เหยาเชียนเชียนสะดุ้งกับคำพูดที่เหมือนจะรำคาญนี้ของเขาจนขนลุกไปทั้งตัว นางลูบแขนเบาๆ และขยับเข้าไปใกล้เป่ยเหลียนโม่อย่างประจบประแจง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งของเหล่านี้มาจากที่ใด ดูซองจดหมายเหล่านี้สิเพคะ มันเก่าไปหมดแล้ว และแม้ว่าจะเป็ของหม่อมฉันก็เป็ของเมื่อหลายปีมาแล้ว พระองค์จะรื้อออกมาทำไมเล่าเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่อยากเอื้อมมือไปหยิกใบหน้าของนาง นี่เขารื้อมันออกมาหรือ ในเมื่อลืมเลือนความรักครั้งเก่าไปแล้ว เหตุใดถึงยังเก็บรักษาของเช่นนี้ไว้อย่างดี หากเป็ตัวเขาก่อนหน้านี้มาพบเข้าก็คงรื้อห้องนี้ไปนานแล้ว จะปล่อยให้นางได้เอ่ยคำพูดหวานหูอยู่ได้อย่างไร
“คนทั้งนครหลวงต่างรู้ดีว่าหลายปีก่อนหวังเฟยและพี่สามรักกัน และเปิ่นหวังเป็คนพรากคนรักออกจากกัน หวังเฟยจะไม่พอใจนั่นก็สมเหตุสมผลแล้ว เปิ่นหวังควรจะเข้าใจ"
เหยาเชียนเชียนยกชามาจอกหนึ่งราวกับไม่ได้ฟังคํากล่าวอันขมขื่นของชิงผิงอ๋องเลยั้แ่แรก ทว่าในความเป็จริงนั้นในใจของนางใแทบตาย อย่าได้เอานางไปเกี่ยวพันกับองค์ชายสามอีกเลย ดูจากสองสามครั้งที่ผ่านมาแล้วมันก็ไม่ใช่เื่ดีเลย
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นผู้คนทั้งนครหลวงต่างก็รู้เช่นกันว่าหม่อมฉันได้กล่าวต่อองค์ชายสามไปอย่างชัดเจนแล้วที่เขตล่าสัตว์ และได้กล่าวต่อพระพักตร์ของเสด็จพ่อ หม่อมฉันยังกล่าวไม่กระจ่างพอหรือ ต่อให้เป็คนเขลาก็ยังเข้าใจได้ ดังนั้นท่านอ๋องก็ต้องเข้าใจอย่างแน่นอน”
“เ้า!” เป่ยเหลียนโม่หันไปมองนาง
“ท่านอ๋อง ทุกคนล้วนมี่เวลาที่มีเื่ราวในวัยเยาว์และยังมองคนไม่ออกนะเพคะ” เหยาเชียนเชียนกุมมือเขาไว้อย่างแ่เบา “ท่านอ๋องรู้เพียงว่าหม่อมฉันเคยรักองค์ชายสาม แต่กลับไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นคนที่หม่อมฉันเลื่อมใสมากที่สุดก็คือท่านอ๋อง”
หืม?
ชิงผิงอ๋องเหยียดหลังตรงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไล้ขอบจอกชาแ่เบา และกล่าวอย่างสบายๆ ด้วยสีหน้าคล้ายกับไม่ได้ใส่ใจว่า “เช่นนั้นหรือ เื่นั้นเปิ่นหวังไม่รู้จริงๆ”
ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้ว่าเ้าของร่างเดิมคิดเช่นไร และยามนี้เหยาเชียนเชียนก็เป็คนแต่งเื่เองทั้งหมด
นางพยักหน้าอย่างจริงจัง และกล่าวคำสาบานต่อเบื้องบนว่านางมีใจเลื่อมใสชิงผิงอ๋องั้แ่ยังเยาว์วัย เมื่อโตขึ้นก็ได้ยินว่าชิงผิงอ๋องออกรบั้แ่เหนือจรดใต้ เป็เทพผู้พิทักษ์ของทั่วทั้งแผ่นดินเป่ยจิ้ง น่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง
“เพียงแต่ในยามนั้นหม่อมฉันไม่ได้พบท่านอ๋องบ่อยนัก ดังนั้นจึงเป็การฟังจากที่ผู้คนบอกเล่ามาทั้งหมด จากนั้นก็ได้รู้จักกับองค์ชายสาม องค์ชายสามมีเวลาว่างกว่าท่านอ๋องไม่น้อย เวลาผ่านมานานแล้ว ความรักอันคลุมเครือในวัยเยาว์นั้นก็ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจแล้วเพคะ”
ริ้วแดงน่าสงสัยสายหนึ่งแล่นขึ้นไปยังใบหูของชิงผิงอ๋อง ไม่มีเื่ใดที่ทำให้คนรู้สึกลิงโลดและมีความสุขไปได้มากกว่าการที่มีคนแอบรักตัวเองอีกแล้ว
“อะแฮ่ม คำกล่าวเช่นนี้ต่อไปอย่าได้กล่าวส่งเดชอีก อย่าได้เสียกิริยาในฐานะหวังเฟย” ชิงผิงอ๋องจิบชาอย่างเนิบช้าเพื่อซ่อนรอยยิ้มบางเบาตรงมุมปาก
“เพคะ บทสนทนาส่วนตัวเช่นนี้ย่อมกล่าวให้ท่านอ๋องได้ฟังเพียงผู้เดียวอยู่แล้วเพคะ” เหยาเชียนเชียนถอนใจอย่างเสียดาย “เพราะไม่อาจกล่าวได้ตามใจชอบ ดังนั้นจึงทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่หม่อมฉันและท่านอ๋องไม่ควรหมางใจกันเลยแท้ๆ”
เป็ดังที่เ้าว่า เปิ่นหวังทั้งปรีชาและองอาจเช่นนี้ ในยามนั้นจะทำให้หวังเฟยหลงรักก็สมเหตุสมผลแล้ว
แววยินดีปรากฏขึ้นในแววตาของชิงผิงอ๋อง ในขณะที่กำลังจะถามเื่ราวในอดีตอย่างละเอียด สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างเล็กร่างหนึ่งที่หน้าประตู ความยินดีที่ล้นอยู่ในใจพลันถูกกดกลับลงไป จอกน้ำชากระแทกลงบนโต๊ะราวกับผู้เป็นายยังคงโกรธเคืองอยู่
“ต่อไปไม่ต้องกล่าวถึงเื่ราวในอดีตอีก ยามนี้ต้องพูดถึงเื่จดหมายเหล่านี้ หวังเฟยเก็บมันไว้ในห้องอย่างดี ในใจคิดสิ่งใดอยู่ผู้ใดจะรู้ได้ เพียงเห็นจดหมายเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีก็รู้ได้แล้วว่าผู้เก็บรักษาต้องให้ความสำคัญเป็อย่างยิ่งแน่นอน”
เป่ยเหลียนโม่ชี้ลงบนตำแหน่งลงนามของจดหมายฉบับหนึ่ง วันที่เขียนนั้นล้วนระบุไว้เป็่หลายปีก่อน ทว่ากระดาษไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนที่เก็บรักษานั้นใส่ใจมากเพียงใด
“นี่มัน” เหยาเชียนเชียนเม้มปาก “ท่านอ๋อง พระองค์ดูกล่องผุๆ ใบนี้สิเพคะ ฝุ่นเกาะไปหมดแล้ว มันคงถูกลืมไว้ที่ใดสักแห่งเพราะฉะนั้นถึงได้เก็บไว้ได้นานเพียงนี้ เมื่อไม่มีผู้ใดแตะต้องก็แน่นอนว่ามีการจัดวางไว้อย่างดี ไม่เกี่ยวกับว่าใส่ใจหรือไม่ใส่ใจเลยเพคะ”
เหยาเชียนเชียนหันไปมองอวี่เหลียนเอ๋อร์ “เหลียนเอ๋อร์ เ้าเข้ามาช่วยข้าทำความสะอาดห้องใช่หรือไม่?”
อวี่เหลียนเอ๋อร์คำนับและตอบรับ ฟังเหยาเชียนเชียนกล่าวต่อว่า “ท่านอ๋อง หากใส่ใจจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องเก็บรักษาไว้อย่างรอบคอบ ไหนเลยจะวางอยู่บนโต๊ะเช่นนี้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นหนารอให้คนไปเช็ดทำความสะอาด หม่อมฉันควรจะเช็ดมันจนสะอาดหมดจดด้วยตัวเองสิเพคะ”
นางวิ่งโร่ไปที่วางสมบัติตรงมุมห้อง พลางแตะสมบัติเ่าั้อย่างทะนุถนอมเป็อย่างยิ่ง สมบัติเหล่านี้ล้วนเป็ของชิ้นใหญ่ที่เป่ยเหลียนโม่มอบให้นางเป็การชดเชยทดแทนที่เอาคลังสมบัติน้อยของนางไป
“ท่านอ๋องดูสิเพคะ ของเหล่านี้เป็สิ่งของที่พระองค์พระราชทานให้ หม่อมฉันเช็ดถูวันละสามเวลาด้วยกลัวว่ามันจะเปรอะเปื้อน ดังนั้นพระองค์สามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกเมื่อ พวกมันเปล่งแสงแพรวพราวยิ่งนัก เช่นนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าใส่ใจและให้ความสำคัญ กระดาษเก่าๆ กองนั้นจะไปมีค่าอันใด”
ชิงผิงอ๋องเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในใจรู้สึกซาบซึ้งเสียจนไม่อาจโกรธเคืองได้ลง เขาจะทำอย่างไรกับเื่นี้ดี
“วอนท่านอ๋องอย่าทรงทำให้หวังเฟยลำบากใจเลยเพคะ” อวี่เหลียนเอ๋อร์คลานเข่าไปที่ข้างประตูและโขกศีรษะ
“เื่นี้เป็ความผิดของเหลียนเอ๋อร์ทั้งสิ้น หวังเฟยไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านอ๋องกริ้วเลย กล่องไม้ใบนั้นก็ไม่ได้วางอยู่บนโต๊ะอย่างเด่นชัด เป็เหลียนเอ๋อร์ที่อยากช่วยหวังเฟยปัดกวาดจึงบังเอิญไปเห็นเข้า แล้วก็เป็เหลียนเอ๋อร์ที่ไม่รู้ความจึงนำมันออกมา หากมันถูกวางอยู่ตรงนั้นอย่างดีก็คงไม่ทำให้ท่านอ๋องเห็นเข้าและกริ้วได้ ทั้งหมดล้วนเป็ความผิดของเหลียนเอ๋อร์เองเพคะ ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษเหลียนเอ๋อร์เถิดเพคะ!”
เหยาเชียนเชียนสูดลมหายใจลึกก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เหลียนเอ๋อร์ เ้าออกไปก่อนเถิด”
หากยังพูดต่อไปอีก ความรู้สึกที่แท้จริงที่นางกล่าวไปเมื่อครู่ก็คงเสียเปล่าแล้ว
อวี่เหลียนเอ๋อร์เงยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นมาและคำนับต่อเหยาเชียนเชียนอย่างต่อเนื่อง
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง เหลียนเอ๋อร์โชคดีที่พระองค์ทรงเมตตาถึงสามารถอาศัยอยู่ในจวนอ๋องได้ เช่นนั้นจะให้พระองค์ถูกท่านอ๋องลงโทษเพราะความไม่ระวังของเหลียนเอ๋อร์ได้อย่างไร พระองค์เพียงแค่เก็บจดหมายไม่กี่ฉบับไว้เท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะยังไปมาหาสู่กับองค์ชายสามนะเพคะ”
ลมหายใจของเหยาเชียนเชียนอุดตันอยู่ในลำคอ นางโบกมือและกล่าวเสียงแข็งว่า “ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว เ้าออกไปก่อนเถิด เื่นี้ข้าจะอธิบายกับท่านอ๋องให้ชัดเจนเอง”
“หวังเฟยยังมีสิ่งใดที่ต้องอธิบายต่อเปิ่นหวังอีกหรือ” เป่ยเหลียนโม่เหยียดยิ้มเย็น “ที่นางกล่าวไม่ถูกต้องหรือ ใช่สิ เพียงแค่เก็บจดหมายแลกเปลี่ยนความในใจต่อกันไว้เท่านั้น ระยะนี้หวังเฟยได้พบกับพี่สามหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้”
“ท่านอ๋อง สองสามวันมานี้หม่อมฉันอยู่ในจวนตลอดนะเพคะ” เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว “พระองค์ลองสุ่มถามผู้ใดดูได้เลยเพคะ หรือจะถามอาเหยียนก็ได้ พวกเขาเห็นหม่อมฉันอยู่ตลอดเวลา”
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นยืนและเดินไปหยุดตรงหน้าเหยาเชียนเชียน เค้าหน้างดงามไร้ซึ่งรอยยิ้ม เขากล่าวประโยคที่ทำให้คนฟังไม่สามารถจับอารมณ์ได้
“ผู้ใดจะคอยจับตามองหวังเฟยได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนเล่า ในสถานที่ที่ไม่มีคนเห็น ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถให้คนเห็นได้หรือไม่ ดังเช่นที่นางกล่าว หากไม่ใช่เพราะมีคนบังเอิญไปรื้อออกมา เปิ่นหวังไม่ต้องงมโข่งต่อไปหรอกหรือ”
เหยาเชียนเชียนอ้าปากค้าง นางถูกอวี่เหลียนเอ๋อร์ขัดจังหวะเสียจนลืมสิ่งที่จะพูดในคราแรกไปเสียหมด เป่ยเหลียนโม่มองนางอย่างเ็าเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความน้อยใจขึ้นมาหลายส่วนเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านางถูกใส่ความ นางไม่รู้อะไรทั้งนั้น!
“หากหวังเฟยคิดไม่ออกก็ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว เปิ่นหวังก็คร้านจะฟังหวังเฟยแต่งเื่แล้วเช่นกัน” เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่งว่าสองสามวันนี้ให้นางทบทวนความผิดอยู่ในห้อง และจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“ทบทวนความผิดอันใดเล่า ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย” เหยาเชียนเชียนนั่งลงข้างโต๊ะอย่างคับแค้นใจ “เมื่อครู่เกือบจะง้อสำเร็จอยู่แล้วแท้ๆ”
อวี่เหลียนเอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างแล้วเดินเข้ามาคุกเข่าแทบเท้าเหยาเชียนเชียนโดยไม่พูดอะไร น้ำตาไหลลงมาอย่างเงียบๆ ไหล่ของนางสั่นจากการร้องไห้ และจับชายอาภรณ์ของเหยาเชียนเชียนไว้ด้วยสองมืออย่างไม่สบายใจ
“หวังเฟย เหลียนเอ๋อร์สร้างปัญหาใช่หรือไม่ เป็เพราะเหลียนเอ๋อร์ไม่ระวังเองเพคะ ถึงทำให้ท่านอ๋องลงโทษหวังเฟย”
เหยาเชียนเชียนถอนหายใจ แม้จะจนใจกับคำที่อวี่เหลียนเอ๋อร์กล่าวเมื่อครู่ แต่เห็นว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็เป็เพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก
“เื่ของผู้ใหญ่แต่เดิมก็ซับซ้อนอยู่แล้ว เ้าไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าเหลียนเอ๋อร์ ต่อไปหากได้พบกับท่านอ๋องอีก เ้าจงหนีให้ห่างจากเขาเสีย พยายามอย่าเข้าใกล้เขามากเกินไป”
เด็กคนนี้คงไม่มีเจตนาร้ายใดๆ นางเพียงแค่พูดโดยไม่ผ่านการคิดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ประเภทนี้ขึ้นอีกในอนาคต ก็ควรจะบอกนางให้อย่าพูดมากความจะดีที่สุด
“เพคะ เหลียนเอ๋อร์ทราบแล้ว” นางปาดน้ำตาและกล่าวอย่างคับข้องใจว่า “ทว่าท่านอ๋องขังพระองค์จริงๆ ได้อย่างไร พระองค์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ข่าวลือที่เล่าลือกันภายนอกว่ารักใคร่กันเป็เื่เท็จหรือ ในพระทัยของท่านอ๋องไม่มีไมตรีต่อพระองค์สักเล็กน้อยเลยหรือเพคะ?”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ประคองมือของเหยาเชียนเชียนขึ้นมาอย่างเ็ป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อการลงโทษของเป่ยเหลียนโม่
“ชิงผิงอ๋องทรงลงโทษพระองค์ด้วยเหตุเล็กน้อยเพียงนี้ หากกล่าวด้วยถ้อยคำแสลงหูหน่อยก็คือท่านอ๋องปฏิบัติต่อท่านเยี่ยงคนต่ำ ความไว้วางใจและความเข้าอกเข้าใจที่สามีภรรยาควรมีอยู่ที่ใดกัน?”
เหยาเชียนเชียนชักมือออกและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “กล่าวเช่นนั้นหนักไปแล้ว ที่จริงแล้วโดยปกติท่านอ๋องดีกับข้ามาก เพียงแต่เื่เช่นนี้ หากเป็บุรุษอื่นก็คงจะโกรธเช่นกันกระมัง"
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ที่จริงนางก็ไม่มีเื่ใดให้คับข้องใจ หากนางเห็นสามีคอยเฝ้าดูแลสิ่งของของอดีตคนรักก็คงจะโกรธยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ชิงผิงอ๋องผู้นั้นท่วงท่ากิริยาสง่างามเหลือเกิน เขาไม่ดุด่าและไม่กล่าววาจาระคายหูเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สั่งให้คิดทบทวนตนเองสองสามวันด้วยความโกรธเคืองเท่านั้น
“ที่จริงแล้วท่านอ๋องก็ควรกริ้ว ถึงอย่างไรเื่นี้ก็เป็ความผิดของข้า สิ่งของเช่นนั้นจะเก็บไว้ได้อย่างไร ควรจะทิ้งไปเสียตั้งนานแล้ว”
ไหล่ของอวี่เหลียนเอ๋อร์ที่สั่นจากการสะอื้นหยุดชะงัก จากนั้นจึงคว้ามือของเหยาเชียนเชียนไว้พลางส่ายหน้า
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยงจะมีความผิดได้อย่างไรกันเพคะ ท่านอ๋องเป็ผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่ากระทั่งเื่เล็กน้อยเช่นนี้ก็ยังยอมรับในตัวพระองค์ไม่ได้ เื่นี้แม้แต่เด็กอย่างเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่เห็นด้วย หวังเฟยอย่าทรงฝืนตัวเองอีกต่อไปเลยเพคะ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถิด หรือหากจะด่าเบาๆ สักเล็กน้อยก็ไม่มีผู้ใดรู้หรอกเพคะ”
เหยาเชียนเชียนหัวเราะเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ หรอก ที่จริงแล้วนางไม่ได้โกรธมากนัก แม้ว่านางและชิงผิงอ๋องจะเป็สามีภรรยากันจริง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน
ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ยังถือครองตำแหน่งหวังเฟยอยู่ ในเมื่อเป็ภรรยาของเขา การเก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ล้วนไม่เหมาะสม จะทำให้เขาขุ่นเคืองก็เป็เื่ที่สมควรแล้ว
“ช่างเถิด ข้าไม่เป็อะไร เ้าไปทำงานของเ้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไปที่ใดใน่สองสามวันนี้พอดี ข้าจะอยู่แต่ในจวนเฉยๆ”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ถูกพาไปส่งที่หน้าประตู นางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดแววเ็าในดวงตา ทันทีที่ออกมาจากเรือนแล้วก็ได้พบกับพ่อบ้านที่กำลังชะเง้อมองเข้ามาข้างในพอดี
“นี่ มานี่ๆ” พ่อบ้านร้องเรียกนาง “ข้าเห็นท่านอ๋องสีหน้าไม่ดีนัก ทรงทะเลาะกับหวังเฟยหรือ?”
อวี่เหลียนเอ๋อร์เม้มปากแน่นราวกับได้รับความคับข้องใจอย่างใหญ่หลวง นางกล่าวด้วยเสียงอันแ่เบาว่า “ข้าก็ไม่ชัดแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่เขาจากไปทั้งที่หวังเฟยกำลังร้องไห้อยู่ข้างใน ข้าปลอบโยนแล้วก็ไม่เห็นวี่แววจะดีขึ้น พอร้องไห้จนเหนื่อยถึงได้เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ ท่านอ๋องของพวกเราช่างใจร้ายยิ่งนัก”
