็ของเมืองชาง
เสว่อู๋เหินเดินอยู่บนถนนใหญ่หมายเลขสิบสามอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย ข้างกายมีผู้เฒ่าม่อและผู้เฒ่าสือคอยติดตาม ค่ำคืนภายในเมืองชางสวยงดงามอย่างแท้จริง สาวๆ ที่ถนนแห่งนี้ค่อนข้างจะกระตือรือร้นเอาใจมากกว่าหอนางโลมที่เมืองเพียวเสว่ เพียงแต่เขาก็ยังคงเบื่อหน่ายและรู้สึกอับจนปัญญาอยู่เช่นเดิม
พักอยู่ที่เมืองชางมาสองเดือนกว่า ภายในตระกูลเสว่มีข่าวซุบซิบกันว่าเขาออกมาฝึกฝนฝีมือคราวนี้ ฝึกฝนจนถึงถนนหมายเลขสิบสามไปเสียแล้ว ความหมายคือไม่พอใจและเป็กังวล ส่วนทางตระกูลเย่ก็มีข่าวลือที่ไม่ดีต่อเขาเกิดขึ้น แน่นอนว่าหนีไม่พ้นพวกมักมากในกาม พวกหนุ่มเ้าสำราญ
จะมีก็เพียงแต่ผู้เฒ่าม่อและผู้เฒ่าสือที่อยู่ข้างกายเท่านั้นที่รู้ว่า - นายน้อยไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ หากไม่หาอะไรทำ ไม่แสดงอะไรบางอย่างเพื่อเบนความสนใจ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านตระกูลเย่คนอื่นจะสงสัยเอาได้ ดังนั้นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทั้งสามคนเดินเข้าออกแทบจะหมดทุกร้านภายในถนนหมายเลขสิบสามแห่งนี้แล้ว
“ทางเมืองหมันยังไม่ส่งข่าวมาเลยหรือ?”
เสว่อู๋เหินมองดูประตูหอนางโลมที่อยู่ด้านหน้า เสียงเรียกของหญิงสาวหลายนางพร้อมทั้งส่งสายตาเขย่าหน้าอกูเาไฟมาทางเขาอยู่ไม่ขาด
ได้ยินผู้เป็นายเอ่ยถามขึ้นผู้เฒ่าม่อที่อยู่ด้านหลังรีบเดินก้าวขึ้นมาพร้อมกับตอบออกมาอย่างนอบน้อม “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ข้าน้อยคาดว่าคงอีกไม่นาน”
“ไอ้พวกขยะไร้ประโยชน์” เสว่อู๋เหินด่าออกมาเสียงต่ำ จากนั้นจึงเดินมุดหายเข้าไปยังหอนางโลมเบื้องหน้า
หอนางโลมแห่งนี้ชื่อว่าหอร้อยบุปผา ตั้งอยู่ใจกลางถนนหมายเลขสิบสาม ทำธุรกิจขายเนื้อหนังมังสา แม่เล้าของหอชื่อว่าเฟิ้งเจ่ เฟิ้งเจ่แม้จะมีอายุที่สามารถเป็แม่คนได้หลายคนแล้วก็ตามที แต่กลับดูไม่แก่เท่าใดนัก หน้าตายังดูสาวราวเด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ มีดวงตาหงส์หยกที่ทรงเสน่ห์เย้ายวน
ดวงตาคู่ของนางไม่เพียงสวยงามแต่ยังมองคนออกอีกต่างหาก ตอนนี้นางกำลังเดินลงมาจากชั้นบน สายตามองไปเห็นพวกเสว่อู๋เหินสามคนเดินผ่านประตูเข้ามา นางเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะยิ่งกว่าเสียงของนกขมิ้น “ว้าว! วันนี้ได้ยินเสียงเหล่าหมู่นกน้อยของข้าร้องเจื้อยแจ้วกันอยู่ไม่หยุดั้แ่เช้า ข้าก็คิดอยู่ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น ตอนนี้พบคุณชายเสว่ข้าถึงเข้าใจได้โดยทันที”
“แม่นางเฟิ้งเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” เสว่อู๋เหินพยักหน้าอย่างราบเรียบไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก การกล่าวประจบประแจงเช่นนี้แม้จะฟังแล้วรื่นหู แต่ได้ยินทุกวันก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาเหมือนกัน
“แบบเดิม?” เฟิ้งเจ่ยิ้มพรายออกมา
เสว่อู๋เหินยิ้มราบเรียบออกมาแล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน เดินเข้าไปภายในห้องที่จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะห้องหนึ่ง ห้องนี้ไม่เหมือนกับห้องอื่นทั่วๆ ไปที่มีเตียงนอนใบใหญ่สีชมพู จุดกำยานกลิ่นไม้จันทน์หอมตลบอบอวล ที่นี่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้จันทน์ไม่กี่ตัว ภาพวาดูเาลำธารหนึ่งผืน ดูราวกับว่าไม่ใช่หอนางโลมแต่เป็ห้องสมุดไปห้องหนึ่ง
ประตูด้านข้างของห้องถูกเปิดออก แม่เล้าเฟิ้งดวงตาทอประกายแสงวาบผ่านพร้อมกับโค้งคำนับไปครั้งหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมไม่หลงเหลือเสน่ห์ยั่วยวนใดๆ ให้เห็นแม้แต่น้อย
“เตรียมการไปถึงขั้นไหนแล้ว?” เสว่อู๋เหินพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบ
แม่เล้าเฟิ้งรีบโน้มตัวลงแล้วพูดออกมาอย่างเคารพนอบน้อมว่า “เรียนนายน้อย บ่าวเตรียมการลงมือในอีกห้าวันข้างหน้า ตอนนี้ได้จัดเตรียมการอย่างลับที่สุด นอกเสียจากว่าตาแกตายยากทั้งสามของตระกูลเย่จะลงมือเอง ภารกิจในครั้งนี้รับรองต้องสำเร็จอย่างแน่นอน”
“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ส่วนทางตระกูลเย่ข้าจะจัดการเอง ข้าแค่อยากให้เ้ารับประกันว่านางเด็กนั่นจะไม่ตายก่อนที่จะถูกส่งไปถึงเมืองเพียวเสว่ หากนางตายเ้าก็จะไม่รอดเช่นกัน” เสว่อู๋เหินเริ่มอับจนปัญญา ทางตรง ทางอ้อมและทางด้านหลังล้วนไม่ได้ เขาเลยต้องลองเสี่ยงดู นางเด็กนั่นเขาจำเป็อย่างยิ่งที่ต้องได้มาครอง
ก๊อกๆๆ
ภายนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เสว่อู๋เหินรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย สายตามองไปทางเฟิ้งเจ่อย่างตำหนิโทษ เฟิ้งเจ่รีบโค้งคำนับเป็การไถ่โทษ นางเปิดประตูเดินออกไปพูดคุยอยู่ชั่วครู่
เอี๊ยด!
เสียงประตูถูกผลักออกอีกครั้ง เฟิ้งเจ่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับพูดขึ้น “ดูท่าว่าภารกิจในครั้งนี้ต้องรีบดำเนินการก่อนกำหนดเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีที่สุดคือคืนนี้”
“เกิดอะไรขึ้น?” เสว่อู๋เหินขมวดคิ้วรู้สึกได้ถึงเื่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้น
“พวกเสว่อีพี่น้องทั้งห้าตายหมดแล้ว และเป็เย่ชิงหานคนเดียวที่ฆ่าทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เย่ชิงหานกำลังรีบเร่งเดินทางกลับมายังเมืองชาง หากนายน้อยยังยืนกรานจะทำภารกิจอยู่อีกละก็คงต้องรีบแล้ว” เฟิ้งเจ่สะกดกลั้นความหวาดผวาที่อยู่ภายในใจ พยายามพูดออกมาให้ดูสงบราบเรียบที่สุด
เพล้ง!
แก้วชาที่อยู่ในมือพลันหล่นลงสู่พื้นแตกออกเป็เสี่ยงๆ เสว่อู๋เหินอ้าปากกว้างคล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผู้เฒ่าม่อและผู้เฒ่าสือกำลังใช้สมองขบคิดถึงความหมายที่แฝงลึกอยู่ภายในข่าวสารที่ได้ฟัง
“เรียกคนที่มาส่งข่าวเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้” ผ่านไปเนิ่นนานเสว่อู๋เหินพลันเปิดปากพูดขึ้น น้ำเสียงทั้งเฉยเมยทั้งเ็า
หนิวจินกับผู้คุ้มกันอีกสองคนถูกเรียกตัวเข้ามา มองเห็นเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่เก้าอี้ด้านหัวสุดจึงรีบโค้งคำนับ จากนั้นเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาอย่างไม่ตกหล่น เขารู้ว่าหากพูดผิดพลาดแม้แต่น้อยชีวิตของตนเองจะต้องเลือนหายไปแน่ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้มีอำนาจและพลังฝีมือที่จะทำอย่างนั้นได้
“พอแล้ว พวกเ้าสามคนออกไปได้ เฟิ้งเจ่จัดหาที่พักให้พวกเขาด้วย ให้อยู่เล่นสนุกสักวันสองวัน” หลังจากที่พวกหนิวจินทั้งสามเข้ามาเสว่อู๋เหินก็กลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้ง ภายในใจแม้จะราวกับคลื่นใหญ่โหมซัด แต่ก็ต้องฝืนบังคับข่มเอาไว้ ต่อหน้าบ่าวรับใช้เขาต้องสงบเยือกเย็นเท่านั้นและจำเป็อย่างยิ่ง
“ดำเนินการภายในคืนนี้”
เสว่อู๋เหินครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน พลันลุกขึ้นแล้วพูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นเปิดประตูจากไปอย่างรวดเร็ว
.................................
สวนเมามายเขตตะวันตกบ้านตระกูลเย่
เย่ชิงขวงซึ่งเป็นายน้อยใหญ่ของตระกูลเย่ ตอนนี้กลับไม่ได้ทำตัวเหมือนพวกนายน้อยของตระกูลทั่วไปที่ยังคงวนเวียนอยู่บนถนนหมายเลขสิบสามเสพสุขกับเหล่าสาวงาม หรืออยู่สถานที่ใดสักที่อวดศักดิ์ดาบารมีของตระกูลและบิดาของตน แต่เขากลับนั่งนิ่งอยู่ภายในลานที่พักหลับตาฝึกฝนพลังปราณรบอย่างมุมานะ
หลายคนอาจไม่รู้และไม่เข้าใจ เย่ชิงขวงใช้เวลาในการฝึกฝนพลังยุทธ์มากกว่าเวลาหลับนอนหรือเวลาเที่ยวเล่นสนุกของเขาเสียอีก มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าทำไมต้องมุมานะพยายาม? ทำไมต้องพยายามอย่างสุดชีวิต?
เพราะเขาคือเย่ชิงขวง คือนายน้อยใหญ่ของตระกูล ผู้สืบทอดลำดับหนึ่งของตระกูล ถ้าหากไม่มุมานะพยายามอีกหลายปีข้างหน้าเขาอาจจะไม่ใช่นายน้อยใหญ่แล้วก็เป็ได้ และอาจจะไม่ใช่ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูล ดังนั้นจึงต้องมุมานะพยายาม ต้องพยายามอย่างสุดชีวิต
หลายปีก่อน เขารู้ว่าบิดาที่เป็จ้าวเมืองเมืองชางแม้จะมีอำนาจบารมีล้นฟ้า แต่บิดากลับไม่มีความสุข เพราะว่าทั้งชีวิตถูกชื่อของคนๆ หนึ่งกดทับอยู่ตลอด ตอนที่เ้าของชื่อนั้นยังมีชีวิตอยู่บิดาของตนถูกกดทับรัศมีจนโงหัวไม่ขึ้น แต่หลังจากที่คนผู้นั้นได้ตายไปชื่อของเขากลับยังคงเป็เหมือนขุนเขาใหญ่ที่ขวางกั้นบิดาไม่สามารถจะข้ามผ่านไปได้ แม้ว่าคนผู้นั้นตายไปแล้ว ท่านปู่เร้นกาย บิดาขึ้นรับตำแหน่งต่อ แต่หลายคนกลับรู้สึกว่าตำแหน่งที่บิดาขึ้นรับ่ต่อนั้นดูค่อนข้างไม่มั่นคงไปสักหน่อย
ดังนั้นเขาจะต้องมุมานะพยายามฝึกฝนให้มากเพื่อทำให้ตำแหน่งของบิดามั่นคงและสงบสุขมากยิ่งขึ้น และเขาเย่ชิงขวงต้องมีสักวันที่จะข้ามผ่านคนผู้นั้นให้ได้ เอาแสงสว่างทั้งหมดภายในตระกูลมาสวมไว้บนร่างของตนเองเพียงผู้เดียว ทำลายขุนเขาลูกใหญ่ที่กดทับบิดาให้พังลงไปและทำให้ชื่อของตนเองสั่นะเืไปทั่วเขตปกครองเทพาหรือกระทั่งทวีปัเพลิง
เสว่อู๋เหินแน่นอนว่าไม่สามารถรับรู้ได้ถึงปณิธานภายในใจของเย่ชิงขวง เขารู้แต่เพียงว่าคืนนี้เขาต้องพบกับเย่ชิงขวงให้ได้ และต้องพูดให้เย่ชิงขวงร่วมมือกับเขา ดังนั้นเขาจึงรีบออกมาจากถนนหมายเลขสิบสามเดินทางมายังสวนเมามายอย่างเร่งรีบ
“นายน้อยเสว่ มีเื่อะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?”
“มาหาเ้ามีเื่จะปรึกษาเสียหน่อย” เสว่อู๋เหินสีหน้าอาการร้อนรน พูดออกมาด้วยเสียงแ่เบา
“อ้อ? เข้าใจแล้ว!” เย่ชิงขวงส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เขายิ้มอย่างอ่อนหวาน เมื่อครั้งก่อนเส่วอู๋เหินพูดอย่างนี้กับเขา ผลลัพธ์คือเขาได้รับยาพลังปราณหิมะสิบกระปุก แม้ธุระจะยังทำไม่สำเร็จแต่เสว่อู๋เหินก็ยังมอบให้อย่างใจกว้าง ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าของเสว่อู๋เหินเขารู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีเื่ดีเกิดขึ้นกับตนเองอย่างแน่นอน จึงได้พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เชิญนายน้อยเสว่ว่ามาเลย เื่ของท่านก็เหมือนกับเื่ของข้า หากข้าทำได้ข้าจะทำให้เต็มที่”