ขณะที่แม่ของหลินเซี่ยนต้องไปขอข้าวโพดจากบ้านย่า
หลินเซี่ยนในร่างใหม่เริ่มมอง “ไหผักดอง” ใบเดียวในบ้านเป็ซึ่งอาจจะเป็โอกาสแรกในชีวิต
เสียงฝีเท้าเร่งรีบของแม่ดังลับหายไปนอกประตูบ้าน
หลินเซี่ยนมองตาม นางคือ หานซิ่วเหมย ผู้หญิงวัยสามสิบปลายที่ร่างกายดูเหนื่อยล้าและทรุดโทรมเกินวัย
เสื้อตัวเดิมที่เย็บแล้วเย็บอีก สีซีดจากการถูกซักซ้ำๆหลายครั้ง อีกทั้งยังไม่แห้งจากน้ำฝนที่สาดเข้ามาภายในบ้านเมื่อคืนน้องชายของเธอ หลินเสี่ยวซาน เด็กชายวัยเจ็ดขวบ นอนขดตัวใต้ผ้าขี้ริ้วด้วยความหิว ร่างกายเล็กผอมแห้ง แก้มตอบดูน่าสงสาร
สายตาหลินเซี่ยนหันไปมองไหผักดองในมุมห้อง แล้วเห็นขวดแก้วที่แม่ล้างและเรียงเก็บไว้ดวงตาของเด็กหญิงๆเปล่งประกายขึ้นมา
“ถ้าเราทำให้มันสะอาดสักหน่อย แล้วเอาไปขายในตลาดนัดได้ละก็…”
“หนึ่งขวด หนึ่งหยวน… เริ่มต้นที่เงินหยวนแรก เราอาจเปลี่ยนอนาคตได้จริง ก็ได้นะ!”
หลังจากที่มีความหวังอีกครั้ง หลินเซี่ยนรีบลุกขึ้นคลำหาผ้าขาว อยากจะใช้น้ำร้อนสำหรับล้างมือ และล้างขวดเล็ก ๆ เหล่านี้ให้สะอาดอีกรอบ
โชคดีที่ชาติที่แล้ว เธอเองก็เกิดและเติบโตในชนบท จนถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้เข้ามาเรียนในเมือง หลินเซี่ยนจึงจุดเตาฟืนเพื่อต้มน้ำเป็
เสียงฝีเท้าหนักๆของหานซื่อเดินมาจนถึงลานหน้าบ้านใหญ่ สำหรับบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ถือว่าเป็อีกหนึ่งครอบครัวที่ไม่ได้มีความขัดสน ตัวเรือนหลักเป็บ้านอิฐดินเผา หลังคามุงกระเบื้องดินเผา มีประตูไม้บานคู่ใหญ่ที่เปิดออกสู่ลานดินอัดแน่นและโรยหินกรวด หน้าบ้านมีกระถามต้นพลัมเก่าแก่ ลานบ้านด้านข้างกว้างขวาง ไว้ใช้สำหรับตากข้าว มีเล้าไก่และคอกหมูอยู่หลังบ้าน บนตั่งไม้หน้าบ้าน ย่าซึ่งก็คือ หลินไท่ไท่ นั่งปักผ้าอยู่ ด้านข้างคือ เฉินซื่อฮวา ป้าสะใภ้หน้าตาเคร่งเครียดกำลังซักผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำ
“แม่คะ...ขอแป้งข้าวโพดให้เด็กๆ สักสองชามเถอะค่ะ เซี่ยนเอ๋อร์ตื่นแล้วแต่ยังไม่มีแรง”หานซิ่วเหมยกล่าวเสียงเบา
หลินไท่ไท่หยุดมือจากการปักผ้า เงยหน้ามองลูกสะใภ้ด้วยสายตารำคาญ
“ข้าวโพดมันจะงอกออกเองที่ต้นหรือยังไงซิ่วเหมยเอ๊ยยยย? คิดว่าใครเขาไม่ต้องกินบ้างล่ะ?”
“แม่...ฉันขอแค่ชามเดียวก็ได้ค่ะ ลูกป่วยไม่มีแรงลุกเลย…”
ย่าหลินหรี่ตามองอย่างไม่คิดจะรักษาสีหน้า ก่อนกระแทกเสียงถามกลับ
“แหม ทีตอนลูกแกเริ่มมีไข้ แกมาขอเงินข้า ข้าไม่ให้ แกทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนทั้งบ้าน ให้ตาย! ทีตอนนี้มาร้องขอแป้งข้าวโพด ไม่ให้เงินไปหาหมอก็ไม่เห็นนังเด็กเวรนั่นมันตายเลยนี่”
เฉินซื่อฮวา ป้าสะใภ้ซึ่งนั่งซักผ้าอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะหึๆ เสริมทันที
“นั่นสิแม่ ฉันยังจำวันนั้นได้อยู่เลย ซิ่วเหมยมาเคาะประตูแต่เช้า บอกว่าจะพาลูกไปหาหมอในอำเภอ!”
หานซิ่วเหมยหน้าซีด กำชายเสื้อแน่น
“ก็เพราะฉันไม่มีทางเลือก...หลิวเซี่ยนไข้สูงมาก... แล้วดูสิ ลูกฉันก็ไม่ไหวจริงๆ เป็ไข้สูงสามวันสามคืน จนฉันใจจะขาดอยู่แล้ว..”
หลินไท่ไท่วางสะดึงปักผ้าลงดังปึ้ง ก่อนลุกขึ้นยืนตรง
“ฟังให้ชัดนะ! เงินข้ามีแค่ก้อนเดียว ข้าส่งให้ เจี้ยนกั๋ว ไปเรียนวิทยาลัยในเมืองแล้ว แล้วอีกส่วนก็ต้องส่งให้ ตงไห่ ลูกชายของซื่อฮวา มันเรียนมัธยมปลายในอำเภอ เด็กมันต้องเช่าหอพัก ต้องกินต้องใช้อีก!”
“แล้วแก...บ้านรองที่มีแต่ลูกสาว กับเด็กน้อยที่ป่วยออดๆแอดๆเสียเงินซื้อยาทุกเดือน กินยาอย่างกับหลุมดำไม่มีก้น จะมาเอาอะไรอีก!”
หานซิ่วเหมยน้ำตาคลอ
“แม่...ฉันไม่เคยอยากให้เป็แบบนี้เลย...เื่เงินไปรักษาลูก ก็ให้แล้วไปเถอะ... แต่ข้าวโพดนี่ฉันจะเอาไปบดต้มก็ยังดี... ลูกจะได้มีแรงอยู่ต่ออีกสักวัน”
หลินไท่ไท่มองลูกสะใภ้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าจะให้... ก็เพราะสงสารที่นังเด็กนั่นมันฟื้นขึ้นมาได้”
“แต่ข้าวโพดน่ะ ข้าจะให้แค่ชามเดียว อย่าหวังจะได้เท่ากับบ้านใหญ่!”
เฉินซื่อฮวาสะบัดน้ำออกจากผ้าเสียงดัง ก่อนหันมายิ้มเย้ย
“ดีแล้วแม่ ถ้าให้มาก เดี๋ยวพวกมันจะเคยตัว!”
หานซิ่วเหมยกัดฟันแน่น รับชามข้าวโพดมากอด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงบนหละงมือเธอ เธอก้มหน้าลงร้องไห้เงียบๆ ไม่ใช่เพราะอาย… แต่เพราะปวดใจ เธอเป็แม่ที่ไร้ความสามารถจริงๆ
เด็กหญิงวัยเก้าขวบจัดไหผักดองวางเรียงหน้าระเบียงเตรียมขวดเก่า ๆ ที่แม่ล้างไว้ นำมาต้มฆ่าเชื้อก่อนผึ่งให้แห้ง
เดิมทีขวดเหล่านี้เคยใช้ไส่น้ำผึ้งที่ย่าหลินซื้อมา หลังจากน้ำผึ้งหมด ย่าหลินมักจะทิ้งขวดเหล่านี้ แม่ของเธอจึงไปเก็บมาล้างไว้หลินเซี่ยนเปิดไหผักดอง กลิ่นดองหอมฉุย ชวนน้ำลายสอ ลอยมาจากแตงดองในน้ำเกลือเข้มข้น
หานซื่อกลับมาถึง พร้อมชามใส่แป้งข้าวโพด เธอหยุดร้องไห้แล้ว แต่ขอบตากลับแดงเรื่อ
“เซี่ยนเอ๋อร์... แม่ขอโทษที่แม่ไม่มีอะไรให้มากกว่านี้เลย…”
หลินเซี่ยนรับแป้งข้าวโพดมาเงียบ ๆ
“แม่ไม่ต้องขอโทษ... แม่เลี้ยงฉันมาอย่างดีที่สุดแล้ว”
“ต่อจากนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครเหยียบย่ำเราได้อีก”
เธอหยิบขวดแก้วขึ้นมาหนึ่งใบ แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้แตงดองในน้ำใสสะท้อนประกาย
“เริ่มจากไหนี้แหละแม่... ฉันจะขายผักดอง!”