กระทั่งเวลาต่อมา
ฉับพลัน ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็รู้สึกเ็ปที่หน้าอกและไอออกมา นี่เป็เหตุให้สติของทุกคนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง
ซูชิงเฟิงทอดสายตามองไปทางฮ่องเต้ฉงเต๋อพร้อมกับพิจารณา ก่อนเอ่ยออกไป “อาการป่วยขององค์ชายห้าตอนนี้ค่อนข้างอยู่ในขั้นวิกฤติแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่มียารักษา ทว่า ต่อให้ ณ ตอนนี้มียารักษา ก็เกรงว่าคงจะช่วยอะไรไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำของซูชิงเฟิงช่างจี้ใจดำอย่างไร้ความปรานี
พระสนมลี่พลันรู้สึกหัวใจแตกสลาย นางก้าวเท้าออกมาก่อนจะะโใส่ซูชิงเฟิงอย่างดุเดือด “หมอไร้ฝีมือ มีแต่พวกหมอไร้ฝีมือทั้งนั้น โอรสของข้าเพิ่งจะป่วยแค่ห้าวันเท่านั้น จะถึงขั้นป่วยจนถึงแก่ชีวิตได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเป็เพราะพวกเ้าไร้ความสามารถหรอกหรือ แม้แต่โรคระบาดเล็กน้อยนี้ก็รักษาไม่ได้ หมอหลวงหรือแม้แต่หมอเทวดาต่างก็ไร้ฝีมือกันทั้งนั้น!”
ขณะนี้ พระสนมลี่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ แม้แต่ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความพิโรธ “พระสนมคงเหนื่อยมากแล้ว รีบมาพาตัวพระสนมกลับไปพักผ่อนที่วังเถิด” ฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หลังจากนั้น เหล่าข้ารับใช้ก็เดินเข้ามาแล้วประคองพระสนมลี่ออกไป
่ที่พระสนมลี่กำลังเดินผ่านซูชิงเฟิงไปนั้น นางมีสีหน้าผะอืดผะอมราวกับมีสิ่งสกปรกอะไรบางอย่างอยู่ในปาก ช่างแตกต่างจากภาพพจน์อันสง่างามก่อนหน้านี้ยิ่งนัก
หลินหร่านเป็ห่วงท่านอาจารย์ที่สุด จึงได้จ้องมองอย่างไม่วางตา
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็ถึงพระสนมเอก แต่ซูชิงเฟิงเป็เพียงราษฎรผู้หนึ่งเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้น ท่านอาจารย์ก็คงจะต่อกรอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ใครจะไปคิดว่าในตอนที่พระสนมลี่ก้าวมาเบื้องหน้าซูชิงเฟิง เข็มสีเงินพลันปรากฏขึ้นมาบนปลายนิ้วของเขา ก่อนจะฝังลงไปที่บนศีรษะของพระสนมลี่ทันที
หลังจากนั้น พระสนมลี่จึงได้สลบไป เวลานี้เอง ทั่วทั้งห้องโถงจึงพากันเงียบกริบ
ฮ่องเต้ฉงเต๋อรู้สึกกังวลใจไม่น้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ซูชิงเฟิงกลับเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “กระหม่อมเพียงแค่ทำให้พระสนมลี่สงบลงเท่านั้น เมื่อครู่จิตใจของพระสนมครุ่นคิดด้วยความหนักใจ พาพระองค์กลับไปบรรทมเพียงชั่วครู่ก็จะดีขึ้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อยกมือขึ้น พระองค์โบกปัดเป็อย่างสัญญาณให้คนพาพระสนมลี่กลับไปพักผ่อน
รอจนพระสนมลี่อยู่ห่างออกไป ซูชิงเฟิงจึงได้เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “อาการประชวรขององค์ชายห้ากับระยะเวลาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ความรุนแรงของโรคระบาดกลับเพิ่มมากขึ้น โรคระบาดที่แพร่กระจายอยู่รอบเมืองหลวงนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง ความรุนแรงมีมากกว่า่ที่กระหม่อมไปตรวจที่เขตผิงหลายต่อหลายเท่า…”
ซูชิงเฟิงทอดสายตามองไปทางฮ่องเต้ฉงเต๋อด้วยความสงสัย ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วกล่าวถ้อยคำต่อไป “เวลานั้น โรคระบาดที่เกิดขึ้นในเขตผิงไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนี้ เท่ากับนี่คงจะไม่ได้รับการควบคุมโรคอย่างถูกต้องนัก ดังนั้น โรคระบาดที่ลุกลามเข้ามาโดยรอบเมืองหลวงนั้นจึงรุนแรงมากขึ้น…”
“เดี๋ยวก่อน ประเดี๋ยว นี่เ้ากำลังพูดเื่อะไร เขตผิงในเมืองจั๋วโจวอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อเอ่ยขัดคำพูดของซูชิงเฟิงขึ้นมาโดยพลัน
ทว่า ซูชิงเฟิงกลับเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมได้ข่าวมาว่าที่เขตผิงในเมืองจั๋วโจวเกิดโรคระบาด อีกทั้งจั๋วโจวยังเป็บ้านเกิดของกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมจึงได้รีบไปดู เวลานั้นโรคระบาดนี้ก็ยากที่จะรับมือเหมือนกัน ซึ่งกระหม่อมไม่เคยพบเคยเห็นโรคระบาดบาดเช่นนี้มาก่อน แต่ในตอนที่กระหม่อมยังไม่สามารถหาต้นตอและตรวจสอบหาสาเหตุของโรคระบาดได้ กลับมีคนจากราชสำนักเข้ามา แล้วเผาเขตผิงจนวอดวายทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งเมืองต่างสิ้นชีวิต ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว”
อารมณ์ที่เอื้อนเอ่ยออกมาของซูชิงเฟิงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโกรธแค้นต่อการเผาเมือง และท่าทีโกรธเคืองของเขาก็ไปกระตุ้นความรู้สึกของฮ่องเต้ฉงเต๋อที่จ้องมองมาอยู่ได้เป็อย่างดี
ท่านหมออย่างซูชิงเฟิงที่ช่วยเหลือผู้คน ย่อมต้องโกรธเคืองเกี่ยวกับเื่นี้ไม่น้อยอยู่แล้ว
ฮ่องเต้ฉงเต๋อเชื่อในสิ่งที่ซูชิงเฟิงเอ่ย เพราะพระองค์รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีความซื่อสัตย์ ไม่คิดผิดศีล พบเจอมาเช่นไรจึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น
แน่นอนว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยว่าเื่นี้ อวี้ฉู่จาวอาจเป็คงสั่งให้เขาเตรียมการก็เป็ได้ นั่นเป็เพราะพระองค์รู้ดีว่าบุตรชายไม่สนใจเื่กิจการบ้านเมืองสักเท่าไรอยู่แล้ว
“ไร้เหตุผล หากเื่นี้เป็ความจริง เหตุใดจึงไม่มีใครนำเื่นี้เข้ามากราบทูลในราชสำนัก ข้าไม่เคยรับรู้เื่เหล่านี้มาก่อน” ฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสด้วยความพิโรธ
ก่อนที่หลี่ิลู่ที่อยู่ข้างกายจะรีบกล่าวยับยั้ง “ฝ่าา โปรดอย่าทรงพิโรธพ่ะย่ะค่ะ อาจเป็เพราะโรคระบาดในเขตผิงไม่ร้ายแรงก็เป็ได้ ถึงได้ไม่มีการนำมากราบทูลฝ่าา”
ซูชิงเฟิงกล่าว “ไม่ร้ายแรง? ถึงขั้นเผาเมืองเชียวนะ นอกจากนี้ ข้ายังอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เกิดเื่ ่เวลานั้นทั้งเมืองกลายเป็เมืองร้างที่เต็มไปด้วยซากศพ ประตูเมืองถูกปิดเอาไว้อย่างแ่า โรคระบาดลุกลามไปทั่ว แม้แต่คนในเมืองก็หนีออกมาไม่ได้”
ซูชิงเฟิงะเิอารมณ์โมโหอย่างหักห้ามใจไม่ได้ จากนั้น เขามองไปทางคนที่มักแสดงออกว่ารักประชาชนและความยุติธรรมมากเหลือเกิน ทว่าในความเป็จริงแล้ว อีกฝ่ายก็เป็แค่ฮ่องเต้ที่คอยหวงแหน แย่งชิงอำนาจกับพระโอรสของตนเองเท่านั้น
“เ้าเมืองหนีหายไปแล้ว ตอนแรกกระหม่อมคิดว่านี่เป็วิธีจัดการกับโรคระบาดของราชสำนักเสียอีก…” ซูชิงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างแสดงท่าทีโกรธและไม่พอใจ จนเขาไม่อยากแม้แต่จะแลตามองฮ่องเต้ผู้นี้มากขึ้นสักเสี้ยววินาที
จากท่าทีและถ้อยคำของซูชิงเฟิง นี่เป็ตัวกระตุ้นความพิโรธของฮ่องเต้ได้เป็อย่างดี
ฮ่องเต้ฉงเต๋อทิ้งสำรับชาในมือลงก่อนเอ่ยรับสั่ง “หลี่ิลู่ นำพระราชโองการของข้าไปแจ้งให้เปี้ยนฉุนแห่งหน่วยงานต้าหลี่ส่งคนไปทำการตรวจสอบที่เขตผิงเสีย สอบถามเื่ของเมืองจั๋วโจวกับโรคระบาดที่เ้าเมืองทำการปกปิดไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ด้วยเหตุนี้ เื่ราวของโรคระบาดในเขตผิงจึงถูกซูชิงเฟิงกระตุ้นด้วยกลวิธีนี้นั่นเอง
ไม่ว่าราชสำนักจะตรวจสอบเื่นี้แล้วได้ความว่าอย่างไร แต่ถ้าหากมีความคืบหน้า ก็จะต้องมีคนที่ถูกดึงลงจากหลังม้า หรือไม่ก็มีคนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยเป็แน่
ณ ตอนนี้ พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตา รอดูเื่ราวน่าสนุกอยู่เงียบๆ โดยเฉพาะหรงจิ่งที่ชอบทำเื่อย่างนี้มากที่สุด
่แรกแสดงท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจมากนัก เพราะเื่เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง แต่สุดท้ายกลับพลิกผัน ทำให้ตนเองกลายเป็ชาวประมงที่ได้กำไรอยู่ดี
“ช่วยเหลือหลิงเอ๋อร์ไม่ได้แล้วจริงหรือ ถ้าเช่นนั้น ประชาชนนอกเมืองล่ะ?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อปรับอารมณ์ให้คงที่ก่อนตรัสถาม
“ไม่สามารถช่วยเหลือองค์ชายห้าได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้ทำได้เพียงให้ยาเพื่อช่วยยื้อชีวิตเอาไว้วันต่อวันเท่านั้น ในใจคงได้แต่อธิษฐานให้พระเ้าประทานวิธีรักษา เพื่อนำพาองค์ชายกลับมาจากยมโลก อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ายาที่กระหม่อมหมายถึงจะต้องเป็เซียนตัน ยาเพื่อชุบชีวิตให้ฟื้นคืนจากความตายพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่วนเื่ประชาชนที่ติดเชื้อนอกเมืองหลวง กระหม่อมหวังว่าฮ่องเต้จะทรงมีพระราชโองการรับสั่งออกไปว่า หากผู้ใดติดเชื้อ จะต้องหลงเหลือไว้เพียงผู้ที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น ส่วนศพให้เผาทิ้งในทันที” มิเช่นนั้น ไม่พ้นสองวัน เหล่าซากศพจะเดินไปทั่วเมืองทั้งกลางวันและกลางคืน ต้องเกิดความตื่นตระหนกไปทั้งเมืองอย่างแน่นอน
ถึงอย่างนั้น อันที่จริงแล้ว เหตุผลที่ซูชิงเฟิงเลือกที่จะกล่าวออกไปก็มีเพียง “เพื่อทำการยับยั้งการระบาดของโรคไม่ให้เพิ่มมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อพยักหน้า ก่อนที่จะตรัสกับหลี่ิลู่ “รีบแจ้งเื่นี้ออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“เื่ยารักษา กระหม่อมกำลังทำการศึกษาอยู่ ่นี้ฝ่าาควรยับยั้งการระบาดของโรค เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าเข้าใจในโรคนี้มากน้อยเพียงใด ข้าให้หมอหลวงไปช่วยเ้าดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสถาม
แต่ซูชิงเฟิงก็โบกมือปัด “ไม่จำเป็พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมชอบทำอะไรคนเดียว พวกเขามาก็เกะกะเสียเปล่า” ซูชิงเฟิงเอ่ยตอบตามตรง
ซูชิงเฟิงรับรู้ได้เป็อย่างดีว่าหมอหลวงเ่าั้เกลียดชังในตัวเขา เลือกปฏิบัติกับเขาเพียงผู้เดียว หรือจะให้พูดง่ายๆ ก็คืออิจฉาริษยานั่นเอง
นี่ก็เป็เพราะว่า หากเปรียบเทียบกับเหล่าหมอหลวงแล้ว ฮ่องเต้ฉงเต๋อและประชาชนล้วนเชื่อมั่นในฝีมือของซูชิงเฟิงมากกว่า
ดังนั้น ซูชิงเฟิงจึงไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับหมอเ่าั้มากนัก หากจะต้องมัวมานั่งแสดงความเคารพกันอยู่ ก็คงจะสิ้นเปลืองเวลากันเปล่าๆ
“เช่นนั้นก็…ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็แยกออกเป็สองส่วน หมอหลวงรีบพากันศึกษาเื่นี้ ส่วนหมอซู…” ฮ่องเต้ฉงเต๋อครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะหันไปตรัสกับหลินหร่านที่อยู่ข้างกายอวี้ฉู่จาว “หมอซูศึกษาเื่โรคระบาดกับพระชายา เป็เช่นนี้ดีหรือไม่?”
“ดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงเฟิงตอบรับอย่างง่ายดาย
ส่วนคนที่คอยมองและตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ ตลอดอย่างหลินหร่านกลับมีความรู้สึกว่า ท่านอาจารย์ของเขาช่างเก่งกาจเหลือเกิน แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีเสียมารยาทกับเขา นอกจากนี้ พระองค์ยังถูกท่านอาจารย์ของเขาจูงจมูกอยู่ตลอด จนสามารถทำทุกอย่างตามใจได้อย่างสบายๆ เลยเชียว
“น้อมรับพระบัญชา” หลินหร่านยืนขึ้นก่อนโค้งคำนับ รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ฉงเต๋อ
---------------------------------------------
