“ฟังคำสั่งข้า อีกเดี๋ยวพอข้าไปแล้ว เ้าก็รีบพาเสี่ยวอวี่กับอาต้าอ้อมไปอีกด้าน คอยสร้างความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจจากองครักษ์ในจวนก็พอ เ้าไม่ต้องสนใจข้า”
“คุณหนู” หนิงหยวนกล่าวปฏิเสธ ดวงตาฉายแววตัดสินใจที่จะตาย “ข้าไม่ไป คุณหนูไปก่อนเถิด ข้าจะรั้งท้าย”
“นี่คือคำสั่ง” ซูิเยว่ถอยหลังไปครึ่งก้าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะมอบถุงใส่ผงยาพิษสองถุงให้เสี่ยวอวี่กับหวังซวินที่อยู่ด้านหลัง “อีกเดี๋ยวเ้าพาพวกเขาไปก่อน ข้าปกป้องตัวเองได้”
ความจริงแล้วซูิเยว่ก็แค่พูดไปเพื่อปลอบใจหนิงหยวนเท่านั้น มีหรือที่นางจะปกป้องตัวเองได้ มีแค่กังฟูที่ดูดีแต่รูป แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย แล้วทีนี้จะไปสู้กับทหารพลีชีพสิบกว่าคนได้อย่างไร?
แม้นางจะมีผงพิษ แต่ถึงโดนเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ตายในทันที ดังนั้นในใจของนางจึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทำได้แค่พยายามให้ถึงที่สุดเท่านั้น
ต้องพยายามยื้อจนกว่าคนในจวนจะออกมาให้ได้ นางจะพนันดูสักครั้งว่าบิดาที่ไม่อยากเจอหน้านางจะปล่อยให้นางตายหรือไม่
“คุณ....คุณหนู” หวังซวินที่อยู่ด้านหลังก็พลันร้องเรียกเสียงเบา “ท่านส่งข้าออกไปเถิดขอรับ คุณหนู ข้าไม่อยากทำให้ท่านเข้ามาติดร่างแหไปด้วย”
ซูิเยว่หันกลับไปมองเขาแล้วหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งที “เ้านี่คิดไปเองได้ขนาดนี้เชียวหรือ เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามุ่งตรงมาที่เ้า”
หวังซวินชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซูิเยว่
หนิงหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซูิเยว่ก็รีบเอ่ยตัดบทเขา “ไป”
พอพูดจบซูิเยว่ก็ยกผงพิษในมือสาดไปด้านหน้า
หนิงหยวนทำอะไรไม่ได้ เขาจึงพาเสี่ยวอวี่กับหวังซวินรีบอ้อมไปทางด้านหลัง
แต่คนชุดดำที่มาในครั้งนี้พอได้ทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง มีหรือที่ครั้งที่สองจะติดกับดักอีก พวกนั้นจึงยกมือขึ้นปิดจมูกแล้วหัวเราะเสียงเย็น “คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ? หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พูดจบคนชุดดำก็โบกมืออย่างแรง ต่อมาร่างกายก็เหมือนจะพุ่งไปทางซูิเยว่อย่างรวดเร็ว
เร็วเกินไปแล้ว
แสงเย็นวาบจากกระบี่แล่นผ่านตรงหน้าไป ชั่ววินาทีนั้นในหัวของซูิเยว่ก็ขาวโพลนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดใด ทำได้แค่เอนไปด้านข้าง
“คุณหนู!” หนิงหยวนกับเสี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านหลังแผดเสียงร้องเหมือนจะขาดใจ ดังมาจากไกลๆ จนฟังความไม่ชัด
ซูิเยว่รู้สึกแค่ว่าเวลาเพียงชั่ววินาทีเปลี่ยนมาเนิบช้า ภายในหูมีเสียงวิ้งๆ ร่างกายกับิญญาเหมือนจะหลุดลอยออกไป มีความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้มากดทับตัวนางเอาไว้
เสียงแหลมของพวกหนิงหยวนก็พลันหยุดลงทันที ความรู้สึกเ็ปที่อยู่ในการคาดการณ์ยังไม่เกิดขึ้น วินาทีที่นางจะล้มลงไปที่พื้นก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดนุ่มเสียก่อน
ข้างหูมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีคนอุ้มนางไปวางไว้ที่มุมกำแพง
ตรงหน้าเต็มไปด้วยสีแดงฉาน มีร่างหนึ่งตวัดกระบี่ซึ่งแฝงไปด้วยความเยือกเย็นไม่หยุด เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นในยามค่ำคืน
ซูิเยว่ยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าก็พบว่ามีเหงื่อไหลอาบหน้า แม้แต่ผมเผ้าก็เปียกชื้นไปหมด
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ความรู้สึกหัวหนักเท้าเบาจนไม่เหมือนความจริงเมื่อครู่ก็ค่อยดีขึ้นมาเล็กน้อย
ซูิเยว่ยันกำแพงพยุงตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะมองไปด้านหลัง เสี่ยวอวี่ หนิงหยวนและหวังซวินล้วนยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก ทุกคนต่างมองตะลึงตาค้าง พอเห็นว่าซูิเยว่ไม่เป็อะไรก็รีบพุ่งเข้ามาหา
หนิงหยวนกับเสี่ยวอวี่มาล้อมตัวซูิเยว่แล้วพิจารณามองจากบนลงล่างอยู่หลายรอบ “ไม่เป็ไรใช่ไหมเ้าคะคุณหนู?”
ซูิเยว่ส่ายหน้า นางรู้สึกว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรงเล็กน้อย “ข้าไม่เป็ไร พวกเ้าล่ะ?”
“พวกเราก็เช่นกันเ้าค่ะ” เสี่ยวอวี่พูดไปก็ร้องไห้ออกมา นางไม่เคยเห็นคุณหนูตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน “เมื่อครู่ท่านทำเอาข้าใเกือบตาย คุณหนู โชคดีที่คนสองคนจากไหนไม่รู้มาช่วยพวกเราเอาไว้”
ซูิเยว่เริ่มรู้ตัวว่าเมื่อครู่ในวินาทีเสี่ยงตายมีคนเข้ามาช่วยนางไว้ ตอนนี้เสียงร้องโหยหวนก็ยังดังอยู่ต่อไป
นางเดินหน้าขึ้นไปดู สองคนนั้นโรมรันกับกลุ่มคนชุดดำด้วยความรวดเร็ว มือยกกระบี่ฟาดฟันศัตรูจนเหมือนกับหั่นผัก คนชุดดำกลุ่มนั้นไม่มีแม้แต่กำลังจะตอบโต้ ภายในเวลาไม่กี่นาทีคนชุดดำสิบคนก็ร่วงลงกับพื้น
จิ่งฉือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อเช็ดรอยเืบนตัวกระบี่จนสะอาด จากนั้นก็โยนทิ้งลงบนศพด้วยท่าทางรังเกียจก่อนจะเดินมาทางซูิเยว่
ิจิ่วตามหลังเขามา เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ซูิเยว่ถึงได้เห็นใบหน้าของทั้งสองชัดเจน นางชะงักค้างไป แววตาปรากฏร่องรอยไม่อยากจะเชื่อออกมา
เด็กหนุ่มชุดสีชมพูที่นางเคยเจอตอนเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนขององค์หญิงใหญ่ เขาก็คือองครักษ์ข้างกายของจี๋โม่หาน
แต่สตรีที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม ถึงแม้ตอนที่เจออันตรายที่จวนอวี้ซื่อในคืนนั้นจะมองเห็นหน้าไม่ชัดเท่าไร แต่นางมั่นใจว่าสตรีคนนี้คือคนที่ช่วยนางในคืนนั้น ทว่าในตอนนี้สองคนนี้กลับมาช่วยนางพร้อมกัน
ภายในหัวของซูิเยว่ยุ่งเหยิงไปหมด ปัญหาต่างๆ ก็ผุดออกมาจนหมด พวกเขาล้วนเป็คนของจี๋โม่หาน เหตุใดถึงต้องช่วยนาง แล้วเหตุใดถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ด้วยความบังเอิญขนาดนี้ แล้วก็เื่ที่จวนอวี้ซื่อครั้งนั้นก็เป็ความบังเอิญอย่างนั้นหรือ?
จี๋โม่หานรู้เื่ของนางมากเท่าไรกัน คำถามเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่ซูิเยว่อยากรู้มากในตอนนี้ แต่หลังจากนั้นครู่เดียว นางก็ทำได้แค่มองสองคนตรงข้ามนิ่งแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “พวกเ้าคือคนของจี๋โม่หานหรือ?”
จิ่งฉือยกยิ้ม เป็อย่างที่คิดไว้ คนที่เ้านายถูกใจนั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ถึงจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังคงนิ่งสงบได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าซูิเยว่จะหน้าเสียหรือใมากเสียอีก แต่เขาก็ผิดหวังเสียแล้ว
“ใช่ขอรับ พวกเราเคยเจอกันที่จวนองค์หญิงใหญ่ครั้งที่แล้วขอรับ”
ซูิเยว่ฟังคำตอบของเขาจนจบก็มองไปทางิจิ่วที่อยู่ด้านข้าง “ที่จวนอวี้ซื่อ [1] ครั้งที่แล้วเป็เ้าที่ช่วยข้าเอาไว้ แล้วก็ยังเป็เ้าที่ส่งข้ากลับมาและทิ้งยาเอาไว้ให้ใช่หรือไม่”
ถึงแม้นางจะพูดประโยคคำถาม แต่ความหมายในน้ำเสียงกลับเชื่อมั่นมาก
ิจิ่วไม่ได้ตอบ แต่เพียงพยักหน้าเท่านั้น
ซูิเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง นางก้มหน้าลงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เงยหน้ามองสองคนตรงหน้าแล้วพูด “พาข้าไปพบองค์ชายสามของพวกเ้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะขอบคุณพระองค์ต่อหน้า”
จิ่งฉือกับิจิ่วมองตากันก่อนที่ิจิ่วจะพยักหน้า “ได้เ้าค่ะ”
“คุณหนู....” หนิงหยวนที่อยู่ด้านหลังร้องเรียกนางด้วยความกังวล แววตายังคงมองไปทางจิ่งฉือกับิจิ่วอย่างระมัดระวัง
ไม่ไกลออกไปก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากมุ่งหน้ามาทางนี้ คิดไปแล้วก็คงจะเป็องครักษ์ของจวน
ซูิเยว่หันกลับไปยิ้มแล้วสั่งการพวกเขา “ไม่เป็ไร ข้าแค่ไปประเดี๋ยวก็กลับแล้ว หากท่านพ่อถามขึ้นมา พวกเ้าก็ตอบตามความจริงก็พอ”
หนิงหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ขอรับ เช่นนั้นคุณหนูระวังตัวด้วย”
หลังจากกำชับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูิเยว่ก็ตามจิ่งฉือกับิจิ่วออกไป
ตอนที่พวกเขาออกไปได้ไม่นาน พ่อบ้านฝูซูก็ได้พาองครักษ์ในจวนออกมา คนที่เดินนำหน้าคือหลินโม่สกุลซู ด้านหลังคืออี้จูกับอวิ๋นเฉิน
ตอนที่คนกลุ่มนั้นเห็นศพเต็มถนนก็ชะงักไป เสี่ยวอวี่กับหนิงหยวนมองตากันก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินเข้าไปหา “ใต้เท้าสกุลซู”
สีหน้าหลินโม่ทะมึนมาก บนตัวปล่อยไอเย็นออกมาเป็ระยะก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น คุณหนูล่ะ?”
เชิงอรรถ
[1] ฝ่ายผู้ตรวจการ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้