ชย่าลิ่วอีคิดเสมอว่าเหอชูซานเป็เด็กหนุ่มที่น่าสนใจ ดูผิวเผินเหมือนจะเซ่อซ่า แต่จริงๆ แล้วฉลาดหลักแหลม เขาเป็คนที่ลื่นไหล รู้จักกาลเทศะ รู้จักปรับตัว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความดื้อรั้นซ่อนอยู่ในตัว ไม่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เลี่ยงไปเลี่ยงมาเหมือนกำลังเล่นไทเก๊กกับเขาอยู่ เป็คนที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้โดยเด็ดขาด แม้ว่าปกติจะมักทำท่าทางเหมือนคนซื่อสัตย์และขี้ขลาด แต่เขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้กลัวอะไรจริงๆ สักครั้ง
แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาถูกไล่ล่า เด็กหนุ่มคนนี้แบกเขาไว้บนหลังแล้ววิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล ถึงจะทำหน้าตาโง่เง่าเหมือนเดิม บางครั้งก็แสดงอาการลนลานและสับสนให้เห็น แต่กลับไม่เคยแสดงความกลัวออกมาเลย
นี่จึงเป็ครั้งแรกที่เขาเห็นเหอชูซานกลัวถึงเพียงนี้ ร่างกายของเด็กหนุ่มแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน มือทั้งสองข้างกำกางเกงแน่น ดวงตาคู่นั้นของเขาจ้องไปยังประตูของห้องผ่าตัดไม่ยอมละสายตา
ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเื ดวงตาเหม่อลอยราวกับว่าจิติญญาและความเฉลียวฉลาดทั้งหมดได้ล่องลอยออกไปพร้อมกับิญญาแล้ว
ชย่าลิ่วอีก้มหน้าลง จึงสังเกตเห็นว่านิ้วมือของเหอชูซานสั่นเล็กน้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะวางมือลงบนศีรษะที่เปียกชื้นของเหอชูซานแล้วลูบเบาๆ พร้อมกับพูดปลอบ “ไม่ต้องกังวล หมอบอกว่าการผ่าตัดแบบนี้มีโอกาสสำเร็จสูงมาก”
เหอชูซานยอมให้เขาถูหัวไปมาอย่างเงียบงัน ดวงตายังคงจ้องไปยังประตูที่ปิดสนิทนั้นไม่ไหวติง สักพักจึงพูดขึ้นมาเสียงเบา “พอผมกลับไปก็เห็นเขาล้มอยู่บนพื้น ประตูคลินิกยังเปิดอยู่แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เพื่อนบ้านแถวนั้นพอเลิกงานก็เข้านอนกันหมดแล้ว”
“เขาเปิดคลินิกจนดึกแบบนี้ทุกวัน แล้วก็เริ่มงานั้แ่เช้าตรู่ เป็แบบนี้มาหลายปีแล้ว”
“เขาอายุมากขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่ได้พัก ยังต้องหาเงินมาเลี้ยงผมอีก...”
ชย่าลิ่วอีกำลังจะบอกว่า “พ่อของนายก็ยังไม่แก่ ถ้านายพูดแบบนี้ต่อหน้าเขา เขาคงจะถอนฟันของนายจนหมดปากแน่” แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ก็เห็นน้ำตาสองสายไหลลงมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม หยดลงไปบนกางเกงตัวเก่าที่สีซีดจนขาวเสียก่อน
หัวใจที่แข็งกระด้างของลูกพี่ใหญ่ชย่าอ่อนลงเล็กน้อย ท้ายที่สุดเหอชูซานก็ยังเป็เพียงเด็กน้อยที่ต้องพึ่งพาอาศัยอยู่ด้วยกันกับคุณปู่ การที่ต้องพบเจอเื่แบบนี้มันไม่ง่ายเลย ชย่าลิ่วอีจึงโอบไหล่เขาเข้ามาใกล้ แล้วกอดเขาไว้แน่น “อย่าร้องไห้เลย เข้มแข็งเข้าไว้”
เหอชูซานกลั้นสะอื้น ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ทนไหว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออก
“ผมไม่เป็ไรแล้ว พี่ลิ่วอี ขอบคุณมากนะครับที่ขับรถมาส่ง” เขาพูดด้วยเสียงแหบพร่าแล้วล้วงกระเป๋าหยิบห่อกระดาษมันๆ ออกมาเปิด ข้างในเป็ธนบัตรที่ยับยู่ยี่ “ตอนเข้าโรงพยาบาลเมื่อกี้ที่พี่ออกเงินให้ก่อน...”
ชย่าลิ่วอีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็ไร เก็บไว้ซื้อชาโสมให้พ่อนายกินเถอะ”
“พ่อผมไม่รับเงินของพวกมาเฟียหรอกครับ” เหอชูซานพูด “ถ้าเขารู้ว่าพี่เป็คนจ่ายค่ารักษาพยาบาล เขาต้องยืนยันที่จะออกจากโรงพยาบาลแน่ๆ”
“…”
ชย่าลิ่วอีไม่รู้ว่าวันนี้โดนเหอชูซานทำให้พูดไม่ออกเป็ครั้งที่เท่าไรแล้ว จึงกัดฟันพูด “งั้นก็บอกว่าฉันติดหนี้ค่าถอนฟันกับเขาแล้วกัน”
เหอชูซานทำท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่ง “งั้นฟันพี่หนึ่งซี่ก็ต้องราคา 1,500 หยวน”
ชย่าลิ่วอีกระแทกฝ่ามือลงบนศีรษะของเขาอย่างแรง! “นายหายเศร้าแล้วใช่ไหม สนุกกับการล้อพี่ลิ่วอีของแกเล่นหรือยังไง”
เหอชูซานหัวเราะคิกคักพลางยกมือกุมศีรษะ
ชย่าลิ่วอีอยู่เป็เพื่อนเหอชูซานจนการผ่าตัดเสร็จสิ้น อาป๊าเหอที่หลับใหลจากการฉีดยาสลบถูกเข็นออกมาส่งยังห้องพักผู้ป่วย เขามีอาการเืออกในสมองเฉียบพลัน แต่โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลได้ทันเวลา อาการจึงไม่ร้ายแรงนัก การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เพียงแค่รอให้เขาตื่นและพักฟื้นอีกสักระยะก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
เหอชูซานจัดผ้าห่มให้พ่อของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงออกมาส่งชย่าลิ่วอี ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดิน ชย่าลิ่วอีกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเหอชูซานก็คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
เหอชูซานมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงก้มหน้าลงแล้วกระซิบเบาๆ “พี่ลิ่วอีครับ ที่จริง... เมื่อคืนที่ผมพูดไปไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ”
ชย่าลิ่วอีพิงกำแพง เขาจุดบุหรี่ด้วยท่าทางสบายๆ แล้วเอียงคอถามว่า “อ้อ? คำไหนล่ะ”
“ที่ผมบอกให้พี่อย่าพาผมออกไปอีก” เหอชูซานพูดเสียงเบาพลางก้มหน้า
“อืม” ชย่าลิ่วอีทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างเ็า รอดูว่าเด็กคนนี้จะหาคำอะไรมาอธิบาย
“ผมแค่...” เหอชูซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพูดความจริงออกมา “เห็นพวกเขาใช้ปืนจ่อไปที่พี่ ผมกลัวมาก”
ชย่าลิ่วอีอมควันบุหรี่ไว้ในปาก เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเศร้าสร้อย เหอชูซานพูดต่อ “ผมไม่อยากเห็นพี่เจ็บอีกแล้ว แค่คิดถึงตอนนั้นก็รู้สึกแย่แล้ว”
“แค่ก...” ชย่าลิ่วอีสำลัก
“ผมไม่น่าพูดจาทำให้พี่โกรธเลย ขอโทษนะครับพี่ลิ่วอี ที่จริง... ถึงบางครั้งเราจะคุยกันไม่ค่อยรู้เื่ แต่ผมชอบอยู่กับพี่นะ เื่คืนนี้ผมผิดเอง ที่ย่านหงคั่นมีร้านจีเปาที่อร่อยอยู่ร้านหนึ่ง เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟัง คราวหน้าผมจะพาพี่ไปกินนะ โอเคไหม”
ชย่าลิ่วอีไม่ตอบ เขาสำลักควันบุหรี่อย่างแรง จึงโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วไอออกมาไม่หยุด “แค่กๆๆๆ...”
“พี่ลิ่วอี ที่โรงพยาบาลห้ามสูบบุหรี่นะ” เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ตบบ่าชย่าลิ่วอีเบาๆ พร้อมกับเตือนด้วยความหวังดี
……
ชย่าลิ่วอีรู้สึกว่าแววตาและคำพูดของเหอชูซานเมื่อคืนนี้มีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ถ้าจะให้ตีความว่าเป็ความรู้สึกซาบซึ้งของเพื่อนสนิทก็ดูสมเหตุสมผล เขาช่วยชีวิตพ่อของอีกฝ่ายไว้ การที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกดีๆ ตอบแทนก็ดูจะเป็เื่ธรรมดา
ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างผู้ชายด้วยกันนั้นมีไม่มากนักบนโลกใบนี้ เขาคิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยบุคลิกหนอนหนังสือของเหอชูซานที่ขาดทักษะการเข้าสังคมคงแยกแยะไม่ออกว่าคำพูดไหนควรพูด คำพูดไหนที่มีความหมายกำกวม ไม่ควรพูดพร่ำเพรื่อ
หลังจากคืนนั้น เฝยชีก็ทุ่มสุดตัวเปิดศึกกับแก๊งเซียวฉีอย่างเต็มที่ แถมยังรวมกลุ่มกับอิทธิพลเก่าที่เคยถูกชย่าลิ่วอี ‘รังแก’ ไม่ว่าจะเป็ลูกพี่ใหญ่ซา เ้าของบ่อนที่เคยถูกทุบในเมืองกำแพงเจียวหลง ทำให้ชย่าลิ่วอีต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ไม่น้อย ชย่าลิ่วอียุ่งอยู่กับ ‘ธุรกิจของบริษัท’ ส่วนเหอชูซานก็ยุ่งอยู่กับการเรียนและการดูแลพ่อหลังผ่าตัด ทั้งสองจึงไม่ได้เจอกันเลยเกือบเดือน
วันนี้เสี่ยวหม่ามาที่ ‘สำนักงานใหญ่’ เพื่อรายงาน แถมยังเจื้อยแจ้วกับพี่ใหญ่เื่ที่เด็กแซ่เหอไม่ได้มาที่โต๊ะสนุกนานแล้ว ไม่รู้จักกตัญญูกับพี่ใหญ่เลย! เข้าแก๊งมานานขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่มาคารวะพี่ใหญ่อีก! จากนั้นเขาก็โดนพี่ใหญ่เขวี้ยงก้นบุหรี่ใส่ พร้อมกับด่า—— พูดมากจริง! ไปทำงานได้แล้ว!
เสี่ยวหม่ารีบเผ่นหนีไปทันที แต่พอตกบ่ายก็โทรกลับมาหาชย่าลิ่วอี “พี่ใหญ่! เด็กแซ่เหอมาที่โต๊ะสนุกแล้วครับ! เขาบอกว่ามีเื่จะคุยกับพี่!”
ชย่าลิ่วอีกำลังประชุมอยู่กับผู้จัดการหลายคนจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แค่บอกให้เสี่ยวหม่าส่งคนไปรับเหอชูซานมาที่บริษัทเท่านั้น เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลงเขาก็พอมีเวลาว่างมาพบกับเหอชูซานที่สะพายกระเป๋าหนังสือใบเล็กไว้บนไหล่ เขาถูกบอดี้การ์ดร่างั์สองคนพามา
“อะไรนะ?” ชย่าลิ่วอีวางซิการ์ครึ่งมวนที่เขาใช้เป็พร็อปลง เขาไม่ค่อยชอบซิการ์เท่าไร คิดว่ามันแรงเกินไป แถมยังมีกลิ่นเหมือนพวกเศรษฐีที่ชอบอวดรวยอีกด้วย ชย่าลิ่วอีเติบโตมาจากฐานะที่ยากจนและทำงานหนักมาตลอด เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากพวกเศรษฐีพุงพลุ้ยอย่างหัวหน้าใหญ่ซาและเฝยชี
เหอชูซานเหลือบมองบอดี้การ์ดสองคน ชย่าลิ่วอีจึงโบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นบอดี้การ์ดทั้งสองก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เหอชูซานหยิบต้นฉบับออกมาจากกระเป๋านักเรียน “นี่บทหนังที่พี่้า ่นี้ผมต้องดูแลพ่อเลยเขียนได้ช้าหน่อย”
ชย่าลิ่วอีลืมเื่นี้ไปเสียสนิท เขาโยนบทหนังลงไปในลิ้นชักอย่างไร้เยื่อใย
“มีอะไรอีกไหม?” เขาถามอีกครั้ง
“คืนนี้ว่างไหมครับ ผมจะชวนไปกินไก่ตุ๋นที่ย่านหงคั่น”
ชย่าลิ่วอีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความขบขัน “นายจะเลี้ยงหรือ”
“บอกแล้วว่าจะเลี้ยง” หนุ่มน้อยเหอพูดอย่างจริงจัง
ชย่าลิ่วอีหัวเราะหึๆ ก่อนจะเรียก “อันฉี!”