การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ใครจะไปคาดคิดว่าคำพูดที่โกรธเคืองของศิษย์คนนั้น จะทำให้เขาถูกสังหารและต่างนึกไม่ถึงว่าหวังซิงเฉินจะกล้าลงมือฆ่าคน!
“หลี่อวิ๋น!”
ศิษย์คนหนึ่งะโขึ้นอย่างโกรธเคือง
พวกถังอีิและฉู่เยว่ฉานได้สติกลับมา ทั้งหมดต่างมองไปทางฉินอวี่ แม้แต่ฉู่สยงก็รู้สึกตัวกลับมาแล้ว ดวงตาของเขามองตรงไปด้วยความโกรธและเคียดแค้น เขาจ้องตรงไปทางฉินอวี่ กระบี่หนักในมือเริ่มขยับทันที
คนที่ฉินอวี่สังหารเป็หนึ่งในผู้สร้างค่ายกลชุมนุมเจ็ดดารา เมื่อถูกสังหารไปหนึ่งคน นั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่สามารถเรียกใช้พลังค่ายกลชุมนุมเจ็ดดาราได้ เื่นี้เป็สาเหตุให้ฉู่สยงยอมโจมตีอย่างสุดชีวิต!
ศิษย์ที่เหลืออยู่หกคนต่างเรียกอาวุธของตนเองออกมา จ้องมองฉินอวี่อย่างโกรธเคือง ทุกคนต่าง้าทุบฉินอวี่ให้กลายเป็เถ้าถ่าน
ฉินอวี่เมินเฉยต่อแรงแค้นของคนเ่าั้ และค่อยๆ เข้ามายังศพของศิษย์ที่ชื่อหลี่อวิ๋น พลางดึงหอกศึกออกจากร่างของเขา ทำให้เืพุ่งออกมาทันที จากนั้นฉินอวี่ก็เหลือบมองฉู่สยง พลันพูดอย่างเฉยชา “ตายไปคนหนึ่งคงไม่มีผลอะไรกับเ้าหรอกใช่หรือไม่?” พูดจบ ฉินอวี่ก็กำหอกของเขาและหันหลังกลับ เดินตรงไปทางฉือเซียว
พลังแห่งความเคียดแค้นปรากฏในดวงตาของฉู่สยง คำพูดของฉินอวี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังบอกว่า “ตายไปคนหนึ่งคงไม่มีผลกระทบอะไรกับฉู่สยง อย่างไรก็ยังมีคนอื่นอยู่ แต่หาก้าจะต่อสู้อีกเมื่อใด ข้าก็พร้อมเสมอ แต่คงไม่ได้ตายอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน”
“ศิษย์พี่ฉู่ ฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้หลี่อวิ๋นเถอะ!” ศิษย์คนหนึ่งะโอย่างโกรธเคือง หากไม่ต้องรอคำสั่งของฉู่สยง เขาคงพุ่งออกไปนานแล้ว
ทุกสิ่งดูเหมือนจะปะทุขึ้นทันที
แต่ใบหน้าของฉู่สยงดูไม่แน่ใจนัก ในใจของเขากำลังดิ้นรนและชั่งน้ำหนัก เขายกมือข้างซ้ายขึ้นห้ามศิษย์คนนั้น ชำเลืองมองฉือเซียวที่อยู่ไกลออกไป พลางกัดฟันพูดขึ้น “ต่อให้หนีไปได้ในตอนนี้ สุดท้ายก็ไม่มีวันหนีพ้น เื่ของหลี่อวิ๋นข้าไม่ยอมแน่นอน! แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้! จงจำเป้าหมายที่เราเข้ามาที่นี่ให้ดี อย่าให้เื่นี้ทำลายแผนการใหญ่!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉู่สยงในตอนนี้ก็แทบจะะเิอารมณ์ออกมาแล้ว ไม่ใช่เพราะการตายของหลี่อวิ๋น แต่เป็เพราะถูกฉินอวี่ยั่วยุและข่มขู่ ทั้งนี้เพื่อสิ่งที่อยู่ในส่วนลึก เขาจึงต้องอดทนเอาไว้ อีกทั้งยังต้องปลอบโยนศิษย์คนอื่นๆ ไม่เช่นนั้น ก็จะมีแต่ทำให้สถานะของเขาลดลงมากยิ่งขึ้น
ความหมายในคำพูดของเขาคือ “ทุกอย่าง เอาไว้พูดกันใหม่หลังเสร็จสิ้นเื่ในแดนขัดเกลา”
เป็ไปตามที่คาดไว้ ศิษย์คนอื่นๆ ต่างระงับความโกรธลงเช่นกัน หากต่อสู้กันขึ้นมาตอนนี้ ลำพังแค่หวังซิงเฉินก็ยังไม่เท่าไร แต่เมื่อมีฉือเซียวคอยจ้องอยู่ด้านข้าง ถ้าเกิดการต่อสู้กันจริง ผลที่ตามมาคงเป็ความหายนะ เมื่อถึงตอนนั้น ก็คงไม่ต้องพูดถึงการเดินทางเข้าไปในส่วนลึก
ฉู่เยว่ฉานที่กำลังนิ่งเงียบได้มองไปยังฉินอวี่ที่กำลังค่อยๆ จากไป ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายลึกล้ำ นางมีจิตใจงดงาม แม้จะมีประสบการณ์น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้อะไรเลย
ฉู่เยว่ฉานรู้จักฉู่สยงเป็อย่างดี แม้ว่าฉู่สยงจะเป็คนที่ดูเป็กันเอง แต่ในใจของเขาช่างลึกล้ำ นางคิดไม่ถึงว่าหวังซิงเฉินผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะกล้าสังหารศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งต่อหน้าฉู่สยง แต่กลับยังถอนตัวออกไปเช่นนี้ด้วย สิ่งนี้ทำให้ฉู่เยว่ฉานแปลกใจยิ่งนัก คิดว่าหวังซิงเฉินผู้นี้คงจะพบเห็นอะไรมามากแล้ว จึงได้มีความรู้สึกบางอย่างต่อฉู่สยง และกล้าสังหารคนต่อหน้าเขาเช่นนี้
นี่เขาเป็คนฉลาดแกมโกงจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลี่อวิ๋นผู้นั้นด่าว่าบุพการีของเขา เื่นี้ทำให้ฉู่เยว่ฉานรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง
ถังอีิมองฉินอวี่ที่กำลังเดินออกไปด้วยความประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงเลยว่าหวังซิงเฉินที่ยังรู้จักไม่นานคนนี้จะกล้าบีบให้ฉู่สยงศิษย์อันดับเก้าของศิษย์อัจฉริยะต้องยอมแพ้ ดูเหมือนว่า หวังซิงเฉินผู้นี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เขาคงจะมีผู้แข็งแกร่งในสำนักรับเป็ศิษย์แล้ว ไม่เช่นนั้น เขาจะกล้ายั่วยุฉู่สยงหรือ?
ถังอีิที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าฉู่สยงกำลังมองมาที่เขา ทำให้เขาใพลางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที แต่เขาก็ไม่ลังเลใจอะไรมากนัก พยักหน้าเบาๆ ตอบกลับไป
ทันใดนั้นฉู่สยงก็มองไปยังฉินอวี่ด้วยสายตาที่มืดมน จากนั้นก็มองไปทางศิษย์สองคนที่มาพร้อมกับถังอีิ!
ฉินอวี่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความคิดของพวกฉู่สยงมากนัก เขาไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น แม้กระทั่งเขาก็สามารถถูกคนวางแผนทำร้ายได้ แต่หากแตะต้องสิ่งต้องห้ามของเขาเมื่อใด ฉินอวี่ก็จะตอบโต้กลับอย่างเรียบร้อยและสาสม
ฉือเซียวยังคงมองฉินอวี่ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ ท่าทีของเขายังคงสงบนิ่ง แต่กลับมีรอยยิ้มและคำชื่นชมแฝงอยู่ในดวงตา
หากเอ่ยมาไม่ดี ก็ออกห่างเสียดีกว่า!
สมกับที่เป็ศิษย์ของอาจารย์
หากพูดถึงก่อนหน้านี้ ฉือเซียวก็ยังคงมีความสงสัย แต่ในตอนนี้ เขาแน่ใจยิ่งนักว่าหวังซิงเฉินเป็ศิษย์ของอาจารย์ ด้วยนิสัยและอารมณ์ของเขาเช่นนี้เทียบกับอาจารย์ได้เลยทีเดียว!
หลายปีมานี้ ฉือเซียวไม่มีสหายอยู่เลย ไม่ใช่เพราะเขาทำตัวสูงส่ง หรือไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่ด้วยนิสัยของฉือเซียวได้รับอิทธิพลมาจากเลี่ยเอ๋า นั้นคือบุคลิกที่สุดขั้ว เ็า และเย่อหยิ่ง รวมถึงมักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง หากไม่ใช่เพราะจี้เปลวอัคคี ฉือเซียวก็คงไม่คิดจะเชิญฉินอวี่มาด้วยกันแน่นอน
ทันใดนั้น ฉือเซียวก็ชำเลืองมองฉินอวี่อย่างเฉยเมย และพูดขึ้น “เ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจเพียงชั่ววูบหรือ?”
ฉินอวี่หันมองฉือเซียว และพูดไปเบาๆ “หากมีใครสักคนมาสะกิดจุดต้องห้ามของศิษย์พี่ฉือ ศิษย์พี่ฉือจะยอมอดกลั้นไว้หรือไม่?”
“ต้องฆ่า!” ฉือเซียวตอบกลับไปทันที แต่เมื่อพูดออกไปเขาก็เหมือนตกตะลึง พลางเหลือบมองฉินอวี่ และพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ ฉือเซียวก็เป็เหมือนเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำพุ่งตรงเข้าในส่วนลึกทันที การกระทำของเขาดูเหมือนกำลังทดสอบพละกำลังของฉินอวี่
ฉินอวี่รีบตามไปทันที แต่ความกดดันของพลังที่เขาต้องเผชิญกลับสูงมากขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่และในตอนนี้โอสถเลี่ยงอัคคีก็เริ่มสูญเสียฤทธิ์ของมันแล้ว
“คนกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเองแบบเขา รอให้ออกไปจากแดนขัดเกลาเมื่อไร ข้าจะสังหารให้สิ้นซาก!” ศิษย์คนหนึ่งที่มองฉินอวี่จากออกไปได้พูดขึ้นมาอย่างเหลืออด
ฉู่สยงยังไม่ได้พูดอะไรออกไปได้แต่จ้องตรงไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่สั่นไหว ขณะที่ถังอีิกำลังชำเลืองมองไปทางฉู่สยง เขาก็ใช้โอกาสนี้พูดขึ้น “ศิษย์น้องทุกคน ข้าขอแนะนำให้เ้ารู้จัก นี่คือหลัวเซี่ยวและอู๋เจ๋อ พวกเ้าก็ทำความรู้จักกันไว้ ตอนนี้ พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”
ในขณะที่อุณหภูมิในพื้นที่เริ่มสูงขึ้นจนทำให้ฤทธิ์ของโอสถเลี่ยงอัคคีเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เปลวไฟอันมืดมัวก็ปรากฏขึ้นมาจากร่างกายของฉินอวี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ฉินอวี่ได้ปกปิดเพลิงแอ่งธรณีของตนเองเอาไว้ แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉือเซียว เขาจึงไม่จำเป็ต้องปกปิดอีก
เมื่อทั้งสองคนได้เข้ามาถึงส่วนลึกในพื้นที่ต้องห้าม ฉือเซียวก็หยุดลง เขายังคงเปลือยกายท่อนบน ราวกับว่าอุณหภูมิที่อยู่โดยรอบไม่มีผลต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าให้เ้า เอาไว้ดื่มสิ!” ฉือเซียวมองไปยังพื้นที่ซึ่งกำลังร้อนระอุอยู่ตรงเบื้องหน้า เขาหยิบน้ำเต้าสีครามออกมา และยื่นมันให้กับฉินอวี่
ฉินอวี่รับเอาไว้ ทันทีที่เขาถอดจุกไม้ออก ความรู้สึกถึงคาวเืก็พุ่งเข้าหาทันที เขารู้สึกได้ถึงพลังอัคคีที่อยู่ในน้ำเต้าสีครามก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “ขอบคุณมาก”
“หาที่พักฝึกฝนเถอะ อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไปหาเ้า” ฉือเซียวพูดจบ ก็ตรงเข้าไปในส่วนลึกโดยลำพัง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นภายใต้หน้ากากของฉินอวี่ ดูเหมือนว่าฉือเซียวคงจะคิดว่าตนเองเป็ศิษย์ของเลี่ยเอ๋าจริงๆ แต่ถึงอย่างไร เลี่ยเอ๋าได้สอนวิชาเกี่ยวกับข้อบังคับให้กับตนเองแล้ว หากจะว่าไปแล้ว ตนเองนับว่าเป็ศิษย์ของเลี่ยเอ๋าไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ฉินอวี่ระงับความคิดเอาไว้ จากนั้นจึงเลือกสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง และเรียกเพลิงแอ่งธรณีขึ้นปกคลุมกาย เพื่อต้านทานกับอุณหภูมิรอบตัว จากนั้นฉินอวี่ก็เริ่มดูดซับเืของอสูรร้ายที่ได้มาจากฉือเซียว
ต้องบอกเลยว่า เืที่ฉือเซียวเก็บรวบรวมมานั้นส่วนมากจะเป็ของอสูรร้ายระดับสี่ขั้นสูงสุด และยังมีพลังอัคคีอยู่อย่างเข้มข้นเป็พิเศษ
เมื่อเืไหลลงไปในท้อง เพลิงแอ่งธรณีก็กลืนกินพลังอัคคีอย่างบ้าคลั่ง ส่วนพลังปราณที่ปะปนอยู่ในเืก็ถูกฉินอวี่ดูดซับเข้าสู่ร่างกาย
น้ำเต้าสีครามมีพื้นที่ภายในมากกว่าน้ำเต้าหยกของฉินอวี่ถึงสิบเท่า เืที่บรรจุอยู่ภายในจึงมากมายเหมือนทะเลสาบ และไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าฉือเซียวได้สังหารอสูรร้ายเพื่อรวบรวมเืของพวกมันมาทั้งหมดกี่ตัวแล้ว
เมื่อฉินอวี่กลืนเข้าไปได้สิบส่วน เพลิงแอ่งธรณีที่ไร้ก้นบึ้งก็ยังคงสูบกินอย่างบ้าคลั่ง
ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ เมื่อรวมกับเือสูรร้ายที่เก็บรวบรวมมาได้ก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่าเพลิงแอ่งธรณีได้ดูดซับเือสูรร้ายไปเกือบห้าสิบตัวแล้ว และพลังอัคคีที่อยู่ภายในนั้นก็ควรจะเพียงพอที่จะทำให้เพลิงแอ่งธรณีอิ่มได้จึงจะถูกต้อง
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ทึ่งยิ่งกว่านั้นคือ รูปร่างภายนอกของเพลิงแอ่งธรณีนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้แต่รูปร่างของมันก็ยังคงมีขนาดเท่ากำปั้นอยู่เช่นเดิม แต่พลังของมันได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว
“ข้าอยากรู้นักว่าจะดูดซับไปได้สักเท่าไร! ฉินอวี่กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
เมื่อเืในน้ำเต้าสีครามถูกดื่มไปเกินกว่าครึ่ง มันก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเช่นเดิม
เมื่อเืในน้ำเต้าสีครามลดลงมาถึงจุดต่ำสุด ร่างกายของฉินอวี่ก็เต็มไปด้วยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว พลังปราณและเืลมในร่างกายก็ควบแน่นจนถึงจุดสูงสุด หากไม่เกิดการสลายไป เกรงว่าร่างกายคงต้องะเิออกเป็แน่
เพียงแต่ แม้ว่าเพลิงแอ่งธรณียังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ฉินอวี่ก็สามารถััได้ถึงพลังของเพลิงแอ่งธรณีที่ได้เพิ่มถึงขีดสุดแล้ว และเริ่มมีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย
“สู้!” ฉินอวี่กัดฟัน และดื่มเืในน้ำเต้าสีครามต่อไป!
ร่างกายของฉินอวี่เริ่มขยายตัวออก พลังที่แข็งแกร่งแทบจะปะทุออกจากร่างของเขา ทำให้ตอนนี้เพลิงแอ่งธรณีที่อยู่ในท้องน้อยของเขาได้เคลื่อนกลับไปยังจุดตันเถียน ราวกับว่ามันได้รับพลังอัคคีที่เพียงพอแล้ว!
“ไม่ได้การแล้ว พลังของพลังปราณนี้แข็งแกร่งเกินไป!”
ฉินอวี่ใช้การเปลี่ยนแปลงในขั้นที่หนึ่งของวิชาปีศาจคลั่งทันที เพื่อทำการเผาผลาญพลังของพลังปราณโลหิตที่มีอยู่รอบร่างกาย
แต่เมื่อไม่ได้รับาเ็ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของวิชาปีศาจคลั่งก็จะเชื่องช้าเป็พิเศษ!
“ไม่ได้ หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพลังของปราณเหล่านี้ในระยะเวลาอันสั้นได้ ร่างต้องแตกออกแน่นอน! หากฉือเซียวอยู่ตรงนี้ก็คงดี ขอเพียงเขาโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง มันก็จะช่วยเื่การใช้งานได้มาก แต่ตอนนี้...”
“ช่างมันเถอะ ข้าจะใช้พลังนี้เข้าโจมตีสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง และกลั่นไข่มุกโลหิต!”
ไข่มุกโลหิตเป็สัญลักษณ์ของการเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง เป็ต้นแบบของโอสถโลหิตในขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สาม และโอสถโลหิตนี้จะเป็ต้นแบบของกุมารทิพย์ต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว จะมีสองวิธีการที่ใช้ศึกษาและอธิบายเื่ของขั้นเทียนชุ่ย ประการที่หนึ่งคือการหลอมไข่มุกโลหิตขึ้นมาจากพลังของฟ้าดิน เมื่ออุณหภูมิของการหลอมพลังฟ้าดินลดลงระดับหนึ่งแล้ว ร่างกายก็จะควบรวมพลังนั้นออกมาเป็ไข่มุกโลหิตชนิดหนึ่ง
อีกวิธีการหนึ่งคือใช้พลังปราณหลอมร่างกาย ก็สามารถหลอมรวมไข่มุกโลหิตออกมาได้เช่นกัน!
แม้ว่าจะมีสองวิธีที่ช่วยให้เข้าถึงขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนมักจะเลือกวิธีแรก การนำพลังฟ้าดินมาทำการหลอมรวมจะช่วยให้รากฐานการฝึกในอนาคตดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้หลอมโอสถโลหิตออกมาได้อย่างราบรื่น ท้ายที่สุดก็จะแปลงจากโอสถเป็กุมาร และเข้าสู่ขั้นกุมารทิพย์
เมื่อใช้พลังของเืลมเหล่านี้ก็มีทั้งข้อดีแล้วข้อเสีย ข้อดีคือมันสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนข้อเสียคือการพัฒนาของระดับฝึกฝนในอนาคตจะมีความยากมากขึ้น เช่นการพัฒนาจากโอสถไปเป็กุมาร หรือแม้แต่การเข้าสู่ขั้นเทพ์ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เป็เพราะจำเป็้าสลายสิ่งเจือปนที่ผสมอยู่ในเือสูรร้ายเสียก่อน
ดังนั้นจึงไม่มีใครที่ยอมเสียประโยชน์ของการฝึกฝนในอนาคตเพื่อประโยชน์ในระยะสั้น
“เดี๋ยวก่อน!”
“ในอดีตมีการหลอมสายเืออกมาจากเือสูรร้าย ดังนั้น หากข้าใช้สายเืและชีพจรปราณมาหลอมไข่มุกโลหิตจะได้หรือไม่? เช่นสายเืของหยาจื้อ?”
หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รับสายเืของหยาจื้อไว้ ฉินอวี่ก็คงต้องใช้พลังสายเืของอสูรร้ายยกระดับการฝึกฝนให้เข้าถึงระดับสูงสุดของขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้พลังของฟ้าดินหลอมไข่มุกโลหิต
แต่เมื่อได้รับเืของอสูรร้ายที่มีสายลือดของหยาจื้อมาแล้ว ทำให้ฉินอวี่เริ่มมีความคิดบ้าๆ ขึ้นมาทันที
“หากไม่สำเร็จ ก็แค่การพัฒนาระดับฝึกฝนในอนาคตของข้าจะช้าลง แต่หากสำเร็จ ข้าก็จะได้รับสายเืของหยาจื้อ และใช้พลังปีศาจคลั่ง เข้าหลอมเปลี่ยนสายเืนั้น! สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เมื่อเวลาผ่านไป ข้าจะสามารถอาศัยพลังของสายเืหยาจื้อหลอมกระบี่ัขึ้นมาได้!”
“ดาบัที่มีพลังของัา!”
ดวงตาของฉินอวี่ส่องประกายความแน่วแน่ออกมา และไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงนำเือสูรร้ายสายเืหยาจื้อออกมา
และกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
