จักรพรรดิาแห่งตระกูลหนานกงลงมืออย่างโกรธจัด คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานก็เคลื่อนไหวตามทันทีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่อาจปล่อยให้หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ลงมือกับจ้านอู๋มิ่ง บนร่างเ้าหนูคนนี้ พวกเขามองเห็นความหวังของสำนักแล้ว
ตระกูลหนานกงสร้างชื่อเสียงด้วยความเร็วตลอดมา หนานกงเจี้ยนเซ่อก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถออกจากจากเขตแดนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเลวี่ยเหวินซิว ภายใต้ความกดดันจากเขตแดนของเลวี่ยเหวินซิว ท่าร่างของหนานกงเจี้ยนเซ่อกลับช้าลงเรื่อยๆ นี่คือช่องว่างระหว่างจักรพรรดิากับปรมาจารย์นักยุทธ์ ความเร็วไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการมีเขตแดนที่แข็งแกร่ง ทุกตารางนิ้วของพื้นที่บริเวณนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตน
“ตูม!” ร่างของหนานกงเจี้ยนเซ่อถูกทุ่มลงและกระเด็นออกไป หนานกงพั่วไฮว่ก็ถูกคนร่างอ้วนเตี้ยของสำนักบริบาลเดรัจฉานขัดขวางไว้แล้วเช่นกัน
“หากตระกูลหนานกงยืนยันจะฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างสำนักบริบาลเดรัจฉานและสำนักกระบี่ิญญาให้ได้ ก็อย่าได้โทษว่าบิดาไม่เกรงใจแล้ว” เลวี่ยเหวินซิวโกรธมาก สำนักกระบี่ิญญาไร้ยางอายเกินไปแล้ว เห็นชัดว่าหนานกงฉู่ออกไปสู้ในนามตัวแทนสำนัก ทว่าพวกเขากลับจงใจปล่อยให้ตระกูลหนานกงสร้างปัญหา
“สังหารลูกหลานตระกูลหนานกงของเรา มันต้องตาย!” ดวงตาหนานกงเจี้ยนเซ่อแดงก่ำ หนานกงฉู่เป็บุตรหลานที่เขาเห็นมาั้แ่เล็กจนเติบใหญ่ เฉลียวฉลาดเปี่ยมพร์ อยู่ในตระกูลหนานกงก็นับว่าโดดเด่นมากเช่นกัน กลับต้องมาถูกจ้านอู๋มิ่งสังหารเช่นนี้ ที่น่าเกลียดยิ่งกว่าก็คือหยิบเอาแหวนจักรวาลของหนานกงฉู่ไปต่อหน้าต่อตา นี่ก็คือการสร้างความอัปยศต่อพวกเขาโดยตรง ถ้าตระกูลหนานกงไม่ฆ่าคนผู้นี้เสีย จะต้องถูกทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ เป็เื่ราวขบขันอย่างแน่นอน
“ถ้าจะโทษต้องตำหนิที่เขาเป็ตัวแทนของสำนักกระบี่ิญญา ข้าได้ไว้หน้าของสำนักกระบี่ิญญามากแล้ว เว้นชีวิตไม่เกินสามครั้ง สามคนก่อนข้าได้ยั้งมือไว้ไมตรีแล้ว ในเมื่อพวกเ้าไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นั้แ่นี้ไป จะไม่มีการละเว้นชีวิตอีก!” จ้านอู๋มิ่งจ้องเขม็งไปทางสำนักกระบี่ิญญาอย่างเ็า ชี้หัวแม่มือคว่ำลง
ต่อหน้าเหล่าผู้คนจากทั่วใต้หล้า กิริยาของจ้านอู๋มิ่งแสดงชัดเจนว่าไม่เคยเห็นบารมีนับหมื่นปีของสำนักกระบี่ิญญาอยู่ในสายตา แสดงออกถึงการดูิ่เหยียดหยามของตนต่อสำนักกระบี่ิญญา เหล่าวีรบุรุษทั่วใต้หล้ารู้สึกเพียงว่าโลหิตระอุเร่าร้อน บุตรแห่งฟ้าผู้น่าภูมิใจแห่งยุค เปรียบเทียบกันแล้ว ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าการที่ตนถูกเรียกว่าอัจฉริยะเป็เื่น่าขบขันเื่หนึ่ง พลันรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมา สมัครเข้าสำนักกลายเป็ข้ารับใช้ เพียงเพื่ออนาคตที่เป็ม่านหมอกเลือนรางราวกับภาพลวงตา เร่งรีบเดินทางมานับพันลี้ อ้อนวอนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อให้ตนได้เข้าสำนักไปฝึกฝนบ่มเพาะ หากโชคดีได้รับการคัดเลือกเข้าสำนัก กลายเป็ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็จะปลื้มปีติยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ได้แสดงการดูิ่และเหยียดหยามสำนักกระบี่ิญญาด้วยท่าทีหยิ่งผยองเป็ที่สุด
ผู้ที่สามารถถูกขนานนามว่าอัจฉริยะมิใช่ตัวโง่งม เดิมขอบเขตจิตใจของพวกเขาก็เปิดกว้างมากอยู่แล้ว ยามนี้ได้ยินคำพูดของจ้านอู๋มิ่ง ดูเหมือนพวกเขาพอจะเข้าใจความจริงบางอย่างที่แสนคลุมเครือแล้ว หาก้าเป็ผู้เก่งกล้าสามารถย่อมต้องมีหัวใจแกร่งกล้าไร้ผู้ทัดเทียม หากจิตใจครั่นคร้ามจะสูงส่งไร้เทียมทานได้เช่นไร?
สิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นที่เยี่ยนซานตั้ง อัจฉริยะจำนวนมากนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นทันที บนนภากาศปั่นป่วนพลุ่งพล่าน พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของฟ้าดิน ถึงกับมีคนหลายร้อยคนตระหนักรู้สัจจะความจริงในเวลานี้ ทะลวงด่านบรรลุระดับสูงขึ้นในทันใด คนของสำนักนิกายหลักพากันปากอ้าตาค้าง นี่คือเื่แปลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายร้อยปี ที่เหล่าอัจฉริยะที่เข้าร่วมการคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกายพากันทะลวงด่านไปพร้อมๆ กัน นำมาซึ่งความปั่นป่วนของพลังจิติญญาการต่อสู้ในเยี่ยนซานตั้ง คนเหล่านี้สงบนิ่ง มิเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง
จ้านอู๋มิ่งก็ตกตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน ไม่ทราบว่าคนเหล่านี้ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งใด กลับทะลวงด่านฉับพลันในเยี่ยนซานตั้ง ก่อนหน้านี้ เถี่ยมู่เหอทะลวงด่านอย่างฉับพลันบนถนนกลายเป็หัวข้อสนทนาที่ะเืเลือนลั่นแล้ว ครั้งนี้ถึงกับมีคนทะลวงด่านพร้อมกันทีเดียวหลายร้อยคน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คงจะต้องกลายเป็เื่ราวเล่าขานอย่างแน่นอน
“เหล่าอัจฉริยะผู้มาจากสถานที่ต่างๆ พวกเ้าคู่ควรกับความภาคภูมิใจฐานะบุตรแห่งฟ้า พวกเ้าจะกลายเป็ตำนานของแผ่นดินนี้ แต่เส้นทางสู่การเป็ผู้แข็งแกร่ง้าจิตใจที่แข็งแกร่ง การคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกาย ช่างเป็งานชุมนุมใหญ่ที่น่าขบขันมากงานหนึ่ง”
“พวกเราเป็บุตรแห่งฟ้า มิใช่ผักเขียวหัวผักกาดที่มีอยู่ดาษดื่น พวกเรามีจิตใจของผู้แข็งแกร่งที่ไร้ผู้ต่อกร ตั้งสัตย์ปฏิญาณก้าวเดินในเส้นทางผู้ไร้เทียมทาน ความเย่อหยิ่งของอัจฉริยะไม่อนุญาตให้พวกเราร้องขอสำนักนิกายให้มอบห้องพักซอมซ่อราวห้องเก็บฟืนให้พวกเราดังเช่นขอทาน แล้วพวกเราก็ติดตามพวกเขาด้วยความพึงพอใจและเหยียบย่ำความทระนงตนของอัจฉริยะ…”
“ข้าจ้านอู๋มิ่ง ไม่เคยคิดว่าอัจฉริยะในสำนักนิกายจะมีสิ่งใดแตกต่างจากพวกเรา ต่อให้มีความแตกต่างก็เป็เพราะความทุ่มเทพยายามที่แตกต่างกันในเส้นทางของการบ่มเพาะ ดังนั้นข้า จ้านอู๋มิ่งจึงขอให้สำนักบริบาลเดรัจฉานเปิดประตูสำนักให้ข้า ทำพิธีไหว้อาจารย์รับข้าเป็ศิษย์อย่างเป็ทางการ เนื่องจากข้าปฏิเสธการกระทำที่ดูิ่เหยียดหยามอัจฉริยะ ข้าโชคดียิ่งนัก ที่สำนักบริบาลเดรัจฉานมองการณ์ไกลสามารถแยกแยะบุคคล ให้การยกย่องที่ข้าสมควรได้รับ นี่จึงเป็สำนักที่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ สำนักที่คู่ควรแก่การเข้าพึ่งพิง แต่ว่าทุกคนลองดูที่สำนักกระบี่ิญญาสิ ช่างน่าขันแค่ไหน หนานกงฉู่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งบนรายชื่อแผ่นป้ายทอง ท้าสู้กับข้าในนามศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา สุดท้ายต่อสู้จนเสียชีวิต แต่สำนักกระบี่ิญญากลับเงียบเหมือนเป่าสาก หรือบางทีไม่้ารักษาคำมั่นสัญญา กลับยัง้าให้ตระกูลหนานกงออกหน้าแทน นี่เป็สำนักที่น่าขบขันเพียงใด เหล่าบรรดาวีรบุรุษทั่วหล้า พวกเ้ายินดีติดตามสำนักประเภทนี้ เพื่อเดินเข้าสู่เส้นทางของผู้แข็งแกร่งเช่นนั้นหรือ? ยินดีติดตามสำนักที่ไม่มีความสามารถที่จะทำให้พวกเ้าก้าวสู่เส้นทางของผู้กล้าแข็ง ไม่สามารถทำให้ความใฝ่ฝันที่จะเป็ผู้ไร้เทียมทานกลายเป็ความจริงได้เช่นนั้นหรือ?”
“ย่อมไม่อย่างเด็ดขาด พวกเราจะกลายเป็คนที่ถูกทั่วหล้าหัวเราะเย้ยหยัน กลายเป็ก้อนหินรองฝ่าเท้าให้ผู้อื่น พวกเขาจะเหยียบอยู่บนซากศพ กองกระดูกของพวกเ้าและร้องะโให้ญาติสนิทมิตรสหายของพวกเ้าฟัง สำนักที่พวกเ้า้าพึ่งพิง ได้แต่ยืนดูเื่ตลกอย่างเงียบๆ อยู่ด้านข้างเท่านั้น รอให้คนในตระกูลแก้แค้นให้พวกเ้าแล้วก็ปล่อยให้ตระกูลของพวกเ้าล่มสลายตลอดไป กลายเป็ทัพหน้าที่จะถูกจัดการก่อนเป็กลุ่มแรก…นี่ก็คือบทสรุปจุดจบของพวกเ้า!”
พลันจ้านอู๋มิ่งกล่าวะโเสียงดังขึ้น ความหมายลึกซึ้งของเขาแทบแผ่กระจายไปทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้ง
มิมีผู้ใดคิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะใช้ไม้นี้อย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่สำนักกระบี่ิญญาจะรับมือไม่ทัน แม้กระทั่งสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ยังมิทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ถึงแม้คำพูดนี้จะยกระดับของสำนักบริบาลเดรัจฉาน แต่เลวี่ยเหวินซิวลอบพูดว่าไม่ได้การ นี่คือการล่วงเกิน ทำให้สำนักกระบี่ิญญาขุ่นเคืองและจนตรอก!
ไม่ว่าสำนักไหนก็รับการพูดจาโจมตีแบบนี้ของจ้านอู๋มิ่งไม่ได้ เดิมสำนักกระบี่ิญญากับจ้านอู๋มิ่งก็ไม่สามารถประนีประนอมกันได้อยู่แล้ว แม้ว่าคำพูดของจ้านอู๋มิ่งจะพูดได้ใกล้เคียงกับความเป็จริง แต่ก็มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นสำนักกระบี่ิญญาให้กระทำในสิ่งที่สุดโต่ง หากสถานการณ์ควบคุมไม่ได้ ต้องเผชิญหน้ากับสำนักกระบี่ิญญาและจักรพรรดิาทั้งสองแห่งตระกูลหนานกง ด้วยกำลังสำนักบริบาลเดรัจฉานที่มาในครั้งนี้ ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องจ้านอู๋มิ่งได้จริงๆ ดังนั้นพอได้ยินคำพูดที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวออกมา เลวี่ยเหวินซิวก็ทราบทันทีว่าเื่ราวกำลังจะเลวร้ายลง
สำนักนิกายอื่นๆ ล้วนตกตะลึง นี่ยังจะต้องมาเดือดร้อนไปพร้อมกับสำนักกระบี่ิญญาด้วย ไฟไหม้ประตูเมือง เดือดร้อนลามถึงปลาในบ่อน้ำจริงๆ แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งพุ่งเป้าสำคัญไปที่สำนักกระบี่ิญญา มองในอีกแง่มุมหนึ่ง คำพูดที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาทั้งหมดมีเหตุผลอย่างยิ่ง เหล่าบรรดาอัจฉริยะที่มาจากสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน มีอยู่จำนวนมากที่โดดเด่นและคุณสมบัติสูงล้ำกว่าศิษย์ของสำนักนิกายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ทะลวงด่านอย่างฉับพลันในที่นี้ คุณสมบัติของจิติญญาและความหยั่งรู้ของพวกเขา ทำให้แต่ละสำนักนิกายหลักพากันประหลาดใจ ดังนั้นถึงแม้ว่าจ้านอู๋มิ่งจะพูดเช่นนั้น แต่พวกเขามิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด ทั้งยังคงรู้สึกชื่นชมต่อจ้านอู๋มิ่ง
อารมณ์ของคนในสำนักกระบี่ิญญาแบ่งเป็สองประเภท ประเภทหนึ่งคือโกรธเคืองและบ้าคลั่ง ผู้ที่มีอารมณ์เช่นนี้คือผู้าุโของสำนักกระบี่ิญญาและฝ่ายรับสมัครศิษย์ อารมณ์อีกอย่างหนึ่งคือละอายใจและสำนึกเสียใจ อารมณ์เช่นนี้ปรากฏบนใบหน้าของผู้ที่เพิ่งจะผ่านการทดสอบของสำนักกระบี่ิญญา มีคุณสมบัติในการเป็ศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา คำพูดของจ้านอู๋มิ่งััเข้าถึงจิตใจของพวกเขา พวกเขายังมิได้เกิดความรู้สึกร่วมกันเป็หนึ่งกับสำนักกระบี่ิญญา และรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งต่อการแสดงออกของสำนักกระบี่ิญญาในวันนี้ หลังจากจ้านอู๋มิ่งพูดจบ ภายในจิตใจของบางคนกลับเริ่มเกิดจิตมารขึ้นมาบ้างแล้ว ความรู้สึกที่ไม่เห็นพ้องกับสำนักกระบี่ิญญา ทำให้ขอบเขตในจิตใจพวกเขาเริ่มสับสนปั่นป่วน
“เลวี่ยเหวินซิว สำนักบริบาลเดรัจฉานของเ้าสอนให้เขาพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? หวังว่าสำนักบริบาลเดรัจฉานจะให้คำอธิบายแก่พวกเรา ใส่ร้ายป้ายสีสำนักกระบี่ิญญาเช่นนี้ พวกเ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” เจิงฉู่ไฉไม่ได้โจมตีจ้านอู๋มิ่งโดยตรง หากเขาเข้าไปหาจ้านอู๋มิ่งในยามนี้ ความอับอายจะต้องแปรเปลี่ยนเป็โทสะแล้ว
เจิงฉู่ไฉก็เป็จิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กลับหาเหตุผลขึ้นมาได้ เคลื่อนตัวมาขวางไว้เบื้องหน้าเลวี่ยเหวินซิว และจักรพรรดิาอีกสองคนของสำนักกระบี่ิญญาก็แยกย้ายกันขัดขวางศิษย์พี่และศิษย์น้องสองคนของเลวี่ยเหวินซิวไว้
ทุกอย่างเหมือนจะคำนวณล่วงหน้ามาเป็อย่างดี ยามกะทันหันจักรพรรดิาทั้งสามของสำนักบริบาลเดรัจฉานปลีกตัวไม่ได้ขึ้นมาทันที แต่ว่าสำนักกระบี่ิญญามิได้คิดจะเปิดศึกระหว่างสองสำนักขึ้นมาแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้ข้ออ้างเพื่อขัดขวางทั้งสามคนไว้เท่านั้น แต่พวกมันกลับเปิดโอกาสให้หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ได้มีโอกาสลงมือ
ไม่มีการขัดขวางของเลวี่ยเหวินซิวแล้ว หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ไหนเลยจะยอมละเว้นจ้านอู๋มิ่ง พวกมันคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง เหินไปทางจ้านอู๋มิ่ง “มอบชีวิตมา!”
เกิดจิตสังหารขึ้นในเยี่ยนซานตั้ง ตระกูลหนานกงบันดาลโทสะแล้ว ทุกคนล้วนเห็นความไร้ยางอายของสำนักกระบี่ิญญาแล้ว ถึงแม้จักรพรรดิาทั้งสามของสำนักกระบี่ิญญาจะอ่อนด้อยกว่าของสำนักบริบาลเดรัจฉานอยู่บ้าง แต่พวกมันเพียงขัดขวางไม่ให้ทั้งสามคนไปช่วยจ้านอู๋มิ่งเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อแลกชีวิตให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นจึงได้แต่ทำตัวสบายๆ
“พวกเ้ากล้า!” เลวี่ยเหวินซิวโกรธจัด ฟาดฝ่ามือคราหนึ่ง พลังจิติญญาการต่อสู้อันรุนแรงสายหนึ่งพุ่งไปทางหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่
“คนคลั่งเฒ่า เ้ายังไม่ได้ให้คำตอบข้า อย่าได้คิดไปสนใจเื่อื่น!” เจิงฉู่ไฉก็ลงมือแล้ว มันฟาดฝ่ามือ ฝืนสกัดพลังจิติญญาการต่อสู้ของเลวี่ยเหวินซิวที่ฟาดออกไว้ได้ พลังของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ะเิออกกลายเป็ลมพายุคลั่งอย่างรุนแรง เจิงฉู่ไฉถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลังยุทธ์ของเลวี่ยเหวินซิวสูงกว่าพลังต่อสู้ของเจิงฉู่ไฉจริงๆ
ร่างหนานกงเจี้ยนเซ่อหยุดชะงักคราหนึ่ง จากนั้นลงมือต่อ คิดไม่ถึงว่าเลวี่ยเหวินซิวถูกกันไว้ด้วยเจิงฉู่ไฉแล้ว แต่กลับยังขัดขวางมันได้จริงๆ
“คิดสังหารข้า ไม่ง่ายดายเช่นนั้น!” จ้านอู๋มิ่งมองดูหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ที่กำลังเหินเข้ามา หัวเราะเสียงเ็าคราหนึ่ง เขาหยิบหม้อดินเผาหลายใบออกจากอกเสื้อ โยนขึ้นไปบนท้องฟ้า หม้อดินเผาะเิขึ้นออกกลางอากาศ ทันใดนั้นกลิ่นแปลกๆ ชนิดหนึ่งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้ง
กลิ่นอายประหลาดกลางท้องฟ้าเพิ่งกระจายออก จ้านอู๋มิ่งก็ะโลงไปในทะเลสาบบนูเา รวดเร็วถึงสุดขีด ชั่วขณะที่ท่าร่างของหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ถูกเลวี่ยเหวินซิวหยุดไว้ เขาก็ลงไปในน้ำแล้ว ในเวลาเดียวกันนี้ เสียงคำรามต่ำของสัตว์อสูรก็ดังแว่วมาจากในหุบเขา
หนานกงเจี้ยนเซ่อทะยานอีกครั้ง กลับแปลกใจที่พบว่าสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว พาหนะของเจิงฉู่ไฉคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง พุ่งเข้าชนใส่ตนทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวเป็สัตว์อสูรจิติญญาระดับราชันาขั้นสูงสุด หลังจากถูกเจิงฉู่ไฉฝึกจนเชื่องเชื่อแล้วก็เป็พาหนะของเขามาตลอด เป็ผู้ช่วยที่ดีที่สุด ในสายตาของลูกศิษย์สำนักกระบี่ิญญา สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวก็เหมือนเช่นอาจารย์ลุง อาจารย์อาก็มิปาน หนานกงเจี้ยนเซ่อคิดไม่ถึงว่าฉับพลันนั้นสัตว์อสูรตัวนี้จะลงมือกับตน
“ตูมมม!” ร่างหนานกงเจี้ยนเซ่อถูกชนกระเด็นออกไป ข้อได้เปรียบมากที่สุดของสัตว์อสูรก็คือความแข็งแกร่งของร่างกาย สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวระดับราชันาขั้นสูงสุดเกรงว่าจักรพรรดิาขั้นต้นระดับทั่วไปยังต้องล่าถอยให้มัน สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวพลันอาละวาดขึ้นมา โจมตีในระยะกระชั้นชิด หนานกงเจี้ยนเซ่อถูกโจมตีจนตะลึงงันไปแล้ว ยังมิตรวจสอบให้ชัดเจนก็ถึงกับได้รับาเ็มิน้อยเลย
ขณะฝูงชนตะลึงงัน ไม่รู้จะทำเช่นไร สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมุดหัวพุ่งลงไปลอยตัวอยู่ในทะเลสาบ ได้ยินเสียงกู่ยาวๆ ครั้งหนึ่ง ร่างหนึ่งะโขึ้นจากน้ำนั่งลงบนหลังสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว กลับเป็จ้านอู๋มิ่ง!
คนของสำนักกระบี่ิญญาล้วนตะลึงแล้ว เจิงฉู่ไฉและคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานเองก็ด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวของเจิงฉู่ไฉ หลังจากโจมตีใส่หนานกงเจี้ยนเซ่อ กลับให้จ้านอู๋มิ่งขึ้นนั่งและวิ่งหนีไปแล้ว
“เหล่าพวกตัวโง่งมตระกูลหนานกง ทั้งหมดนี้เป็ข้อตกลงกันระหว่างผู้าุโเจิงกับข้า เขาทราบแต่แรกแล้วว่าตระกูลหนานกงของพวกเ้าจะต้องไม่เต็มใจส่งอัจฉริยะที่ดีที่สุดให้สำนักกระบี่ิญญา ต่อให้ส่งมาที่สำนักกระบี่ิญญาก็ต้องมีเจตนาแอบแฝงซ่อนเร้น เลยยืมมือข้ากำจัดหนานกงฉู่เสีย เสียดายที่ท่านปู่ของข้า จิตใจไม่โเี้เท่าตาเฒ่าผู้นี้ กลับคิดข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานทิ้ง……สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวตัวนี้ ผู้าุโเจิงมอบให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าจะไปแล้ว…” เสียงจ้านอู๋มิ่งแว่วมาแต่ไกล
“จ้านอู๋มิ่ง ข้าจะต้องฆ่าเ้า!” หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่คับข้องใจยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันสายตาที่พวกเขามองเจิงฉู่ไฉก็เปลี่ยนไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้