ความตกตะลึงบนใบหน้าของซูฉางอันทำให้ตู้หงฉางรู้สึกสาแก่ใจได้อย่างประหลาด
แต่เพียงไม่นาน ความสาแก่ใจนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหัวอกเดียวกันอาจเพราะเข้าใจบางอย่างในที่สุด ตู้หงฉางจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณชายซูรู้ข่าวหรือไม่งานแต่งของเป่ยหงฉางกับลูกสาวของซือหม่าสวี่ถูกเลื่อนออกไปแล้ว? ”
“หืม?ทำไมกัน? ” ซูฉางอันถาม
ก็เหมือนที่ตู้หงฉางบอก เพื่อดึงเป่ยทงเสวียนเข้ามาเป็พวกซือหม่าสวี่ถึงกับยอมกำจัดเทพนักรบ จิตแห่งต้าเว่ยทิ้ง และในตอนนี้เพียงลูกสาวของซือหม่าสวี่ได้แต่งกับเป่ยทงเสวียนก็เท่ากับว่าเป่ยทงเสวียนกลายเป็พวกเดียวกับเขาอย่างแท้จริงแล้ว ทว่าทั้งที่เป้าหมายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงหยุดลงละ?
“ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อหลายวันก่อนมีข่าวร้ายถูกส่งจากเมืองซีเหลียงด่านเซียวหู่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็ด่านอันดับหนึ่งของเมืองซีเหลียงแตกพ่ายลงแล้วนายพลคนใหม่ของเผ่าหมาน เยวียนหลิงเทียนนำทัพทหารสามแสนนายบุกเข้าเมืองซีเหลียง บุกยึดเมืองได้ถึงสี่เมืองติดต่อกันได้แก่เมืองคุณซาน หลายหยุน ซีหลิง และเมืองโจ่เหยียนตอนนี้พื้นที่ในเขตซีเหลียงแหลกลาญจนไม่มีชิ้นดีแล้ว ศพเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วเมืองทว่าฝูซานเชียนกลับยังเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง เก็บตัวอยู่ในเมืองชื่อหยาง ไม่ยอมเคลื่อนกำลังทหารออกมาต่อต้านองค์จักรพรรดิมีคำสั่งออกไปหลายครั้ง แต่ฝูซานเชียนก็ยังไม่ตอบสนองต่อคำสั่งแม้สักครั้งเกรงว่าเขาคงคิดจะฏอยู่แล้ว”
“แต่ถึงกระนั้น ซือหม่าสวี่ก็ยังเอาแต่อ้างว่าเป่ยทงเสวียนยังไม่หายดีจึงไม่อาจส่งทหารไปสงบความวุ่นวายในเขตซีเหลียงได้”
“ทว่าความจริง เพราะเขายังไม่สามารถควบคุมเป่ยทงเสวียนได้อย่างสิ้นเชิงจึงพยายามถ่วงเวลาออกไป”
คำพูดของตู้หงฉางทำให้ซูฉางอันรู้สึกสงสัยมากขึ้นกว่าเดิมจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อซือหม่าสวี่้าจะดึงเป่ยทงเสวียนมาเป็พวก เหตุใดเขาถึงไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งกับเป่ยทงเสวียนเสียที?กลับยังเอาแต่ถ่วงเวลาออกไปเช่นนี้? ”
ตู้หงฉางปรากฏแสงแวววับขึ้นในดวงตา “และนี่ก็คือเื่ที่ข้าอยากบอกกับคุณชายซูซือหม่าสวี่เป็เพียงขุนนางในราชสำนัก แต่กลับมีนิสัยขี้ระแวงเป็อย่างมากเขายังไม่ไว้ใจเป่ยทงเสวียน ยังสงสัยใจตัวเขาอยู่ ดังนั้น หากยังมีทางเลือกไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เป่ยทงเสวียนออกไปจากเมืองหลวงง่ายๆ แน่!”
“เขาสงสัยเื่อะไรอย่างนั้นรึ? ” ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น
“หรูเยี่ยน!”
ณ จวนเทพนักรบ ัคำราม
เป่ยทงเสวียนนั่งอยู่ในโถงที่ตกแต่งอย่างหรูหราจนเข้าขั้นสิ้นเปลืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แก้วชาถูกเขายกขึ้นมาจากโต๊ะ และวางลงอย่างต่อเนื่องใบหน้าที่มักจะนิ่งสงบรางกับสระน้ำร้าง บัดนี้แฝงด้วยความกลัดกลุ้มอย่างยากจะได้เห็น
ที่ข้างแก้วน้ำชามีหนังสือเล่มเล็กๆ วางอยู่หน้าปกของมันเป็สีแดงจัดไม่ต่างไปจากริมฝีปากของเขาบนนั้นมีอักษรขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า สถานการณ์าในซีเหลียง
เขาปรายตามองหนังสือเล่มตรงหน้านี่เป็หนังสือที่ลูกน้องคนสนิทที่ซีเหลียงเสี่ยงตายเพื่อส่งมาให้เขาและหนังสือเช่นเดียวกันนี้ก็ยังถูกส่งออกมาอีกสองฉบับฉบับที่หนึ่งถูกส่งไปที่จวนอัครเสนาบดี ส่วนอีกฉบับถูกส่งเข้าไปในพระราชวัง
เขาขมวดคิ้วมุ่นขึ้น และเริ่มเคาะนิ้วลงบนโต๊ะข้างตัวเบาๆราวกำลังรอข่าวบางอย่างด้วยความร้อนใจอยู่
ในที่สุดข่าวที่เขากำลังรอคอยก็มาถึงจนได้
ชายวัยกลางคนในชุดคนรับใช้เดินตรงเข้ามาคุกเข่าอยู่หน้าเป่ยทงเสวียนด้วยท่าทางรีบร้อน
“เป็อย่างไรบ้าง? ” เป่ยทงเสวียนกล่าวถาม
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ สินสอดถูกจวนอัครเสนาบดีส่งกลับมาขอรับ”ชายคนนั้นก้มหน้าก้มตาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเทียบกับเทพนักรบคนก่อน เขากลัวเ้านายคนใหม่ผู้นี้มากกว่าเสียอีก
แม้จะเป็เทพนักรบเหมือนกัน แต่แม่ทัพเป่ยทงเสวียนที่ยังหนุ่มยังแน่นผู้นี้กลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเืน่าอาเจียนทุกครั้งที่ขยับเข้าใกล้ กลิ่นคาวบนตัวเขามักทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้สึกหนาวสั่นขึ้นเสมอไม่อาจจินตนาการได้ว่าต้องผ่านการฆ่าฟันมากเพียงไร ถึงสะสมรังสีสังหารที่รุนแรงและมหาศาลได้มากถึงขนาดนี้
เมื่อคำรายงานแล่นไปกระทบกับแก้วหูของเป่ยทงเสวียนแววตาที่เดิมก็เย็นะเืมากอยู่แล้ว พลันเย็นเฉียบมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มันให้ความรู้สึกหนาวเย็นจนชายวัยกลางคนรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดลงหลายองศา
ร่างของเขาเริ่มสั่นเทาขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม เหงื่อกาฬผุดจากหน้าผากอย่างต่อเนื่อง
เขาเป็เพียงคนรับใช้ในบ้านเท่านั้น ที่เลือกอยู่ในจวนเทพนักรบมาั้แ่แรกเพราะเห็นว่าแม่ทัพเป่ยมีฐานะเป็เทพนักรบ คิดว่าหากทำงานรับใช้จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นมาหน่อย เช่นนั้น จึงจะเลี้ยงภรรยาที่มีร่างกายอ่อนแอกับลูกน้อยวัยแบเบาะได้
แต่บัดนี้ เขารู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของตนเหลือเกินแม้ตู้หงฉางจะไม่ใช่บุตรของเทพนักรบแล้ว แต่อย่างไรเสีย เขาก็มีตำแหน่งเป็ถึงปั๋วเจว๋แม้จะได้รับค่าตอบแทนน้อยลงมาหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งสั่นกลัวแบบนี้เขาเป็ผู้ชายคนเดียวในบ้าน หากต้องมาตายที่นี่จริงๆคิดภาพไม่ออกเลยว่าภรรยากับลูกน้อยต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
ความคิดนั้นทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกหวาดกลัวกว่าเดิมเป็ทวีคูณและในตอนที่เขากำลังจะร้องขอชีวิต จู่ๆรังสีสังหารและกลิ่นคาวเืที่คละคลุ้งอยู่ในห้องโถงพลันสลายไป
เสียงเยือกเย็นดังขึ้นในที่สุด
“เ้าออกไปเถอะ”
ชายวัยกลางคนอึ้งไปเล็กน้อย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเพราะคิดว่าอาจหูเพี้ยนไป จึงเงยหน้ามองเป่ยทงเสวียนอย่างระมัดระวังราว้าจะยืนยันอะไรบางอย่าง
“เป็อะไรไป? ยังมีอะไรอีกรึ” เป่ยทงเสวียนปรายตามองเขาด้วยสีหน้าเ็า
“เปล่า ไม่มีขอรับ! “ ชายวัยกลางคนสะดุ้งใ จึงรีบพูดออกไปทันที แล้วลุกยืนขึ้นก่อนจะโค้งตัวลง พลางก้มหน้าแล้วรีบเดินออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าคนรับใช้เดินออกไปแล้วเป่ยทงเสวียนก็กลับมีสีหน้าเย็นะเืขึ้นกว่าเดิมเขากลับไปนั่งบนเก้าอี้ไทชิที่ตั้งอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นและนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
ผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ
อาจเป็หนึ่งหรืออาจถึงสองชั่วยามก็ไม่แน่ชัด
เขานั่งนิ่งอยู่แบบนั้น กระทั่งราตรีมาเยือนเมืองฉางอันอีกครั้งคนรับใช้ในจวนเริ่มจุดโคมไฟให้แสงสว่างกันแล้ว
แต่เขากลับยังเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมราวไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างเช่นนั้น
พึ่บ!พึ่บ!พึ่บ!
มันเป็เสียงกระพือปีกของนกบางอย่าง
เป่ยทงเสวียนเงยหน้าที่เคยก้มลงต่ำขึ้นทันที จากนั้นยื่นมือออกไปเบื้องหน้าเป็จังหวะเดียวกับที่นกพิราบตัวหนึ่งบินมาเกาะบนแขนของเขา
มันเป็นกพิราบที่สวยมาก มันมีขนสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว ดวงตาประกายสีฟ้าเล็กน้อยจะงอยปากทั้งยาวและแหลมได้รูป
คล้ายว่ามันจะชอบเป่ยทงเสวียนมาก เพราะเมื่อร่อนลงบนแขนของเป่ยทงเสวียนมันใช้จะงอยจิกลงบนท่อนแขนนั้นเบาๆ ราวเป็การทักทาย
เป่ยทงเสวียนวาดประกายรอยยิ้มบางๆ ขึ้นบนใบหน้าเย็นะเือย่างยากจะได้พบเขายื่นมือไปลูบขนสีขาวบนตัวนกพิราบ พลางพูดไปด้วย “หลิวเอ๋อร์ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“จิ๊บๆ !” นกพิราบตัวนั้นส่งเสียงร้องกลับมาให้ราวฟังที่เขาพูดรู้เื่อย่างไรอย่างนั้น
“หึๆ ” ดูเหมือนเป่ยทงเสวียนจะชอบนกตัวนี้มากเขายื่นมือเข้าไปลูบหัวเล็กๆ ของมันอีกครั้ง จากนั้นจึงยกร่างเล็กขึ้นเบาๆเพื่อหยิบกระดาษที่ถูกห่อเอาไว้ที่เท้าของมัน
“เ้าไปเถอะ” เขาส่งมันออกไปในอากาศเบาๆ เ้านกพิราบกางปีกบินทันทีแต่ราวจะไม่อยากไปจากเป่ยทงเสวียน มันจึงบินวนอยู่เหนือหัวของเป่ยทงเสวียนหลายรอบจากนั้นจึงเสียงร้องขึ้นอีกครั้งแล้วบินหายเข้าไปในราตรีอันแสนมืดมนนอกห้องโถงในที่สุด
กระทั่งนกที่ชื่อหลิวเอ๋อร์บินไปลับตา เป่ยทงเสวียนจึงหุบยิ้มบนใบหน้าลงแล้วกลับไปเป็เทพนักรบผู้แสนเ็าที่ไม่ชอบยิ้มทั้งยังเคร่งขรึมยิ่งกว่าใครอีกครั้ง
เขาเปิดม้วนกระดาษในมือออกเบาๆ ก้มมองเนื้อหาในนั้น
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็นิ่งไป พลันเหงื่อมากมายผุดขึ้นที่กลางหน้าผากเขาเริ่มมีอาการมือสั่นขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามสุดท้ายเขาก็จับกระดาษในมือต่อไปไม่ไหว เป็เหตุให้มันร่วงลงบนพื้นในที่สุด
กระดาษแผ่นนั้น มีอักษรเขียนอยู่เพียงไม่กี่คำเท่านั้น
มันเป็อักษรถูกเขียนด้วยลายมือที่ทั้งเก่าแก่และโบราณเหลือเกิน...เพื่อสรรพชีวิต!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้