หลิวฉีซื่อเหลือบมองพวกนางอย่างขี้ขลาด กังวลว่าหลิวเต้าเซียงจะขุดคุ้ยเื่เก่าอีก จึงหันไปที่หลิวเหรินกุ้ยที่เอาแต่มองดูอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไร “เ้ารอง เ้าว่าอย่างไรบ้าง?”
หลิวเหรินกุ้ยอยากจะบอกว่า เขาไม่อยากออกแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหลิวฉีซื่อจึงเอ่ย “หรือไม่ ก็เหมือนครั้งที่แล้ว บ้านเ้าสามออกค่าอาหาร บ้านข้าออกค่าเหล้า”
เมื่อพูดถึงเื่นี้เขาจำได้ว่า ครอบครัวของจางกุ้ยฮัวนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ ผ้าไหมบนตัวสามแม่ลูก เขาไม่เคยเห็นในอำเภอด้วยซ้ำ เกรงว่าน้องชายจางกุ้ยฮัวคงส่งมาให้
หลิวเหรินกุ้ยซึ่งกังวลมาตลอดว่าอยากไปทำธุรกิจ ตอนนี้ก็รวบรวมเงินได้ไม่น้อยแล้ว
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดว่า “ท่านแม่ ครอบครัวเ้าสามไม่ได้เป็ดั่งแต่ก่อน งานครัวก็เชิญบรรดาแม่บ้านมาช่วย พอจบงานก็แบ่งอาหารให้พวกเขากลับไป คิดว่าคงพึงพอใจ”
ยุคสมัยนี้ การได้กินอาหารที่ฉ่ำด้วยน้ำมัน นับว่ายากเย็นมากสำหรับครอบครัวหนึ่ง
หลิวฉีซื่อมองเขาอย่างแปลกประหลาด เ้ารองนั้นไม่ถูกกับเ้าสามมาตลอดไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงช่วยเขาพูด?
นางทำหน้าบึ้งตึงแล้วหันกลับไปมองจางกุ้ยฮัว ปิ่นปักผมทองบริสุทธิ์ทำให้นางตาพร่า รู้สึกอัดอั้นราวกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่อกอย่างรุนแรง
“เอาล่ะ ในเมื่อเ้ารองพูดแบบนี้ก็ทำตามครั้งที่แล้ว เพราะว่าต้องเชิญคนทั้งหมู่บ้าน แล้วสหายของเ้าสี่ก็จะมา ดังนั้นเื่อาหารกับเหล้าต้องทำให้ดี”
เมื่อคิดว่าบุตรชายคนที่สี่ไม่ได้ตัดชุดใหม่มานาน แต่กำลังจะจัดงานเลี้ยงแขกเนื่องในโอกาสที่สอบผ่านซิ่วไฉ ถึงอย่างไรก็ควรตัดชุดใหม่ให้เขาสักสองชุด
“ครอบครัวสาม อีกเดี๋ยวเ้าไปหาผ้าไหมหูโจวมาหลายผืนหน่อย จะได้ทำชุดดูดีให้เขาหน่อย”
ตอนที่หลิวฉีซื่อพูดออกมา หาได้รู้สึกอายแม้แต่น้อย
หลิวเต้าเซียงอยากคัดค้าน แต่จางกุ้ยฮัวยื่นมือไปห้ามไว้แล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะมองไปยังหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ว่าอย่างไรก็ตามนั้น ในเมื่อคนมาเยอะ ข้าก็จะให้หมูหนึ่งตัว กับไข่หนึ่งตะกร้า ซี่โครงหมูจะได้ต้มซุปเผือก เนื้อหมูก็ทำหมูน้ำแดงและนำไปผัดได้ แล้วสามารถทำเกี๊ยวไข่ได้อีก”
เกี๊ยวไข่ที่นางบอกไม่ได้หมายถึงเกี๊ยว แต่เป็ไข่ยัดไส้เนื้อหมูด้านใน
“หนึ่งตัวจะไปพอที่ไหน?” หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็สบายใจขึ้น แต่พอคิดว่าคนคงมากันไม่น้อย จึงกลัวว่าอาหารจะน้อยไปและทำให้ขายหน้า
จางกุ้ยฮัวมองนางอย่างเบื่อหน่ายและตอบเพียงว่า “ท่านแม่ ข้าจะเลือกตัวที่อ้วนที่สุด น้ำหนักราวสามร้อยชั่ง”
หลิวฉีซื่อคำนวณดู รู้สึกว่าสามร้อยชั่งน่าจะพอแล้ว “นี่ค่อยยังชั่วหน่อย”
หมูหนึ่งตัวน้ำหนักสามร้อยชั่งเศษ รวมกับไข่หนึ่งตะกร้า การจัดงานเลี้ยงในหมู่บ้านนับว่าไม่เลวทีเดียว
“งานเลี้ยงจะไม่มีเนื้อไก่ได้อย่างไร!” หลิวฉีซื่อเกือบหลงกลจางกุ้ยฮัว
“ยี่สิบตัว มากกว่านี้ไม่ได้ หากท่านแม่รู้สึกว่าน้อยเกินไป ท่านก็เอาที่เลี้ยงไว้หลังบ้านออกมาย่อมได้” สำหรับความละโมบโลภมากของหลิวฉีซื่อ จางกุ้ยฮัวรังเกียจยิ่งนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวฉีซื่อคือมารดาของหลิวซานกุ้ย นางอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์นี้อย่างแท้จริง
หลิวฉีซื่อขัดสนมากในตอนนี้ แต่ก็ไม่อยากให้บุตรชายคนที่สี่เสียหน้า จึงเอ่ยอีก “งานเลี้ยงน่าจะยี่สิบโต๊ะ เอาแบบนี้ เ้าเลี้ยงเป็ดด้วยไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าทำไข่เค็มไว้ไม่น้อย เอาไข่เค็มออกมาด้วย”
หมูหนึ่งตัว ไข่หนึ่งตะกร้า แล้วก็ไข่เค็มอีกหนึ่งร้อยกว่าใบ บวกกับชุดผ้าไหมหูโจวของหลิววั่งกุ้ยไม่กี่ชุด สายตาของหลิวเต้าเซียงฉายประกายวาบ เหตุใดจึงรู้สึกว่าหลิวฉีซื่อไม่เหมือนมารดาแท้ๆ ของพ่อผู้เป็เด็กเรียน
“ท่านแม่ หากคำนวณเช่นนี้ ครอบครัวเราออกมากถึงยี่สิบถึงสามสิบตำลึงหรือ?” ใบหน้าสะสวยของหลิวเต้าเซียงเผยความไม่กระจ่าง
จางกุ้ยฮัวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ย “ท่านแม่ เช่นนี้คงยาก ลุงใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ลุงรองจึงเป็ผู้าุโกว่า ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็บอกแล้วว่าพวกเราคือพี่ๆ ของวั่งกุ้ย ต้องมีการเรียงลำดับก่อนหลัง เราออกต้นทุนยี่สิบถึงสามสิบตำลึงยังพอไหว แต่ครอบครัวลุงรองปีนี้…”
ก่อนหน้านี้นางบอกแล้วว่าจะเอาเท่าที่ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยสามารถนำออกมา หากเกินไปก็อย่าหวังจะได้แม้แต่แดงเดียว
หลิวเหรินกุ้ยแอบรำคาญมารดาตนเอง “ท่านแม่ วันรุ่งขึ้นก็เป็วันงานจริง ตอนนี้มาทำเสื้อผ้าชุดใหม่ของวั่งกุ้ยก็ไม่ทันแล้ว หรือไม่ก็จัดการเื่ตรงหน้าให้จบก่อน วันรุ่งขึ้นยังมีอาจารย์กับสหายของวั่งกุ้ยมาอีก ข้าเห็นว่าน้องสะใภ้สามก็ว่าง่าย นี่ปะไร พอท่านแม่บอกให้นางรับผิดชอบอาหาร นางก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรและรับปาก”
หลิวฉีซื่อคิดว่ามีเหตุผล จึงเห็นด้วยตามนี้
ระหว่างทางกลับบ้าน สามพี่น้องโมโหกับเื่ในวันนี้นัก “ท่านแม่ เหตุใดปีนี้ท่านย่าเอาไก่ของเราไปห้าสิบตัวแล้วยังไม่พอใจอีก?”
“ลูกรอง เื่นี้ห้ามพูดกับคนข้างนอกเชียว...” แต่นางก็กลัวว่าบุตรสาวคนรองจะไม่พอใจ จึงเอ่ยเสริม “ปีนี้พี่สาวเ้าอายุสิบสามแล้ว อีกสองปีก็ออกเรือนได้แล้ว แม่เองก็ทำใจไม่ได้ อยากจะให้นางอยู่ไปจนถึงอายุสิบหก แต่มากกว่านั้นคงไม่ได้ ย่าคือแม่แท้ๆ ของพ่อเ้า ถึงนางจะไร้เหตุผล แต่ก็ทำเพื่อลูก… ยิ่งไปกว่านั้น พ่อเ้าก็รู้มาว่าฮ่องเต้ราชวงศ์โจวถือเื่ความกตัญญู…”
หลิวเต้าเซียงเข้าใจทันที แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่น “ท่านแม่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านย่าเหมือนแม่เลี้ยง? ท่านดูสิ ทั้งที่นางคลอดทุกคน แต่กลับทำกับท่านพ่อเราต่างออกไป”
จางกุ้ยฮัวตกตะลึง หากบุตรสาวคนรองไม่เอ่ยเื่นี้ นางยังไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น แต่ก่อนคิดเพียงว่าหลิวซานกุ้ยเติบโตมากับท่านปู่ท่านย่า หลิวฉีซื่อจึงไม่สนิทกับเขามาก แต่พอบุตรสาวคนรองพูดขึ้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
หลิวเต้าเซียงเห็นว่ามารดาเริ่มหวั่นไหว จึงเติมฟืนอีก “ท่านแม่ ท่านพ่อหน้าตาคมเข้มตาโต ไม่เหมือนกับท่านย่าและท่านปู่แม้แต่น้อย หรือแม้กระทั่งท่านลุงกับท่านอา”
หลิวฉีซื่อนั้นมีตาชั้นเดียว ส่วนหลิวต้าฟู่ตาสองชั้น แต่กรอบตานั้นไม่เหมือนกับหลิวซานกุ้ยที่มีคิ้วคมเข้ม ส่วนคนอื่นในตระกูลนั้นมีรูปคิ้วต่างจากเขา กระทั่งกรอบหน้าก็ต่างกัน
จางกุ้ยฮัวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เคยได้ยินพ่อเ้าบอกว่า เขาเหมือนกับปู่ทวดย่าทวดพวกเ้ามากกว่า...”
หลิวเต้าเซียงเบ้ปาก “ท่านปู่ก็เกิดจากท่านปู่ทวดย่าทวดนี่นา!”
จางกุ้ยฮัวพูดไม่ออกอีกครั้ง เหตุใดบุตรสาวจึงฉลาดเช่นนี้?
“หรือไม่ ก็รอพ่อเ้ากลับมาค่อยถาม”
จางกุ้ยฮัวจดจำเื่นี้ไว้แล้วจริงๆ
เมื่อผ่านพ้นเื่ของหลิววั่งกุ้ย อีกไม่กี่วันต่อมาบิดาของหลิวเต้าเซียงก็กลับมาพร้อมกับซื้อเครื่องประดับมาให้นางด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีตำราสนุกสนานอีกไม่กี่เล่ม ทำเอาหลิวเต้าเซียงดีใจจนรีบหยิบขึ้นมาพลิกดู
หลิวซานกุ้ยกลับมาพักหายใจได้สองวัน มีคืนหนึ่งที่จางกุ้ยฮัวสนทนาทั่วไปกับเขาบนเตียง
ระหว่างที่ไม่รู้ตัว หัวข้อก็โยกไปถึงเื่การจัดงานเลี้ยงเมื่อหลายวันก่อนของหลิววั่งกุ้ย นางเอ่ยว่า “ตอนนั้นเ้าไม่อยู่จึงไม่เห็นท่าทางของท่านแม่ที่บีบบังคับข้าอย่างเดียว ให้ข้าออกค่าอาหารไม่พอ จะให้เราเอาเงินไปตัดชุดผ้าไหมหูโจวให้น้องสี่เ้าหลายชุดให้ได้”
หลิวซานกุ้ยไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็นึกถึงหลายวันนี้ที่กัวซิวฝานพาเขาไปสานสัมพันธ์กับสหายในอำเภอ จึงเอ่ย “คนข้างนอกมักดูเปลือกนอกก่อนดูคน ว่ากันว่าพระพุทธรูปต้องชุบทอง มนุษย์ต้องห่มผ้า แม่ข้าออกมาจากจวนตระกูลใหญ่ เื่นี้นางน่าจะเข้าใจ”
“เชอะ ข้าไม่สบายใจ เ้าอย่าเพิ่งรีบช่วยท่านแม่พูด เ้าฟังข้าให้จบก่อน ตอนนั้นเื่ที่เ้าสอบได้อันดับปิ่งเซิง ทั่วทั้งหมู่บ้านต่างก็รับรู้ แต่ท่านแม่กลับไม่เคยเอ่ยถึงเื่นี้ ถึงเรียกพวกข้าแม่ลูกไปก็พูดแค่เื่งานเลี้ยงของน้องสี่ จ่ายเงินออกไปข้ายังไม่เจ็บใจ ถึงอย่างไรก็หาใหม่ได้ แต่ที่ข้าโกรธคือ ทั้งที่เ้าสอบผ่าน แต่ทางนั้นกลับไม่มีใครถามไถ่ อ้อ มีลุงรองมาแล้วหนึ่งครั้ง บอกว่ารอเ้ากลับมาจะมาดื่มเหล้ากับเ้า ข้าแค่โกรธที่พวกเขาไม่เคยเห็นเ้าอยู่ในสายตา”
จางกุ้ยฮัวนึกถึงคำพูดของหลิวเต้าเซียงอยู่ทุกวัน และพินิจอยู่ซ้ำๆ ยิ่งคิดความสงสัยก็ยิ่งมาก
หลิวซานกุ้ยรู้สึกผิดหวังต่อบิดามารดามาก อีกฟากหนึ่งก็สงสารภรรยา “เอาเถิด อย่าโกรธไปเลย อย่างน้อยเราก็แยกออกมาอยู่แล้ว เงินก็อยู่ในมือเ้าไม่ใช่หรือ เ้าไม่ให้เสียอย่าง ใครจะแย่งไปได้หรือ?”
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือไปตีมือหนึ่งที่อยู่ไม่นิ่ง แล้วจึงเอ่ย “ลูกยังเล็กอยู่”
“ลูกยังเล็กแล้วสามีก็ห้ามแตะต้องเลยหรือ? กุ้ยฮัว…” หลิวซานกุ้ยไม่ได้รู้สึกเจ็บจากการถูกตี เขาคิดแต่เื่ที่ว่าไม่ได้ลิ้มชิมเนื้ออันโอชะมานานแล้ว
“นี่ ข้ากำลังพูดเื่สำคัญกับเ้า เ้าฟังข้าพูดก่อน!” จางกุ้ยฮัวยื่นขาออกไปถีบเขา ใครจะรู้ว่าหลิวซานกุ้ยกลับใช้ขากดนางไว้อย่างขี้โกง
“กุ้ยฮัว เ้าพูดเถิด ข้าหิวโหยมาหลายวันแล้ว รีบพูดให้จบเราจะได้ทำเื่สำคัญกันต่อ”
จางกุ้ยฮัวพูดไม่ออกไปชั่วครู่ สุดท้ายก็บอกเล่าเื่ที่หลิวเต้าเซียงบอกนาง
หลิวซานกุ้ยหมดอารมณ์ทันใด จึงเอ่ยถามนางด้วยสีหน้าขึงขัง “ลูกรองคิดแบบนี้จริงหรือ?”
“เ้าจะโทษนางไม่ได้หรอกที่คิดอย่างนั้น ตอนนั้นแม่เ้าออกมาจากจวนตระกูลหวง ย่อมมีสินเ้าสาวไม่น้อย แต่ก่อนข้าเองก็โง่เขลา มักจะคิดว่าเพราะตัวเองไม่มีสินเ้าสาว ท่านแม่จึงเกลียดชังข้า แต่ตอนนี้มาคิดดูก็ไม่ได้เป็เช่นนั้นเสียทีเดียว แม้ข้าไม่มีสินเ้าสาว แต่เ้าก็เป็ลูกชายแท้ๆ ของนาง แต่ก่อนมักจะได้ยินเ้าพูด นางบอกว่าเ้าเรียนไม่ดี หากชาตินี้ไม่เคยเรียนก็ว่าไปอย่าง แต่เ้าดูสิ ข้าได้ยินว่าน้องสี่เ้าได้อันดับสุดท้ายห้อยอยู่หางแถว เทียบกับหลานชายจื้อไฉไม่ได้ด้วยซ้ำ กับเ้าที่เล่าเรียนไม่ถึงสองปียิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง…”
คําพูดของจางกุ้ยฮัวเป็เหมือนปลายเข็มเล็กๆ ที่เจาะฟองสบู่อย่างแรง และแหวกหัวใจของหลิวซานกุ้ยออกเป็รอย รอยฉีกขาดนี้ค่อยๆ ขยายออกกว้างตามความคิดของเขา…
เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไป นางจึงเอ่ยอีก “เ้าคิดดูว่าหลายปีมานี้ ครอบครัวเราใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไร หากไม่ใช่เพราะความคิดของลูกรอง ครอบครัวเราเกรงว่าตอนนี้ก็ยังใช้ชีวิตทนทุกข์อยู่ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดไม่ตก ครอบครัวรองเอ่ยเื่แยกครอบครัว ท่านแม่ยังยืนกรานเด็ดขาดเพียงนั้น แต่เหตุใดจู่ๆ ก็แยก ฮึ ที่แท้นางก็คำนวณไว้ว่าวั่งกุ้ยจะได้ซิ่วไฉ ดังนั้นจึงอยากเตะพวกเราออกจากบ้านให้เร็ว”
ท่ามกลางความมืด หลิวซานกุ้ยจ้องมอง้าสุดของมุ้งอย่างเหม่อลอย ก่อนจะอายุสิบขวบ เขาอยู่กับปู่ย่ามาตลอด ในความทรงจำนั้นหลิวฉีซื่อไม่เคยมาหาเขาเอง มีเพียงท่านพ่อที่แอบท่านแม่มาเยี่ยมเขา แล้วยังเอาของกินและของเล่นมา หรือไม่บางทีก็ซื้อผ้ามาให้ท่านย่าของเขาเย็บชุดดีๆ ให้
-----