กู้เจิงรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสิ่นเยี่ยนก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นอย่างไรเสียพวกเขาทั้งคู่ก็จูบกันไปแล้ว นางไม่อยากทำตัวเสแสร้งต่อหน้าเขาอีกต่อไปดังนั้นพอขึ้นรถม้าแล้ว นางก็กระเถิบกายเข้าไปแนบชิดสามีทันทีนางเอนตัวพิงร่างของเขาอย่างเกียจคร้าน
เสิ่นเยี่ยนปล่อยให้นางทำตามใจ
ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนรถม้ามาจอดที่หน้าประตูวังหลวงก่อนที่จะลงจากรถ กู้เจิงก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เขาให้เป็ระเบียบแม้จะไม่จำเป็ก็ตาม “ท่านพี่ทำให้เต็มที่นะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนหลุบตาลงมองหน้าภรรยา “นี่เ้าพูดจากใจจริง?”
“เื่แบบนี้ จะจริงหรือหลอกก็ไม่ต่างอะไรกระมังเ้าคะ?” มาถึงขนาดนี้แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก? ให้เขาพยายามทำให้เต็มที่ก็พอ
“ท่านเสนาธิการเสิ่น” เสียงพ่อบ้านว่านทักขึ้น เขาก้าวลงจากรถม้าที่เพิ่งมาถึงเวลาเจอกันข้างนอก เขาจะเรียกเสิ่นเยี่ยนตามตำแหน่งในค่ายทหารของเสิ่นเยี่ยน
“ฮูหยินน้อยเสิ่นก็อยู่ด้วยหรือ” พ่อบ้านว่านประสานมือคารวะเสิ่นเยี่ยนและกู้เจิงเขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่สะดวกที่จะมาจึงให้ข้าน้อยเป็ตัวแทนมาส่งท่านเสนาธิการเข้าไปสอบในวังขอรับ ท่านอ๋องให้ความสำคัญกับท่านมากเลยขอรับ”
“ขอบพระทัยในพระเมตตาของท่านอ๋องนัก” เสิ่นเยี่ยนกล่าวขอบคุณ
เมื่อประตูวังได้เปิดขึ้นก็มีเสียงเรียกของนางกำนัลดังแว่วมาแต่ไกลผู้เข้าสอบจำนวนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูรีบยืดตัวตรงเดินเข้าวัง
จนเมื่อผู้เข้าสอบก้าวเข้าวังจนครบ ประตูวังก็ได้ปิดลงเมื่อมองไม่เห็นเงาร่างของสามีแล้ว กู้เจิงจึงถอนสายตากลับมา
“ความสัมพันธ์ของฮูหยินน้อยกับท่านเสนาธิการช่างลึกซึ้งจริงๆ” พ่อบ้านว่านอมยิ้มล้อเลียน
พ่อบ้านว่านเป็ผู้าุโที่ดูมีคุณธรรมแต่กู้เจิงรู้สึกว่ายามที่ใบหน้าของเขายิ้มแย้มนั้นกลับไม่ได้ทำให้นางสบายใจอย่างที่ควรจะเป็ซึ่งก็เหมือนคำพูดชมเชยนี้ นางฟังดูแล้วก็ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรไม่รู้ว่าเป็เพราะนางคิดมากไปหรือเปล่า “การสอบครั้งใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมต้องเป็ห่วงเขาให้มาก”
“ก็จริงขอรับ” พ่อบ้านว่านพยักหน้า “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวกลับไปรายงานให้ท่านอ๋องรับทราบก่อนนะขอรับ”
“เดินทางปลอดภัยนะพ่อบ้านว่าน” กู้เจิงกล่าวลา
พ่อบ้านว่านก้าวขึ้นรถม้า เขาหันกลับไปมองทางรถม้าของตระกูลเสิ่นเขากล่าวพลางทอดถอนใจว่า “โชคดีที่ฮูหยินน้อยมีใจยึดมั่นกับท่านเสนาธิการหากมีใจคิดเป็อื่นสักหน่อย เกรงว่าท่านอ๋องจะพ่ายแพ้ย่อยยับ”
สารถีที่ขับรถม้าเป็ทหารผ่านศึกของจวนตวนอ๋องเขาเหลือบมองพ่อบ้านว่าน ก่อนหันมองไปทางรถม้าของตระกูลเสิ่นเขาไม่เข้าใจว่าพ่อบ้านว่านพูดอะไร แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรถาม
กู้เจิงไม่ได้ตรงกลับบ้านในทันทีนางมาแวะที่ร้านหนังสือชิงหย่าเซวียนก่อน
แม้อากาศจะหนาวยิ่งนักแต่ถนนยามเช้าตรู่ในย่านร้านค้ากลับครึกครื้นมาก ผู้คนมากมายต่างถือร่มเล็กๆออกมาเดินดูข้าวของตามรายทาง แม้แต่ร้านหนังสือของนางก็ยังมีคนเข้ามาเลือกซื้อของ
เถ้าแก่หม่าตงกำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นกู้เจิงลงมาจากรถม้าจึงรีบร้อนออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่มาแล้วหรือขอรับ?”
“ลุงหม่า” กู้เจิงกล่าวทักทาย
“แม้อากาศจะหนาวขนาดนี้ก็ยังมีลูกค้าเยอะเหมือนกันนะ” ชุนหงเห็นว่าในร้านมีคนอยู่เยอะมาก
“เมื่อไม่กี่วันก่อน่เริ่มการสอบ ได้มีการออกข้อสอบใหม่จึงมีหนังสือใหม่ๆ ออกมา ลูกค้าเลยเยอะเป็พิเศษขอรับ” ลุงหม่าอธิบาย
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้
“วันนี้คุณหนูใหญ่มาดูบัญชีร้านหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว ลุงหม่า เอาสมุดบัญชีมาให้ข้าดูหน่อย” กู้เจิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปด้านในร้านวันนี้นางต้องทำความรู้จักกับสิ่งของทุกอย่างของที่นี่ให้คุ้นเคยสักรอบจากนั้นก็ค่อยแจ้งบิดากับนายหญิงเว่ยซื่อผ่านทางหม่าตงว่านางสามารถตรวจสอบบัญชีได้แล้ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา ภายใต้ความแปลกใจของเถ้าแก่หม่าตงกู้เจิงก็ตรวจดูบัญชีของร้านจนเสร็จ แน่นอนว่านางย่อมพบจุดที่ไม่เข้าใจอยู่บ้างแต่ตรงไหนไม่เข้าใจนางก็ถาม เป็แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆเมื่อถามให้ชัดเจนก็พอจะรู้เื่อยู่บ้าง
กู้เจิงพอใจลุงหม่ามาก เขาทำบัญชีออกมาได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งไม่พบอะไรปลอมแปลงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าลุงหม่ายังพอไว้ใจได้อยู่
เมื่อตรวจดูบัญชีจนเสร็จแล้ว กู้เจิงก็หันไปสนใจกองหนังสือเก่าๆตรงมุมห้อง นางถึงกับย่อตัวลงหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดู หม่าตงเมื่อเห็นเขาจึงรีบเข้าไปบอก “คุณหนูใหญ่ หนังสือพวกนี้กองทิ้งไว้ที่นี่มาหลายวันแล้ว้ามีฝุ่น สกปรกนะขอรับ”
“เพราะหนังสือพวกนี้เก่าแล้ว เลยไม่เอาแล้วอย่างนั้นหรือ?” กู้เจิงเปิดดูไปหลายเล่มล้วนเป็หนังสือแบบเรียน เช่น กฎของผู้เป็ศิษย์[1] คัมภีร์สามอักษร และภาษาปราชญ์ไร้ขอบเขต[2] เป็ต้น
“ใช่ขอรับ บางเล่มก็เก่าจนขายไม่ได้ส่วนบางเล่มก็ชำรุดเสียหายจนไม่มีใครซื้อ”
“แล้วจะจัดการหนังสือพวกนี้อย่างไร?” กู้เจิงสงสัย
“ถ้าเล่มไหนเสียหายจนอ่านไม่ได้แล้วก็จะเอากลับไปให้โรงหนังสือกวนเยื่อกระดาษใหม่ขอรับส่วนที่ยังอ่านได้ก็จะขายในราคาต่ำ”
กู้เจิงมองกองหนังสืออย่างครุ่นคิด นางหันไปพูดกับหม่าตงว่า “ลุงหม่า นอกจากหนังสือที่ชำรุด หนังสือเก่าที่เหลือให้เก็บเอาไว้ก่อนข้าว่ามันยังมีประโยชน์”
ลุงหม่ารีบเอ่ยขัดว่า “คุณหนูใหญ่ หนังสือพวกนี้เก็บไว้ก็ไม่คุ้มค่านะขอรับ”
“ข้ารู้ว่าไม่คุ้มค่า” กู้เจิงก้มลงหยิบตำราภาษาปราชญ์ไร้ขอบเขตขึ้นมาพลางถามว่า“เล่มนี้สามารถขายได้เท่าไหร่?”
“อย่างมากก็แปดอีแปะขอรับ”
“ถูกจริงๆ” กู้เจิงพลิกหนังสือไปมาแม้จะเก่าไปบ้าง แต่ด้านในก็ยังอ่านได้อยู่ “หนังสือเก่าพวกนี้มีกี่เล่ม?”
ลุงหม่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบคำถาม “ประมาณสิบกว่าเล่มขอรับ”
“ลุงหม่าเก็บหนังสือเก่าพวกนี้ไว้ก่อน อีกไม่กี่วันข้าจะมาใหม่” กู้เจิงมีแผนการอยู่ในใจ
แม้หม่าตงจะไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่จะเอาหนังสือเก่าพวกนี้ไปทำอะไรแต่เมื่อเห็นความสามารถของกู้เจิงในการตรวจบัญชีก็ทำให้เขาไม่กล้าดูแคลนนางเขาทำเพียงยิ้มรับคำ “ข้าน้อยจะไปรวบรวมหนังสือเก่าทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้คุณหนูใหญ่จะกลับบ้านเลยไหมขอรับ?”
“ข้ากับชุนหงจะไปเดินเล่นกันก่อนแล้วค่อยกลับ” กู้เจิงเหลือบมองชุนหงที่สายตาดูสนุกซุกซนนางนึกรู้ว่าเด็กคนนี้คงคิดอยากจะออกมาเดินเล่นบ้าง
บนถนนสองข้างทางมีร้านค้าตั้งเรียงรายมากมายชื่อและการตกแต่งของแต่ละร้านล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็ร้านขายอาหารร้านขายเสื้อผ้า หรือโรงเตี๊ยม
“คุณหนู ท่านเก่งมากเลยเ้าค่ะ ในระยะเวลาสั้นๆก็สามารถตรวจบัญชีได้แล้ว” ชุนหงนั้นติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูมาตลอดนางเองก็พอจะอ่านหนังสือเข้าใจอยู่บ้าง แต่นางไม่ได้เก่งกาจเท่าคุณหนูของนางแน่ๆ
“ถ้าไม่เข้าใจก็แค่ถามและเรียนรู้” กู้เจิงเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าแผงลอยที่ขายแป้งชาดนางหยิบเลือกพลางเอ่ยว่า “นี่เป็แค่บัญชีของร้านหนังสือจึงได้เข้าใจง่าย แต่อะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น เกรงว่าก็คงจะทำไม่ได้ง่ายๆดังนั้นเราต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น”
ชุนหงเห็นด้วย สิ่งที่คุณหนูพูดนั้นมีเหตุผล
“ปิ่นเงินอันนั้นสวยจริงๆ” กู้เจิงวิ่งไปยังซุ้มขายของฝั่งตรงข้ามนางหยิบปิ่นเงินที่เห็นเพียงแวบแรกก็ถูกใจขึ้นมาดู “เ้าดูสิ สวยเรียบหรูและประณีต ชุนหงเ้าว่าถ้าท่านแม่ใส่แล้วจะดูดีไหม?”
“แน่นอนเ้าค่ะ บ่าวเห็นท่านป้าเสิ่นสวมปิ่นมุกแค่ตอนไปกินข้าวที่จวนกู้ปกติบนตัวก็ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียวเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวต่อ “เวลาท่านป้าผัดแป้งแต่งตัวจะต้องเป็โฉมงามผู้หนึ่งแน่เ้าค่ะ”
กู้เจิงเห็นด้วยกับชุนหง
ขณะที่สองนายบ่าวกำลังเลือกดูปิ่นปักผมอยู่นั้น จู่ๆไหล่ของกู้เจิงก็ถูกกระชากอย่างแรง
“เหนียนหงซาน เ้าทำอะไร?” ชุนหงรีบผลักเหนียนหงซานออกอย่างไม่พอใจก่อนจะก้าวขึ้นมาบังคุณหนูของนางไว้
กู้เจิงคลึงไหล่ที่เหนียนหงซานบีบกระชาก จู่ๆ ก็มาทำแบบนี้นางตั้งตัวไม่ทันจริงๆ
“กู้เจิง เ้ากล้าใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นขนาดนี้เลยหรือ?” ั์ตาเปี่ยมด้วยโทสะของเหนียนหงซานมีน้ำตาคลอสายตาที่นางมองกู้เจิงนั้นแทบอยากจะกินเืกินเนื้อ
ดูท่าเว่ยซื่อจะบอกเื่เหนียนหงซานแก่ท่านน้าเฝิงซื่อแล้วกู้เจิงมองสีหน้าเอาเื่ของเหนียนหงซานนางไม่อยากพูดอะไรมากบนถนนที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ จึงกล่าวเพียงว่า “ตราบใดที่เ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่ไปยุ่งเื่ของใครและอย่าคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด เท่านี้ข้าว่าก็คงจะไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นแล้วชุนหงเราไปกันเถอะ”
“เ้าค่ะ”
“หยุดนะ” เหนียนหงซานรีบมาขวางหน้ากู้เจิงไว้นางแสยะยิ้มพร้อมกล่าวว่า “กว่าข้าจะได้เจอเ้าก็ยากเย็นแสนเข็ญคิดจะไปง่ายๆ งั้นหรือ อย่าหวังเลย”
“เ้าคิดจะทำอะไร?” กู้เจิงขมวดคิ้ว
“เ้ารู้หรือไม่ว่า หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเ้าท่านแม่ก็จะไปคุยกับท่านป้าเื่การแต่งงานของข้ากับพี่เสิ่น”
กู้เจิงมองผู้คนรอบข้างที่ค่อยๆ หันมามองพวกนางนางไม่อยากเป็จุดสนใจ จึงลดเสียงลงแล้วถามเหนียนหงซานว่า “เ้าไม่คิดว่าการพูดเื่พวกนี้ที่นี่เป็เื่น่าอายหรือ?”
เหนียนหงซานชะงัก ก่อนที่นางจะกวาดตามองรอบด้านเมื่อเห็นสายตาของคนอื่นๆ ที่ลอบมองมาที่พวกนาง นางก็ทั้งอายและกรุ่นโกรธ “เ้า งั้นเราไปคุยกันในตรอกตรงนั้นเถอะ”
“ข้าไม่ไป เื่นี้ข้าไม่มีอะไรจะต้องพูดกับเ้าอีก” นางกับเสิ่นเยี่ยนแต่งงานกันมาได้พักหนึ่งแล้วเหนียนหงซานก็ยังคิดไม่ได้ จะไปคุยกันก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา?
“ถ้าเ้าไม่ตามข้าไป ข้าจะะโร้องโวยวายอยู่ตรงนี้แหละแล้วจะพูดเื่ไร้ยางอายของเ้าออกมาให้ทุกคนได้ยิน” เหนียนหงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“ถึงเ้าจะได้ทำลายชื่อเสียงของข้าแต่เ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเ้าก็จะทำลายชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกัน”
“เหลวไหล คนที่ทำเื่ไร้ยางอายคือเ้า เกี่ยวอะไรกับข้า?” เหนียนหงซานมองกู้เจิงอย่างเคียดแค้นหากนางเปิดโปงเื่ทั้งหมดออกมาแล้วอีกฝ่ายยังสามารถทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ก็แปลกแล้ว
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับเ้าเ้าโกรธแค้นข้าก็เพราะแอบมารักสามีของข้า แล้วเ้ายังจะกล้าพูดเื่พวกนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้งอีกหรือนี่เป็สิ่งที่ผู้หญิงดีๆ ควรกระทำหรอกหรือ?” กู้เจิงมองเค้าหน้าอ่อนเยาว์ตรงหน้าเหนียนหงซานอายุเพียงสิบห้าปี น้อยกว่านางหนึ่งปีเท่านั้น
เหนียนหงซานขบริมฝีปากแน่น นางมองกู้เจิงอย่างแค้นใจแต่นางก็รู้ว่าสิ่งที่กู้เจิงพูดนั้นถูกต้อง
“อีกอย่าง เ้าลืมเื่ที่สาวใช้ถูกโบยจนตายไปแล้วหรือ ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของเ้ากับนางไม่เลวเลยทีเดียวนี่” อันที่จริงแค่ประโยคนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะปิดปากเหนียนหงซานสำหรับเด็กสาวอ่อนหัดอย่างเหนียนหงซาน เื่แค่นี้ก็พอที่จะทำให้นางใกลัวได้แล้วเดิมทีกู้เจิงไม่ได้คิดอยากจะขู่นางด้วยเื่เช่นนี้แต่ที่กู้เจิงต้องพูดเพราะอยากให้นางคิดให้มากขึ้นหน่อยถึงอย่างไรพวกนางก็ถือเป็ญาติกัน
--------------------------------------
[1] กฎของผู้เป็ศิษย์ เป็หนังสือแบบเรียนที่เขียนขึ้นในสมันราชวงศ์ชิงซึ่งเป็คำกลอนใช้สอนเด็กเพื่อปลูกฝังหลักการใช้ชีวิตที่ควรปฏิบัติตามคำสอนของขงจื๊อ
[2] ภาษาปราชญ์ไร้ขอบเขต เป็หนังสือรวบรวมสุภาษิตหลักคำสอนความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยโบราณ