หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ถูกย้ายมายังห้องพักฟื้น ทว่ายังไม่สามารถขยับกายได้ถนัดเหมือนก่อน ที่สำคัญ ผมยังออกเสียงไม่ชัด แทบจะกลายเป็เด็กอีกครั้งเลย เื่อาหารการกินก็กินได้เพียงแค่ของเหลว ๆ ของที่อยากกินมีมากมาย แต่ยังกินไม่ได้ ต้องรอให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อน ระหว่างนั้นคุณพยาบาลคนสวยก็เดินเข้าออกดูแลผมอย่างดีในทุกวัน จนกระทั่งความสงบสุขเริ่มหายไป เมื่อได้ยินเสียงจอแจดังขึ้นหน้าห้อง
“เดี๋ยวกูถือของเยี่ยมเอง”
“โห..มึงมันขี้เอาหน้านะ กูถือมาั้แ่ลานจอดรถ พอถึงหน้าห้อง มึงมาแย่งกู”
“แต่กูเป็คนเลือกของไง!”
“มึงเลือกของ แต่เงินกูซื้อครับ” ยังไม่ทันเห็นหน้า แต่ผมก็จำเสียงพวกมันสองตัวได้ดี ก่อนประตูห้องถูกเปิดเข้ามา พร้อมเพื่อนสนิทของผมที่อยู่ในชุดมหาวิทยาลัย ปรี่เข้ามาล้อมที่เตียง
“นี่ของฝากนะ กูเป็คนเลือกให้เองกับมือ” เตียงของผม ที่ถูกพยาบาลปรับให้กึ่งนั่งกึ่งนอน ทำให้ผมนั่งมองพวกมันทะเลาะกันอย่างสบาย แต่ตอนนี้คงพูดไม่ทันพวกมัน เพราะการเคลื่อนไหวทุกอย่างยังช้าอยู่ ต้องเริ่มต้นปรับตัวใหม่ทั้งหมด
“มึงเจ็บมากไหมวะ กูผิดเองแหละที่ให้มึงไปจอดรถฝั่งนั้น” ไอ้เจย์ ตัวป่วนของกลุ่ม รูปร่างสูงโปร่งผิวขาว หน้าตาดี แต่เ้าชู้ระดับเทพ สาว ๆ ในคลังของมันมีไม่ต่ำกว่าห้าคน ก่อนธันน์ที่เดินตามเข้ามาทีหลัง มองผมั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเอ่ยขึ้น
“กูคิดว่ามึงจะไม่รอดละ”
“ธันน์! พูดอะไรน่ะ คีย์เพิ่งจะได้พักฟื้น พูดอะไรไม่เข้าท่า” ไอริสคือเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ที่มีสติมากสุดเอ่ยปราม ทำให้สองคนนั้นมองหน้ากันแล้วหุบปาก พลันย่อตัวลงนั่ง
“คีย์...หายเร็ว ๆ นะ พวกเราคิดถึงจะแย่แล้ว ไม่มีนายสักคน กลุ่มก็เหงา ๆ ไปเลย” เธอเอื้อมมาจับแขนผมพร้อมสีหน้าเศร้า หึ! โคตรอยากปลอบเลย อยากบอกพวกมันมาก ว่าผมไม่เป็ไร ไม่ต้องทำหน้าเศร้าเหมือนผมใกล้ตายขนาดนั้น แต่ติดที่ว่าการเคลื่อนไหวของผมช้าเกินไป ทำให้พูดไม่ถนัด
“เอ่อ...ลืมไปเลย มึงรู้ปะ ว่าไอ้คนขับรถที่ชนมึงอะ มันหนีด้วยนะ” พูดถึงตรงนี้ ผมอยากรู้เลยว่าไอ้คนขับรถหรูคันนั้นเป็ใคร ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ขนาดเดินข้ามทางม้าลาย คิดว่าดูทางแล้วไม่มีรถแน่ ๆ แต่มันก็ขับเร็วจนผมมองไม่ทัน
“แม่งบ้านรวยฉิบ! เป็ลูก สส. อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ แต่พ่อกับแม่มึงโคตรเก่งเลย ตามสืบจนรู้ตัวคนก่อเหตุ ตอนนี้เป็คดีความอยู่ กูว่าแม่งไม่รอดหรอก” ไอ้เจย์พูดด้วยน้ำเสียงแค้นใจ
“แต่ถ้ามันรอด กูจะพามึงไปออกโหนกระแส!” น้ำเสียงกวน ๆ ของมันทำให้ผมหลุดยิ้ม ไอริสที่หน้านิ่วอยู่ ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ก่อนเธอจะเอื้อมมาจับผ้าที่พันศีรษะผมเบา ๆ
“เจ็บแย่เลยสิ” เสียงอ่อนหวานขนาดนี้ ถ้าผมพูดได้ก็จะอ้อนให้เธอกอดซะหน่อย แต่ผมยังไม่ทันได้เคลิ้ม ไอ้ธันน์ก็พูดขึ้น
“แม่มึงทำเื่ขอพักการเรียนมึงก่อนแล้วนะ ยังไงมึงก็ต้องพักฟื้นหลายเดือนแน่ ๆ แต่มึงไม่ต้องห่วง ถ้ามึงกลับมาเรียนได้ พวกกูจะช่วยตามงานมึงเอง” ผมพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันมายังไอริส เอาจริง ๆ ผมก็แอบชอบเธออยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บไว้ในใจ ไม่นานนักเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น
ทุกคนในที่นั้น รีบลุกขึ้นอย่างเป็ระเบียบแล้วยกมือไหว้คุณหมอประจำตัวผม อย่างพร้อมเพรียง
“มาเยี่ยมเพื่อนเหรอครับ” คุณหมอในชุดกาวน์ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยถามทุกอย่างเป็กันเอง แต่ดูเหมือนไอ้เพื่อนผมนี่แหละที่เกร็งตัวไปตาม ๆ กัน อย่างว่าแหละ ใคร ๆ ก็กลัวหมอทั้งนั้น ขนาดหมาที่แม่ผมเลี้ยงไว้ยังกลัวหมอเลย ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“วันนี้หน้าตาคุณอาคิราห์ ดูสดใสขึ้นนะครับ ทานข้าวได้ไหมครับ” ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเขาจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วจับไปที่มือข้างซ้ายผมเบา ๆ
“ขยับมือซ้ายให้หมอดูหน่อยนะครับ” ผมก็ขยับตามช้า ๆ
“ปกติเพื่อนผม มันขยับมือเร็วมากเลยนะครับคุณหมอ” อยู่ ๆ ไอ้เจย์ตัวแสบก็พูดขึ้น
“ไม่ต้องพูดดด!” ไอริสรีบใช้มือปิดปากมันทันที ทำให้คุณหมอเงยหน้ามองทุกคนอย่างรู้ความหมาย แล้วยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนไปจับมือขวาของผม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ขยับมือขวาให้หมอหน่อยนะครับ” ผมก็พยายามขยับมือตามเบา ๆ
“เก่งมากครับ” คุณหมอพูดพลางจดบางอย่างลงบนแท็บแล็ตที่ถือมาด้วย พลางหันมองไปยังเพื่อน ๆ ของผมแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
“นี่หมอประจำตัวมึงเหรอวะ โคตรหล่อ!” ไอ้เจย์ตัวแสบวิ่งเข้ามาที่ขอบเตียง แล้วถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปกติมันไม่ค่อยชมใครเท่าไร แต่ครั้งนี้เหมือนมันจะอดใจไม่ไหว
“หล่อไหมไอริส?” มันไม่พูดเปล่า แต่หันไปยังไอริสด้วย ก่อนเธอจะตอบกลับพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หล่อดิ! อยากเจ็บแทนคีย์ ก็ตอนนี้แหละ” คำพูดของเธอทำให้ผมหลุดยิ้ม ถ้าไม่แสบก็คงอยู่แก๊งผมไม่ได้ ศีลเสมอกันก็งี้แหละ!
ถึงแม้ผมจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสื่อสารได้คล่องแคล่วเหมือนก่อน แต่วันนี้ทั้งวัน พวกมันก็สร้างรอยยิ้มให้ผมได้นานหลายชั่วโมง ตอนนี้รู้สึกอยากขอบคุณพวกมันมาก ๆ แต่ก็ได้แค่มองและค่อย ๆ ทบทวนนิสัยของเพื่อนแต่ละคนอย่างเงียบ ๆ
เจย์ เป็หนุ่มหล่อที่สุดในกลุ่ม นิสัยเ้าชู้ แต่โคตรจริงใจกับเพื่อน เวลาเกิดเื่มันจะเป็คนแรกที่กล้ารับแรงปะทะ พร้อมปกป้องเพื่อนทุกคนในกลุ่ม หากมีมันอยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องกลัวอันตรายอะไรทั้งนั้น พ่อมันเป็ผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ซึ่งพ่อมัน ก็เป็เพื่อนกับพ่อผมนี่แหละ เอาจริง ๆ ก็รู้จักกันมาั้แ่เด็ก รู้ใจกันมากที่สุด
ส่วนธันน์ มันเป็คู่ปรับกับเจย์ อยู่ใกล้กันไม่ได้นาน จ้องกัดกันตลอด เหมือนของเยี่ยมที่เอามา เห็นได้ชัดว่ามันกัดกันั้แ่หน้าประตู ไม่มีใครยอมใคร เวลาเกิดเื่กับคนในกลุ่ม นิสัยของธันน์มักจะเงียบแต่ช่างสังเกต ท้ายที่สุดแล้วคนที่แก้ปัญหาเก่งที่สุดในกลุ่มก็ต้องยกให้มันเป็ที่หนึ่ง
ไอริสน่ะเหรอ? เป็หญิงผิวขาวตัวเล็ก ผิวขาว แต่งตัวแซ่บ แต่นิสัยแตกต่างกับการแต่งตัวโดยสิ้นเชิง เอาจริง ๆ ไอริสก็ตรงไทป์ผมนะ เรียบร้อยแต่ดูมีอะไรให้ค้นหา ไม่จืดชืดเหมือนผู้หญิงเรียบร้อยคนอื่น
ผมนอนมองพวกมันโม้ เกี่ยวกับเื่ราวมากมายที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย ่ที่ผมต้องรักษาตัว ทว่าอยู่ ๆ ไอ้เจย์ที่กำลังโม้อย่างเมามันก็หันมายังผม แล้วเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้น
“เออ..มึงจำน้องกะเทยที่ชื่อ รูแปง ได้ปะ” ผมค่อย ๆ นึกหน้าน้องกะเทยที่ว่า แล้วค่อย ๆ พยักหน้า ก่อนมันจะยิ้มแปลก ๆ แล้วตอบกลับ
“พอมันรู้ว่ามึงเกิดอุบัติเหตุนะ มันตามติดพวกกู จะรู้ให้ได้ว่ามึงรักษาตัวที่ไหน ทุกวันนี้พวกกูไม่ต้องทำอะไรแล้ว หลบอีรูแปงแม่งทั้งวัน!”
“พรุ่งนี้กูกะว่าจะบอกความจริงมันละ ี้เีหลบ” ธันน์พูดขึ้นลอย ๆ แต่นั่นก็ทำให้หัวใจผมหล่นวูบเหมือนกัน อย่าว่าแต่พวกมันรำคาญเลย ผมรำคาญยิ่งกว่า...
“คีย์ไม่ต้องห่วง ธันน์ก็แค่พูดเล่นน่ะ” ไอริสเอื้อมมาจับแขนผมแล้วพูดปลอบพร้อมรอยยิ้มหวาน
“พูดจริงนี่แหละ!” ไอ้เจย์ตอบสวนอย่างรวดเร็ว ก่อนไอริสจะขมึงตาใส่
“รูแปง? อยากรู้เลย ว่าชื่อเดิมแม่งชื่ออะไร?” เจย์กล่าวต่อเบา ๆ แล้วส่ายศีรษะ
ในขณะที่ผมเจ็บปางตาย แต่พวกมันกลับทำเหมือนผมเป็คนปกติ ยังพูดคุย ล้อเลียนและให้ความสนุกสนานเหมือนเดิม ทว่าด้วยความที่ผมอ่อนเพลียก็ผล็อยหลับไปในที่สุด...
นานเท่าไรไม่รู้ แต่เวลานี้บรรยากาศคุ้น ๆ บอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ม่านหมอกจาง ๆ ลอยเข้ามาอีกแล้ว ก่อนก้มมองร่างของตัวเอง ให้ตายเถอะ! ผมอยู่ในชุดของโรงพยาบาล บนหัวยังมีผ้าสีขาวพันไว้อยู่เลย ในเวลาปกติอย่าว่าแต่ขยับตัวลุกขึ้นเดิน แค่พูดยังพูดไม่ค่อยถนัด...
ท่ามกลางความสับสน ผมมองไปยังม่านหมอกจาง ๆ พบร่างของใครบางคนยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมา
“คุณหมอ!” ผมใเผลอเรียกคุณหมอประจำตัว ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน
‘หรือว่าผมตายไปแล้ว’ ทว่าความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด ร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาหมอหนุ่ม ท่ามกลางสายลมพัดมาเบา ๆ ทำให้ผมรู้สึกเย็นะเื จึงใช้มือลูบแขนตัวเองเพื่อคลายความหนาวที่เกิดขึ้น
“เราสองคนเลิกกันดีไหมคะ?” ผมหยุดนิ่ง มองสาวสวยคนนั้นด้วยความแปลกใจ เธออยู่ในชุดสีขาวลายลูกไม้บาน ๆ เป็แฟชั่นที่ไม่คุ้นตา แต่นั่นไม่ทำให้ผมใส่ใจ เท่ากับใจความที่ทั้งสองสื่อสารกัน
“เลิกเหรอ?” คุณหมอมองอีกฝ่ายนิ่ง สายลมยังคงพัดผ่านตัวผมไปเบา ๆ ก่อนที่คุณหมอจะเดินเข้ามาหาหญิงสาว แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนที่ผมได้ยินบ่อย ๆ
“คุณทำได้เหรอ?” สิ้นคำถาม น้ำตาของหญิงคนนั้นก็ไหลออกมาเป็ทาง ก่อนเธอจะฝืนยิ้มแล้วตอบกลับ
“แล้วเราจะไปต่อยังไง อีกไม่กี่วันคุณจะแต่งงาน” คุณหมอนิ่งไปครู่หนึ่ง
“พรรณี ความรักของเราเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงความฉาบฉวย เราต่างรู้ ว่ากว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เื่ง่าย ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง แต่ให้ผมเลิกรักคุณ ผมทำไม่ได้” คำตอบราบเรียบของเขา ทำให้ผมที่ยืนมองอยู่ ถึงกับขมวดคิ้ว แล้วยกมือขึ้นกอดอก
‘จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังอ่อยผู้หญิงอื่นอีก ไม่แมนเลยนะเราน่ะ’ ผมส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ แล้วหันมองไปรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้คล้ายสถานที่ราชการ แต่ดูเก่ากว่ามาก หญิงสาวคนนั้นปาดน้ำตาแล้วเบี่ยงตัวเดินจากไป
ผมหันมองตามเธอแต่ม่านหมอกจาง ๆ ก็เคลื่อนมาปิดไว้ จึงหันไปหาคุณหมอ ขณะเดียวกันผมก็แปลกใจ ที่สายตาของคุณหมอ กำลังแสดงความโศกเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
‘อ้าว! หมอไม่ได้จีบเล่น ๆ เหรอ?’ ผมรู้สึกแปลกใจ ในท่าทางโศกเศร้าของเขา แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมารับรู้เื่ราวของคนอื่นด้วย ทั้งที่ใจอยากกลับไปนอนพักเต็มที
ผมตัดสินใจเดินออกจากเหตุการณ์นั้น แต่ก็เดินหายไปในม่านหมอกแล้ววนกลับมาที่เดิม ในตอนแรกคิดว่าบังเอิญ ผมทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ ผลก็วนกลับมาอยู่ตรงหน้าคุณหมอที่กำลังทำหน้าเศร้าเหมือนเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้