นางกำนัลทั้งสองมองหน้ากันไปมาด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ถามเช่นนี้?
นี่จะให้พวกนางตอบกลับอย่างไร? หากพูดไปตามความจริง ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทมีเจตนาอะไร แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่หากองค์หญิงรู้เข้าจะต้องลงโทษพวกนางอย่างหนัก จากวิธีการขององค์หญิง จุดจบของพวกนางจะต้องอนาถมากเป็แน่
ฉินรั่วเข้าใจจิตใจของนางข้าหลวง รู้ถึงความกังวลของพวกนางจึงพูดว่า “พวกเ้าพูดความจริงมาเถิด เตี้ยนเซี่ยไม่มีทางรังแกพวกเ้า ยิ่งไม่มีทางบอกองค์หญิงเื่นี้”
นางกำนัลหญิงทั้งสองยังคงหวาดกลัว แต่ก็ตอบไปตามความเป็จริง “อันที่จริงแล้วนิสัยขององค์หญิงไม่นับว่าดีนัก...หากไม่ได้ดั่งใจ องค์หญิงก็จะกริ้ว...” พวกนางลอบมององค์รัชทายาท เห็นนางไม่บันดาลโทสะจึงพูดต่อ “ยามที่องค์หญิงโมโหก็จะขว้างปาข้าวของ ตวาดดุด่าข้าหลวงนางกำนัล...หนูปี้ทั้งสองก็เคยถูกองค์หญิงทำร้ายและดุด่ามาก่อน...แม้แต่หยวนซิ่วที่องค์หญิงเชื่อใจมากที่สุดก็ยังเคยถูกดุด่าทุบตี...”
มู่หรงฉือถามต่ออีก “เช่นนี้ก็คือองค์หญิงนิสัยไม่ดีหรือ?”
พวกนางพยักหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“เช่นนั้นตามพวกเ้ารู้ องค์หญิงเป็คนที่สามวันดีสี่วันโมโหใช่หรือไม่?”
“ประมาณนั้นเพคะ ถ้วยชา กาน้ำแตกแล้วแตกอีก เปลี่ยนมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
“่นี้อารมณ์ขององค์หญิงเป็อย่างไรบ้าง?” ดวงตาของมู่หรงฉือเย็นเยียบอยู่น้อยๆ ต่อหน้านางที่เป็องค์รัชทายาทกับเสด็จพ่อ จาวฮวาเป็คนรู้ความ เป็น้องสาวที่น่ารักสดใส เป็บุตรสาวที่น่ารักขี้อ้อน
“ั้แ่เกิดเื่นั้น...องค์หญิงก็เศร้าสร้อยไม่มีความสุข เก็บตัวเงียบ อยู่แต่ในห้องบรรทมไม่แตะกระทั่งน้ำสักหยด ร่างกายผ่ายผอม” นางกำนัลตอบ
“ก่อนจะเกิดเื่เล่า? อย่างเช่น หลังจากที่พระราชโองการเื่งานแต่งงาน อารมณ์ขององค์หญิงเป็อย่างไร? อารมณ์ดีหรือว่าเศร้า?”
นางกำนัลสองคนย้อนนึกดู ก่อนจะตอบ “ไม่ค่อยต่างจากปกติเท่าใดนักเพคะ องค์หญิงไม่ได้อารมณ์ดีเป็พิเศษหรือไม่พอใจ”
มู่หรงฉือจู่ๆ ก็นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนถามอย่างมีความหวัง “น้องสาวกลัวหนูกับแมงสาบหรือไม่?”
นางกำนัลคนหนึ่งแย่งตอบคำถาม “องค์หญิงใจกล้า ไม่กลัวหนูกับแมลงสาบเพคะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง หยวนซิ่วพบแมงสาบตัวหนึ่งที่สวนด้านหลัง นางหวาดกลัวมาก แต่องค์หญิงเดินไปแล้วเอาเท้าเหยียบแมลงสาบตัวนั้นเพคะ”
หัวใจของมู่หรงฉือกระตุก อดมองไปทางฉินรั่วไม่ได้
ฉินรั่วให้พวกนางกลับไปดูแลองค์หญิงดีๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย หนูฉายจำได้ว่าวันที่เกิดเื่ องค์หญิงเข้าไปผลัดอาภรณ์ในห้องบรรทมแล้วเห็นแมลงสาบหนึ่งตัว จึงใจนกรีดร้องออกมา คุณชายกงเห็นองค์หญิงกรีดร้องจึงเข้าไปดู”
มู่หรงฉือครุ่นคิดพลางพยักหน้า นางจำรายละเอียดนี้ได้เช่นกัน
ฉินรั่วถาม “เช่นนั้นยังจะไปที่ตำหนักจิ่งหงหรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉือส่ายหน้า “พรุ่งนี้ไปที่จวนเสนาบดี”
่สายของวันต่อมา นางพาฉินรั่วไปที่จวนเสนาบดีพร้อมนำสมุนไพรสองอย่างไปด้วย ถึงแม้ว่าจะสูญเสียความสามารถในการมีบุตรไปตลอดกาล แต่ร่างกายของกงจวิ้นหาวเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้ว สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขานอนอยู่บนเตียงเพิ่งจะทานยาเสร็จ ครั้นทราบว่าเตี้ยนเซี่ยมาก็เชิญให้นางเข้ามาด้านใน
เพียงเวลาไม่กี่วันสั้นๆ แต่กลับอยู่เหนือครึ่งชีวิตของเขาในก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองทนผ่านมันมาได้อย่างไร...ไม่ว่าใครก็ไม่อาจััได้ถึงความเ็ปนี้...ความมืดมิดถึงที่สุด ความสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ ความเ็ปทรมานทุรนทุรายอย่างลึกล้ำ...ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกแห่งโชคร้ายที่ตนัั...
แต่กระนั้นเขาก็ยังอดทนจนผ่านมันมาได้
ถึงแม้เขาจะกลายเป็ ‘คนไร้ความสามารถ’ ไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ กระทั่งเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งการมีชีวิต เขาจะทำให้บรรดาคนที่พูดวิพากษ์วิจารณ์เขา คนที่หัวเราะเย้ยหยันดูถูกดูแคลนเขาได้เห็นอนาคตที่ยาวไกลของเขาให้ได้
“คุณชายกง หลายวันมานี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่?” มู่หรงฉือส่งสัญญาณให้ฉินรั่ววางสมุนไพรลง
“ขอบคุณน้ำใจขององค์รัชทายาท กระหม่อมดีขึ้นเล็กน้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบเสียงเรียบเย็น ใบหน้าแข็งกร้าว
“เ้าวางใจเถิด เื่นี้เปิ่นกงจะต้องชดเชยให้เ้าและสกุลกง หลายวันมานี้เ้าได้นึกถึงรายละเอียดของวันนั้นบ้างหรือไม่” นางถามอย่างเป็มิตร
“หลายวันมานี้กระหม่อมว่างจนไม่มีอะไรทำ ครั้นได้ขบคิดอย่างละเอียด สิ่งที่คิดออกก็ได้เคยบอกกล่าวแก่เตี้ยนเซี่ยไปแล้ว” เขาตอบอย่างเ็า “แต่มีเื่หนึ่งที่กระหม่อมรู้สึกแปลกๆ องค์หญิงให้กระหม่อมทานแตงโม ขนมหวาน น้ำซิ่งเหรินอย่างกระตือรือร้น จากนั้นไม่นานกระหม่อมก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย”
“แล้วหลังจากนั้นยังเวียนหัวต่อหรือไม่?” มู่หรงฉือรู้สึกว่าเื่นี้มันแปลกๆ ทำไมเขาถึงเวียนหัวได้?
“ต่อมาเหมือนจะไม่เป็แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เปิ่นกงจำได้ว่าเ้าเคยพูดว่า น้องสาวเข้าไปผลัดอาภรณ์ที่ห้องบรรทม และเพราะเห็นแมลงสาบจึงกรีดร้องออกมา เ้าถึงได้บุกเข้าไปใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ หากองค์หญิงไม่กรีดร้อง กระหม่อมย่อมไม่มีทางบุกเข้าไปในห้องบรรทมของนาง จากนั้นองค์หญิงก็เข้ามาสวมกอดกระหม่อม” เสียงของกงจวิ้นหาวจริงจังซื่อตรงเป็อย่างมาก “เตี้ยนเซี่ย อีกไม่นานกระหม่อมก็จะแต่งองค์หญิงเข้ามาแล้ว เหตุใดจะต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยจริงหรือไม่?”
มู่หรงฉือรู้สึกว่าที่กงจวิ้นหาวกล่าวมาก็มีเหตุผล
เขาเกิดมาในตระกูลใหญ่ ั้แ่เล็กจนโตก็มีเสื้อผ้าอาหารการกินที่ดีพร้อม แต่กลับไม่มีนิสัยเสียๆ เช่นพวกคุณชายเสเพล ทั้งยังเก่งบุ๋นบู๊ ทำการใดก็มั่นคงระมัดระวัง ในบรรดาบุรุษจากครอบครัวชนชั้นสูง เด็กหนุ่มที่หล่อเหลาและเฉลียวฉลาดมีไม่มาก คนเช่นนี้มักรู้จักควบคุมตัว ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองเสียการควบคุมง่ายๆ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ความสุขชั่วครู่มาทำให้ตนเองต้องพบทางตัน
ตามหลักเหตุผลแล้ว นางค่อนข้างเชื่อเขา
แต่จากความรู้สึก นางก็อดเอนเอียงไปทางจาวฮวาไม่ได้
“เ้านึกออกบ้างหรือไม่ว่าน้องสาวข้าทำร้ายเ้าอย่างไร?”
มู่หรงฉือพูดออกมาอย่างยากลำบาก อย่างไรสำหรับเขาแล้ว ่เวลานั้นคือประสบการณ์และความทรงจำที่เ็ปที่สุด
กงจวิ้นหาวขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าค่อยๆ แผ่ความเ็ปออกมา “หลายวันมานี้กระหม่อมนึกย้อนกลับไปว่าองค์หญิงทำร้ายกระหม่อมอย่างไรมาโดยตลอด...จำได้ว่าตอนที่อยู่ในห้องบรรทมกระหม่อมราวกับกลายเป็อีกคนหนึ่ง ไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย...กระหม่อมรู้สึกเหมือนมีไฟลุกโหม ร่างกายรุ่มร้อนไปหมด ทั้งยังรู้สึกว่ามีแรงกระตุ้นอย่างหนักหน่วงสั่งให้กระหม่อมทำเื่ไม่ดีกับองค์หญิง...ครั้นตอนนี้ย้อนกลับไปคิดแล้ว กระหม่อมรู้สึกว่าในตอนนั้นกระหม่อมคงบ้าไปแล้วจริงๆ...เตี้ยนเซี่ย ปกติแล้วกระหม่อมเป็คนที่ควบคุมตนเองได้ ไม่ได้เป็คนเช่นนั้น เื่ในวันนั้นเป็เื่ที่คิดไม่ถึงจริงๆ...”
นางถามต่อ “หลังจากนั้นเล่า? น้องสาวทำร้ายเ้าอย่างไร? เ้าที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงเช่นนั้น จะปล่อยให้น้องสาวทำร้ายได้อย่างไร?”
คิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นเป็ปม “กระหม่อมพยายามนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นมาโดยตลอด แต่จะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก กระหม่อมกับองค์หญิงร่างกายร้อนผ่าวราวมีไฟเผา ต่อมากระหม่อมก็ถูก...ทำร้ายจนเ็ปอย่างรุนแรงถึงได้สติกลับมา จากนั้นก็เห็นว่าในมือขององค์หญิงถือมีดสั้นเอาไว้ ตัวมีดยังเปรอะเปื้อนโลหิต”
“หรือจะพูดก็คือ เหตุการณ์ใน่เวลานั้นว่างเปล่า เ้านึกไม่ออกเลย?”
“เป็เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมขอสาบานต่อฟ้า สิ่งที่กระหม่อมกล่าวออกมานั้นเป็ความจริงไม่มีความเท็จแม้แต่น้อย” น้ำเสียงของกงจวิ้นหาวหนักแน่นและเด็ดขาด
“เปิ่นกงจะตรวจสอบให้ชัดเจน เ้าวางใจเถิด” มู่หรงฉือปลอบใจอีกครั้ง
นางออกมาจากจวนเสนาบดี ฉินรั่วก็ตามขึ้นมาบนรถม้าก่อนจะถาม “เตี้ยนเซี่ยรู้สึกว่าที่คุณชายกงพูดมาทั้งหมดนั้นมีความเท็จอยู่หรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉือนั่งลงแล้วถามกลับ “เ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ฉินรั่วถอนหายใจ “หนูปี้ไม่สามารถแยกแยะได้ หนูปี้เองก็สับสนไปหมดแล้วเช่นกันเพคะ”
มู่หรงฉือเท้าศอกลงบนโต๊ะตัวเตี้ย แล้วนวดหัวคิ้ว
...
ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ท้องนภาทางทิศตะวันตกเป็สีแดงทำให้วังหลวงกลายเป็ดั่งวังของเทพเซียนที่สะท้อนประกายสีทองระยิบระยับ หลังคากระเบื้องเป็สีทองแวววาว
คนในตำหนักบูรพายุ่งอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร มู่หรงฉือสาวเท้าไวๆ มาต้อนรับมู่หรงสือกับเสิ่นจือลี่ที่หน้าตำหนัก
มู่หรงสือหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง ไม่มีแล้วกิริยามารยาท
เมื่อได้รับคำเชิญจากองค์รัชทายาทให้มาเยือนตำหนักบูรพา นางรู้สึกลิงโลด รู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นบ้างเล็กน้อย
เสิ่นจือลี่เป็คุณหนูจากตระกูลใหญ่ นางแสดงความเคารพอย่างให้เกียรติ นางไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ องค์รัชทายาทถึงได้จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญพวกนางมา แต่การเข้าวังก็หมายความว่ามีโอกาสที่นางจะได้เจอกับอวี้หวาง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องมา
ที่ตามมาติดๆ กันก็คือองค์หญิงจาวฮวา พวกนางทำความเคารพกันอีกครั้ง
มู่หรงฉางแต่งตัวอย่างงดงาม เผยความสง่างามและภาพลักษณ์ขององค์หญิงแห่งราชวงศ์ออกมา เพียงแต่เสิ่นจือลี่รู้สึกว่ามันตระการตาเกินไปอยู่บ้าง จนลดทอนความหมายและคุณค่าลงไป
มู่หรงฉือนำพวกนางเข้าไปในตำหนักใหญ่ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะอาหาร “พวกเราทานกันก่อนเถิด ไม่รอจือเหยียนแล้ว”
มู่หรงฉางหันไปมองรอบๆ อยากถามแต่กลับอดใจเอาไว้ได้ : ไม่ได้บอกว่าอวี้หวางจะมาหรือ? เหตุใดถึงไม่เห็นคนเล่า?
ดวงตาของมู่หรงฉือวาวขึ้น คลี่ยิ้มก่อนจะพูดว่า “เดิมทีอวี้หวางบอกว่าจะมา แต่เมื่อครู่มีคนมาแจ้งว่าเขามีเื่ด่วนจึงมาไม่ได้ คงจะไม่มาแล้ว”
ใบหน้าของมู่หรงฉางหม่นหมองลงด้วยความผิดหวัง
เพราะเห็นว่าอวี้หวางจะมานางถึงได้มา แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางมาที่นี่จะมีความหมายอะไร?
“น้องสาว เ้าเป็อะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือ?” มู่หรงฉือถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
“ไม่มีอะไรเพคะ” มู่หรงฉางรีบปกปิดความรู้สึกที่ไม่บังควร
คราแรกในใจของเสิ่นจือลี่ก็พองโตเช่นกันตอนได้ยินองค์รัชทายาทบอกว่าอวี้หวางจะมา หัวใจของนางเต้นแรง พวกแก้มร้อนผ่าว จากนั้นก็ได้ยินว่าเขาไม่มาแล้ว หัวใจของนางราวกับตกลงไปในหลุมลึก กระสับกระส่ายไปมาท่ามกลางสายลมรุนแรง
ความเ็ปของแต่ละคน มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้
ริมฝีปากชมพูของนางยกยิ้มขมขื่นเล็กน้อย จิตใจของนางแย่เกินไปแล้วจริงๆ แค่คำว่า ’อวี้หวาง’ สองคำก็ทำให้นางว้าวุ่นใจได้
เสิ่นจือเหยียนมาถึงเป็คนสุดท้าย เขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นสดใสมาให้ “เตี้ยนเซี่ยเชิญข้ามางานเลี้ยงมีเหตุผลอะไรหรือ?”
มู่หรงฉือยิ้มแล้วพูด “ครั้งที่แล้วไปรบกวนจวนอวี้หวางมาแล้ว ครั้งนี้ก็ให้เปิ่นกงเป็เ้าภาพบ้าง”
คนหนุ่มสาวหลายคนมาอยู่ด้วยกัน ทานอาหารไปพูดคุยหัวเราะไปโดยไม่มีอะไรมาผูกมัด เกิดเป็เสียงหัวเราะสดใสดังกังวาน
มู่หรงฉือจู่ๆ ก็ถามมู่หรงฉางขึ้นว่า “น้องสาวเ้ายังจำวันนั้นที่พวกเราเดินไปเจอสองนายบ่าวที่ถนนได้หรือไม่?”
“นายบ่าวอะไรหรือเพคะ?” มู่หรงฉางหัวสมองขาวโพลน
“ก็แม่นางเซี่ยที่จำเ้าผิดคนนั้นอย่างเล่า”
“อ้อ จำได้บ้างเพคะ เสด็จพี่ไปเจอแม่นางคนนั้นเข้าอีกหรือ?”
“ก็คงนับว่าได้เจอกันอีกกระมัง แม่นางเซี่ยนายบ่าวสองคนนั้นตายไปแล้ว” มู่หรงฉือถอนหายใจ
“หา? ตายแล้ว?” มู่หรงฉางใจนชะงักค้างไป “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงตายไปได้เล่า?”
“ถูกฆ่าตาย” เสิ่นจือเหยียนพูดออกมาอย่างเสียดาย “มาตามหาคนที่เมืองหลวงแต่กลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ ต้องจบชีวิตลงในต่างเมือง ช่างน่าสงสารจริงๆ”
“นางยังมีคนในครอบครัวกับสหายบ้างหรือไม่? ส่งคนไปแจ้งหรือยังเพคะ?” เสิ่นจือลี่เองก็รู้สึกเศร้าใจ
“ส่งคนไปแล้ว คนในครอบครัวของแม่นางเซี่ยคงจะมาเมืองหลวงเพื่อยืนยันศพ”
“ตอนแรกยังอารมณ์ดีกันอยู่ อย่ามัวแต่พูดเื่ไม่น่าดีใจพวกนี้เลยเพคะ” มู่หรงสืองอแง
“ตวนโหรวพูดถูก พวกเราพูดเื่ที่มีความสุขกันเถิดเพคะ” มู่หรงฉางรีบพูดเสริมทันที
มู่หรงฉือบอกให้พวกเขาทานกันให้มากหน่อย ในห้องจึงกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
งานเลี้ยงนี้ดำเนินไปจนถึงดึกดื่นทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป เมื่อส่งแต่ละคนกลับไปแล้วมู่หรงฉือก็นั่งรออยู่ในตำหนักใหญ่ จากนั้นฉินรั่วก็รีบร้อนเดินเข้ามารายงาน “เตี้ยนเซี่ย ได้รับเื่แล้วเพคะ”
ตอนที่มู่หรงฉางเพิ่งจะมาถึงตำหนักบูรพา ฉินรั่วก็กำลังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักจิ่งหง แจ้งนางกำนัลว่าองค์หญิงไม่ทันระวังทำเสื้อผ้าสกปรก นางจึงมาเอาชุดไปที่ตำหนักบูรพา
นางกำนัลพานางเข้าไปที่ห้องบรรทม ฉินรั่วตีนางกำนัลคนนั้นให้สลบ ก่อนจะตรวจสอบห้องบรรทมจนทั่ว
มู่หรงฉือรับขวดรูปร่างประณีตมาก่อนจะเปิดออกดม “สิ่งนี้คืออะไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้